ตอนที่ 22 - 1 เจ้าต้องปลอดภัย

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบ หายตัวกลับสู่ลานบ้านของฮูหยินเหยา เหยียลี่ว์ฉีกับสาวใช้นางนั้นรอนางอยู่ที่นั่น พอเหยียลี่ว์ฉีเห็นนางจึงโยนป้ายไม้อันหนึ่งมาให้ เอ่ยว่า “กองทัพองครักษ์สัมฤทธิ์ตระกูลเซวียนหยวนจย่าเจ็ด รับไว้!”

 

 

จิ่งเหิงปัวรับไว้ เหยียลี่ว์ฉีพกป้ายจย่าแปดอีกอันหนึ่งไว้ตรงเอว เอ่ยว่า “กองกำลังของพวกเขาพร้อมแล้ว วางแผนออกเดินทางคืนนี้ ฉวยโอกาสยามค่ำคืนปีใหม่ขณะทุกผู้คนไม่ทันได้ใส่ใจ แอบลอบเข้าหุบเขาเทียนฮุย”

 

 

ซ้ำยังเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้าออกไปติดต่อท่านพี่แล้ว นางซ่อนตัวได้แนบเนียนนัก”

 

 

จิ่งเหิงปัวพยักหน้า นางรู้อยู่แล้วว่าเหยียลี่ว์สวินหรูจัดการตัวเองได้ดีมากแน่นอน

 

 

เห็นเหยียลี่ว์ฉียังอยากเอ่ยวาจา นางเชิดนิ้วมือขึ้นจุ๊ปากเสียงหนึ่ง ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “อย่ามาห้ามไม่ให้ข้าไปหุบเขาเทียนฮุย ข้ามีความคิดของข้า มิใช่ไปเพื่อเจ้าเสียหน่อย แน่นอนว่าข้าไม่ห้ามไม่ให้เจ้าไปเช่นกัน ในเมื่อเดินบนเส้นทางสายนี้ ควรประคองกันและกันเดินต่อไปต่างหาก”

 

 

เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มเล็กน้อย เดิมทียังมีความคิดจะโน้มน้าวไม่ให้นางวิ่งเข้าหาอันตรายส่วนหนึ่ง ยามนี้เขาละทิ้งความคิดนั้นเสียแล้ว

 

 

ยามนั้นเขาสนใจนาง ไม่ใช่ด้วยเพราะความเริงร่าสง่างาม ความกล้าหาญรักอิสระไร้ขีดจำกัดทั่วร่างของนางหรอกหรือ? ยามนี้เห็นนางไม่ได้จมดิ่งอยู่ในความทุกข์หลังค่ำคืนหิมะที่หวงเฉิง คงไว้ซึ่งความหยิ่งผยองเฉกเช่นยามก่อน ควรดีใจถึงจะถูกต้อง

 

 

“ดีแล้ว” เขาพลันเอ่ยว่า “เหิงปัว แท้จริงแล้วความสามารถของเจ้าไม่ควรหยุดอยู่แค่นี้ เจ้าเคยคิดจะหายตัวขณะไม่ได้ยืนตรงหรือไม่?”

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงัก คล้ายถูกวาจาเดียวปลุกให้ตื่นจากความฝัน

 

 

คำชี้แนะของยอดฝีมือแตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาจริงแท้ ประโยคเดียวสัมผัสโลกใหม่รอบหนึ่งเลย ถ้านางไม่จำเป็นต้องหายตัวขณะยืนตรงอีกต่อไป ถ้านางสามารถหายตัวได้ไม่ว่าอยู่ท่าไหน ความสามารถหายตัวของนางจะสร้างผลกระทบมากแค่ไหน? นี่มันไม่ใช่หนึ่งบวกหนึ่งเรียบง่ายขนาดนั้น นางจะมีโอกาสรอดชีวิตและได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น

 

 

เหยียลี่ว์ฉีเห็นดวงตานางสว่างไสว ก็ยิ้มแย้มเอื้อมมือล้วงเข้าอ้อมแขน โยนสมุดน้อยเล่มบางให้นาง แล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ข้าจึงบันทึกท่าร่างหลายชนิดเท่าที่ข้ารู้จักและเหมาะสมให้เจ้าได้ศึกษาไว้ เดิมทีท่าร่างเหล่านี้ต้องฝึกฝนทักษะพื้นฐานตั้งแต่เด็ก ควบคู่กับการฝึกฝนกำลังภายใน ทว่าในเมื่อเจ้ามีความสามารถหายตัว ยิ่งลดความยุ่งยากในขั้นตอนโคจรปราณไหลเวียน หากเจ้าเดาทางศาสตร์การหายตัวของเจ้าได้ เพียงจะต้องฝึกฝนท่าร่าง หลังจากฝึกฝนสำเร็จแล้ว เอ่ยว่าวิชาตัวเบาของเจ้าเป็นหนึ่งในโลกหล้าย่อมไม่ผิดนัก”

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกทันทีว่าล้ำค่า เก็บไว้อย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย เห็นสีหน้าเขาค่อนข้างซีดเผือด นึกได้ว่าเขายังคงทุ่มเทสมาธิแม้ขณะบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นจึงรู้สึกผิดอยู่บ้าง อยากกล่าวคำขอบคุณหลายประโยค แต่รู้สึกว่ามันง่ายเกินไป

 

 

เหยียลี่ว์ฉีคนนี้ทำให้นางรู้สึกสับสน บางครั้งถึงขนาดไม่รู้ว่าควรคบหาอย่างไร เขาทำร้ายนางจริงและช่วยเหลือนางจริง นางเกลียดเขาเขายิ้มแย้ม นางขอบคุณเขาเขาก็แค่ยิ้มแย้ม เหมือนว่าสำหรับเขาแล้ว ความรักความเกลียดความถูกความผิดพวกนี้เป็นแค่เรื่องของตัวเขาเอง เขาเหน็บหนาวหรืออบอุ่นอยู่ในโลกของตัวเอง เห็นนางเป็นเผิงไหลน้อยต้นสุดท้ายบนเส้นทาง…หากได้ครอบครองคงเพราะโชคดี หากสูญเสียไปคงเพราะโชคชะตา

 

 

สำหรับคนแบบนี้ เหมือนกล่าวอะไรคงไม่จำเป็น

 

 

เขาไม่ได้รอให้นางขอบคุณด้วยซ้ำ หันหลังจัดการสาวใช้อย่างคล่องแคล่วแล้วหิ้วนางออกไป ส่วนทางฮูหยินเหยาเอาตัวรอดได้อย่างไรนั้น สองคนนี้ไม่สนใจหรอก…สนมโปรดที่เชี่ยวชาญการเอาอกเอาใจ หากแม้แต่ตาเฒ่าบ้ากามขึ้นสมองคนหนึ่งยังจัดการไม่ได้ เช่นนั้นหลายปีมานี้นับว่าเสียชาติเกิด

 

 

สถานที่นัดหมายอยู่ตรงประตูหลังคฤหาสน์แห่งนี้ ประตูหลังหันเข้าหาตรอกไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง เมื่อจิ่งเหิงปัวกับเหยียลี่ว์ฉีมาถึงที่หมาย ภายในตรอกมืดมิดเต็มไปด้วยผู้คน เพิงหลังหนึ่งแขวนเครื่องหมายสัมฤทธิ์ไว้ เหล่าองครักษ์ของกองทัพองครักษ์สัมฤทธิ์ตระกูลเซวียนหยวนเข้าไปรับอาภรณ์กับอาวุธทีละคน เตรียมตัวกันตรงนั้น

 

 

เพิงแบบนี้ยังมีอีกหลายหลัง แต่ละหลังแตกต่างกันอย่างชัดเจน เพิงสีดำหลังหนึ่งน่าจะเป็นของตระกูลเหยียลี่ว์ ขณะนี้ยังว่างเปล่า คืนนี้กองทัพของตระกูลเหยียลี่ว์แทบจะวินาศสูญสิ้นในเงื้อมมือของนางกับเหยียลี่ว์ฉี เฟยหลัวไม่อยู่เช่นกัน นางบาดเจ็บขนาดนั้น ถ้ายังเข้าร่วมได้อีกสิถึงน่าประหลาด

 

 

นอกเหนือจากนี้น่าจะเป็นคนของคั่งหลงแล้ว น่าแปลกใจที่แม้จะมาจากกองทัพเดียวกันแต่แบ่งเพิงเป็นสองหลังด้วย เพิงหลังหนึ่งฝูงชนเบียดเสียด เดินเข้าเดินออก ทุกคนท่าทางอกผายไหล่ผึ่ง เพิงอีกหลังหนึ่งมีคนยี่สิบกว่าคนชุมนุมกัน ดูจากเครื่องแบบชุดเกราะแล้วน่าจะเป็นขุนพลขั้นกลางของกองทัพ ทว่าแต่ละนายสีหน้าเคร่งขรึม พากันยืนอยู่หน้าเพิง กอดอกมองดูทุกคนยุ่งเหยิงวุ่นวาย

 

 

จิ่งเหิงปัวมองผ่านแวบหนึ่ง ในใจคิดว่าพวกนี้คงเป็นนายกองบรรดาศักดิ์สินะ? นางไม่ค่อยคุ้นเคยกับทหารคั่งหลง กองทัพนี้พิเศษมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แตกต่างจากอวี้จ้าวหลงฉีที่ถูกก่อตั้งด้วยมือของกงอิ้น ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อเขา แต่คั่งหลงนับเป็นความสัมพันธ์สายตรงแบบครึ่งๆ กลางๆ ฉะนั้นหลังจากนางเข้าไปพัวพันจนกลายเป็นสนามประลองของกงอิ้นกับเฉิงกูมั่ว ได้ยินว่าตอนนี้ภายในพากันแบ่งพรรคแบ่งพวก คลื่นใต้น้ำพวยพุ่ง สถานการณ์แบบนี้อันตรายมากสำหรับกองทัพหนึ่ง จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตำแหน่งและกวาดล้างทหาร เพียงแต่เรื่องนี้นางคงไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล

 

 

จิ่งเหิงปัวเข้าไปรับสิ่งของในเพิงของตัวเอง เสื้อผ้าเป็นสีเทาทั้งชุด เนื้อผ้าเกลี้ยงเกลาเป็นพิเศษ ใช้สีเทาเพราะภายในหุบเขาเทียนฮุยมีหมอกเทาแผ่คลุมตลอดทั้งปี สวมชุดสีเทาอำพรางตัวได้ เนื้อผ้าเกลี้ยงเกลาเพราะสะดวกต่อการช่วยตนเองลื่นไถลบนบึงโคลนเลนทุกแห่ง ช่วงเอวของเสื้อผ้าทุกชุดแข็งแกร่ง ประดับกระดุมลับ เวลาจำเป็นกดกระดุมลับครั้งหนึ่งแล้วจะมีสายโซ่พุ่งออกมา ปลายโซ่คล้องกรงเล็บ ใช้เกี่ยววัตถุแล้วลากตัวเองออกไปได้ นอกจากนี้ยังแจกรองเท้าหุ้มข้อซึ่งสั่งทำเป็นพิเศษเช่นกัน พื้นรองเท้าหุ้มข้อยื่นกระดานขวางออกมาได้ เทียบเท่ากับสโนว์บอร์ดยุคปัจจุบัน แบบนี้เวลาเดินบนบึงโคลนจะเพิ่มผิวสัมผัส ป้องกันการจมลงไปได้

 

 

ทุกคนยังมีผ้าคลุมหน้าหนึ่งผืน บนผ้าคลุมหน้าถักตาข่ายทองคำ กรองควันพิษสารเจือปนส่วนหนึ่งได้เบื้องต้น ซ้ำยังป้องกันแมลงพิษหลายชนิดก่อกวนใบหน้าได้ แต่จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าประสิทธิภาพธรรมดาแน่นอน สิ่งนี้ไม่ใช่หน้ากากกันสารพิษสมัยใหม่สักหน่อย

 

 

นอกจากนี้ยังมีถุงอาวุธที่ห้อยไว้บนขา ส่วนใหญ่เป็นอาวุธเบา มีดเหินทุกชนิดตั้งแต่เล่มเล็กจนถึงเล่มใหญ่ อีกทั้งสิ่งของจำพวกตะขอเกี่ยวเกาะที่สะดวกต่อการปีนป่ายบนโขดหิน ทุกชิ้นประณีตอย่างยิ่ง มองออกว่าตระกูลเซวียนหยวนทุ่มเงินก้อนใหญ่เพื่อปฏิบัติการครั้งนี้

 

 

เสื้อผ้าเป็นสีเทาทั้งหมดเพื่อสะดวกต่อการจำแนก บนแขนของทุกคนผูกแถบผ้าสีทองสัมฤทธิ์ นับเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลเซวียนหยวน

 

 

“จย่าเจ็ดจย่าแปด!” คนท่าทางเหมือนหัวหน้ากลุ่มคนหนึ่งเรียกพวกเขาเข้าไปรับรองเท้าหุ้มข้อ

 

 

“พวกเราแต่ละกลุ่มมีเพียงหกคนไม่ใช่หรือ จย่าเจ็ดจย่าแปดมาจากที่ใดกัน?” มีคนเกิดความสงสัย

 

 

“นายน้อยรองแทรกเข้ามากะทันหัน ลูกน้องของผู้นำเผ่าหวงจิน นับเป็นพี่น้องร่วมกลุ่ม ให้พวกเราพาเข้าไปด้วย แบ่งผลประโยชน์สักหน่อยพอแล้ว” หัวหน้ากลุ่มนั้นคล้ายถูกเซวียนหยวนฉี่บอกไว้ล่วงหน้า โบกมืออย่างไม่สนใจไยดี เอ่ยว่า “ทุกคนดูแลหน่อย”

 

 

ทุกคนหัวเราะเหอะๆ ก่อนจะแบะปากแยกย้าย ไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับพวกแมลงมอดที่แทรกเข้ามากะทันหัน ไม่ช่วยกันแล้วยังอยากแบ่งสันปันส่วนพวกนี้อีก มีบางคนที่บ่นอุบอิบขึ้นว่า “เข้าหุบเขาเทียนฮุยแบ่งสันปันส่วนหรือ? ระวังมีชีวิตเข้าไปไร้ชีวิตขอส่วนแบ่ง!”

 

 

คนกลุ่มหนึ่งเดินมาจากอีกทางหนึ่งด้วยสีหน้าบึ้งตึง เดินชนไหล่ผู้อื่นมาตลอดทาง กลุ่มคนที่กำลังบ่นอุบอิบอยู่ทางนี้พลันถอยหลังหนึ่งก้าว

 

 

จิ่งเหิงปัวรับรองเท้าหุ้มข้อไปพลาง กระซิบถามหัวหน้ากลุ่มคนนั้นไปพลางว่า “ทางนั้นเป็นคนตระกูลเซวียนหยวนของพวกเจ้าด้วยหรือ? เหตุใดท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรเลย…เฮ้อ ขอคู่เล็กให้ข้าคู่หนึ่ง ข้าเท้าเล็ก”

 

 

คำถามแรกของนางเป็นแค่การเบี่ยงเบนความสนใจของหัวหน้ากลุ่มคนนั้น จะได้ไม่สงสัยที่ตัวเองเท้าเล็กเกินไป หัวหน้ากลุ่มนั่นฉวยมือโยนรองเท้าหุ้มข้อคู่เล็กที่สุดคู่หนึ่งให้นาง เพียงตั้งใจตอบคำถามของนางว่า “พวกเราเป็นคนของนายน้อยรอง พวกเขาเป็นคนของนายน้อยใหญ่ ง่ายเช่นนี้ล่ะ”

 

 

จิ่งเหิงปัวร้องโอ้ ในใจคิดว่าลูกหลานตระกูลเซวียนหยวนแข่งขันกันรุนแรงจริงแท้ ระหว่างทั้งสองฝ่ายยังรู้สึกถึงการอยู่ร่วมกันไม่ได้ เจ้าผู้ชราเซวียนหยวนจิ้งคนนั้นหมกมุ่นกระหายอำนาจขนาดนี้เพราะได้รับผลประโยชน์ไม่เพียงพอ เพื่อให้พวกลูกชายได้ผลประโยชน์ครบทุกคนเลยจำเป็นต้องแสวงหาผลประโยชน์มากขึ้นสินะ?

 

 

คนพวกนี้เตรียมตัวอยู่ที่นี่ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ดูท่าข่าวการตายของนายน้อยใหญ่เซวียนหยวนยังไม่ได้แว่วออกมา

 

 

“เท้าเจ้าเนี่ยเล็กเสียจริง!” หัวหน้ากลุ่มนั่นยังคงสังเกตเห็นรองเท้าหุ้มข้อของนางจนได้ หัวเราะฮ่าๆ ตบหน้าอกนาง เอ่ยว่า “ประหนึ่งสตรีกระนั้น!”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีเปลี่ยนรองเท้าหุ้มข้อพลางสังเกตการเคลื่อนไหวทางนี้อยู่ข้างกายจิ่งเหิงปัว เขาเงยหน้าโดยพลัน

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่เปลี่ยนสีหน้า

 

 

“เท้าเล็กแล้วอย่างไร?” นางหัวเราะฮ่าๆ พลันใช้ฝ่ามือตบก้นของเจ้าคนนั้นคืนบ้าง กล่าวว่า “ไม่เคยเห็นบุรุษเท้าเล็กหรือ? วะฮ่า ก้นเจ้าช่างงอนนัก ประหนึ่งสตรีกระนั้น!”

 

 

“ไอ้สารเลวคนนี้ ก้นเสือเจ้ายังกล้าแตะต้อง!” หัวหน้ากลุ่มผู้นั้นไม่นึกว่านางจะใช้ฝ่ามือตบก้นคืนบ้าง หัวเราะด่าทอพลางตบมือของนางออกไป ถอยหลังก้าวหนึ่ง มองนางอย่างระแวงเล็กน้อย

 

 

ดูจากสีหน้านั่น เหมือนกลัวว่านางจะเป็นพวกรักเพศเดียวกัน

 

 

จิ่งเหิงปัวแอบยิ้มเยาะ เมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะสงสัยความรู้สึกเมื่อครู่ เกรงว่าคงไม่แม้แต่จะเข้าใกล้แล้วมั้ง?

 

 

เหยียลี่ว์ฉีก้มหน้าลง พยายามกลั้นยิ้มสุดชีวิต

 

 

วิธีขจัดวิกฤตกาลเช่นนี้คงมีเพียงราชินีจิ่งที่ชอบทำตามใจตนเองของพวกเรากระมังที่ทำได้?

 

 

พอเกิดเรื่องเช่นนี้ หลังจากนั้นคนที่เหลืออยู่ก็พากันหลบหลีกจิ่งเหิงปัวไว้ก่อน กลัวว่ากระต่ายน้อยร่างบางตัวนี้จะจู่โจมดอกเบญจมาศของพวกเขา

 

 

ทุกคนตระเตรียมเสร็จสิ้น สังเกตเห็นแล้วว่าเพิงของตระกูลเหยียลี่ว์ว่างเปล่าโดยตลอด อีกทั้งนายน้อยใหญ่เซวียนหยวนชักช้ามาสาย อดจะไม่สบายใจและร้อนรนเล็กน้อยไม่ได้

 

 

พลันมีคนเอ่ยว่า “มาแล้ว!”

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้น มองเห็นหลายคนเดินเข้ามากลางสายลมหิมะข้างหน้า คนนำหน้าคือผู้นำเผ่าหวงจิน ข้างกายคือเซวียนหยวนจิ้งกับหนุ่มน้อยหน้าตาคมคายคนหนึ่ง

 

 

สีหน้าของทั้งสามคนแตกต่างกันออกไป ผู้นำเผ่าหวงจินมีสีหน้าแปลกประหลาด คล้ายยังตกอยู่ในภวังค์การลอบสังหารน่าตะลึงพรึงเพริดเมื่อครู่ ทั้งร่างของเซวียนหยวนจิ้งคล้ายพลันชราขึ้นมาสิบปี สีหน้าบนใบหน้าซีดเซียว แม้แต่หลังส่วนล่างยังค่อมลงสามส่วน ท่ามกลางสามคนมีเพียงผู้อ่อนวัยคนนั้น แม้ฝืนใจทำสีหน้าโศกเศร้าท่วมท้นแต่แววตาแพรวพราว ซ่อนความตื่นเต้นลำพองใจไว้ไม่ได้

 

 

จิ่งเหิงปัวใช้นิ้วมือเดายังเดาได้ว่านั่นคือเซวียนหยวนฉี่ พี่ใหญ่ตายแล้ว น้องรองย่อมดีอกดีใจเป็นธรรมดา

 

 

ไม่เป็นไร คงดีใจได้ไม่นานนักหรอก