บทที่ 125 เจ้าอ้วนส้มในเรือนลึก

ท่องภพสยบหล้า

บทที่ 125 เจ้าอ้วนส้มในเรือนลึก
ไร้สรรพสิ่ง ไร้ตัวข้า ดังนั้นจึงไร้ซึ่งการเกิด ไร้ซึ่งการดับ

‘คัมภีร์ไร้เกิดกระดูกขาว’

……

เจียงวั่งขยับฝีเท้า พยายามสะกดจิตใจที่ร้อนรุ่มลงไปอย่างเต็มที่ เขาจำต้องเชื่อ และทำได้เพียงแค่เชื่อต่งเออเท่านั้น

เขาฝืนรักษาความสงบภายใต้ความกระสับกระส่ายของจุดผ่านสวรรค์

เปลี่ยนจุดหมายไปหอพักลูกศิษย์สายใน ทักทายหลิงเหอที่พักอาศัยเพียงลำพัง กำชับให้เขาระมัดระวังตัวรอบคอบ แต่รายละเอียดก็ไม่รู้ว่าควรจะเตือนให้ระวังอะไร

หลิงเหอมองความผิดปกติของเขาออก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่คิดว่าเป็นเพราะเกิดเรื่องศิษย์สำนักเต๋าโดนทำร้ายติดๆ กัน ทำให้เขาใจไม่สงบ

เขาปลอบเจียงวั่งว่าอย่าคิดมาก แสดงท่าทีว่าในช่วงเวลาต่อไปจะไม่รับภารกิจระยะหนึ่ง ให้เขากลับไปพักผ่อนให้สบายสักสองสามวัน เตรียมต้อนรับปีใหม่

สุดท้ายเขาก็ตบไหล่เจียงวั่ง หัวเราะพลางเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเสือใกล้จะกลับมาแล้ว พวกเราดื่มเหล้าด้วยกันเหมือนเคย! ฉลองปีใหม่!”

ประโยคนี้ทำให้เจียงวั่งยิ้มออกมาได้

ไม่มีเรื่องอะไรงดงามไปกว่าการได้มารวมตัวอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าอีกแล้ว

“อื้ม! ดื่มเหล้าด้วยกัน”

เจียงวั่งไปจากหอพัก คิดว่าจะกลับบ้าน

วันนี้เขาไม่ได้ออกไปจากทางประตูหลังเลย แต่กลับเดินไปประตูหน้า เพราะอยากจะเดินอ้อมให้ผ่านหน้าบ้านเจ้าหรู่เฉิง พูดกับเจ้าหรู่เฉิงสักสองสามประโยคแล้วค่อยกลับไป

เขาแค่เพราะใจกระวนกระวาย อยากพูดคุยกับพวกเขาสักหน่อย

แต่อันที่จริงก็ไม่มีรายละเอียดอะไรให้พูด นอกเสียจากให้ระวัง หาวิธีหลบภัยอะไรประเภทนั้น แต่เขาไม่รู้กระทั่งว่าอันตรายมาจากไหน ก็ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะหาวิธีหลบภัยอย่างไรเลย

ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ลูกศิษย์สำนักเต๋ายังคงบากบั่นมานะฝึกบำเพ็ญ ไม่ก็รับภารกิจ กำลังฝึกฝนตัวเอง ผู้คนบนถนนในสำนักมีไม่มาก

มีให้เห็นบ้างสามสี่คน ล้วนแต่บุคลิกท่วงท่าองอาจผ่าเผย เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

ก็เหมือนกับสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินที่ตอนนี้เจริญรุ่งเรือง ในอนาคตจะรุ่งโรจน์ มีอนาคตสว่างสดในไร้ขีดจำกัด

หากบอกว่าต่งเออสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน จู้เหวยหว่อก็เป็นธงที่โบกสะบัดของสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน

มีผู้บำเพ็ญที่เก่งกาจยอดเยี่ยมจำนวนไม่น้อยแสดงความจำนงว่าอยากมาฝึกบำเพ็ญที่นี่

อีกไม่นาน ความสำเร็จของสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินจะไร้ซึ่งขีดจำกัด

มองให้หน้าแย้มยิ้มของพวกเขา สัมผัสจิตวิญญาณของพวกเขา เจียงวั่งจู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองไร้สาระนัก

ข้ากำลังหวาดกลัวอะไรอยู่

เขาถามตัวเอง

ทว่ากลับไม่มีคำตอบ มีเพียงการเคลื่อนไหวไปมาของเทียนดำเล่มนั้นที่บ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ

งูศักดิ์สิทธิ์รัดดาราขดตัวคล้ายขนมเปี๊ยะก้อนหนึ่ง

ดังนั้นแล้วเจียงวั่งจึงนั่งลงบนบันไดหน้ารูปปั้นเทพมรรคา สะกดอาการสั่นสะท้าน ค่อยๆ ทำจิตเต๋าให้สงบ

…………

ณ เรือนห่างไกลหลังนั้นในพื้นที่ตระกูลหวาง เถาตีนตุ๊กแกแห้งเหี่ยวไปนานแล้ว

แสงอาทิตย์สาดเข้ามา ประตูเรือนแง้มเอาไว้นิดๆ ที่นี่ยังคงเงียบสงบเหมือนเคย

หวางฉางเสียงวิ่งมาอย่างตื่นเต้นดีใจ มาอยู่ที่หน้าประตูเรือนแล้วจึงได้ผ่อนฝีเท้าลง สงบจิตใจ

ในบรรดานักเรียนใหม่ของสำนักเต๋าประจำเขตการปกครองของปีนี้ ตอนที่เขากับหลีเจี้ยนชิวเข้าสำนักล้วนไม่นับว่าเด่นสักเท่าไร แต่หลังจากที่เริ่มฝึกฝน ก็ค่อยๆ ก้าวเข้าสู่ความยอดเยี่ยม

ตอนนี้ล้วนอยู่ในสิบอันดับแรกของนักเรียนใหม่สำนักเต๋าเขตการปกครองแล้ว

แน่นอน เขาไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ เขากระทั่งมีความมั่นใจว่าจะผ่านการประลองความร่วมมือสามเขตปกครองครั้งหน้า

อนาคตสดใส อนาคตเต็มไปด้วยความหวัง

สิ่งที่ยิ่งทำให้เขาดีใจก็คือเหตุผลที่ตอนนี้เร่งเดินทางกลับตระกูลมา

เมื่อวานเขาทำภารกิจที่ระดับความยากสูงมากของสำนักเขตการปกครองสำเร็จ ด้วยเหตุนี้จึงได้ยาลับมาขวดหนึ่ง ยานี้ว่ากันว่าสามารถขยายจุดผ่านสวรรค์ได้ ในขณะเดียวกันก็มีผลในการทะลวงชีพจรเต๋า

ยาลับที่สามารถขยายจุดผ่านสวรรค์ แน่นอนว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมากกับทุกคน แต่สำหรับหวางฉางเสียงแล้ว สามารถ ‘ทะลวงชีพจรเต๋า’ ได้ ถึงจะเป็นเหตุผลที่เขาสู้ตาย

เขากระทั่งว่าไม่อาจยืนยันได้ว่ายานี้จะมีผลกับหวางฉางจี๋ เขาถามอาจารย์ในสำนักเต๋าเขตการปกครอง แต่อีกฝ่ายแค่บอกว่า เป็นไปได้

ลำพังเพียงแค่ ‘เป็นไปได้’ ก็เพียงพอแล้ว

ดีเหลือเกิน!

เพราะในวันเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าเป็นใคร หลังจากที่ตรวจสอบแล้ว ผลสรุปของหวางฉางจี๋ล้วน ‘เป็นไปไม่ได้’

ไม่มีความหวัง ไม่มีทางเป็นไปได้

และด้วยเพราะเหตุนี้ บิดาถึงได้ทิ้งพี่ชายโดยสมบูรณ์ หวางฉางจี๋เองก็ท้อแท้สิ้นหวัง

ในความทรงจำใช่ว่าจะไม่มีภาพที่สองคนพี่น้องหยอกล้ออยู่ข้างบิดา แม้ภาพนั้นจะน้อยนัก แต่ก็ล้ำค่ามากนัก ควรค่าที่จะต่อสู้ดิ้นรน

จากสำนักเต๋าประจำเมืองสู่สำนักเต๋าประจำเขตการปกครอง พลังบำเพ็ญของเขาเพิ่มมากขึ้น รอบรู้มากขึ้น ได้เห็นโอกาส และความเป็นไปได้ที่มากยิ่งขึ้น

จาก ‘เป็นไปไม่ได้’ เป็น ‘เป็นไปได้’ นี่ไม่ใช่ว่ามีการพัฒนาหรอกหรือ

แต่ไหนแต่ไรมาเขารู้สึกว่าพี่ชายในความทรงจำของเขารอบรู้ ยิ่งใหญ่ อบอุ่นมาโดยตลอด

เทียบกับการใกล้ชิดกับบิดาในระยะเวลาสั้นๆ แล้ว เวลาส่วนมากเขาโตมากับพี่ชาย

บิดาส่วนมากเป็น ‘หัวหน้าตระกูล’ ส่วนพี่ชายกลับรับหน้าที่ ‘บิดา’ มากกว่า

ต่อให้โลกทั้งใบทอดทิ้งพี่ชาย ต่อให้พี่ชายทอดทิ้งตัวเอง เขาก็ไม่มีวันทอดทิ้งพี่ชายเด็ดขาด

นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาเดินมาจนถึงตอนนี้

หวางฉางจี๋รอไม่ได้แม้แต่เสี้ยวขณะแล้ว นิสัยสุขุมหนักแน่นที่ผู้คนชมเชยก็ไม่อาจช่วยเขาได้

ทันทีที่ได้ยาลับมาก็เร่งมุ่งหน้ากลับบ้าน เหมือนกับเด็กน้อยที่ร้อนใจอยากมอบสมบัติวิเศษให้

เดินทางตลอดคืน ใจไปอยู่ที่บ้านแล้ว

เวลาครึ่งวันก็เดินทางจากเมืองชิงเหอมาถึงเมืองเฟิงหลิน เร็วยิ่งกว่าม้าที่ห้อตะบึง

ไม่ทันได้ทักทายบิดามารดา ยิ่งไม่ทันได้สนใจคนในตระกูลคนอื่นๆ หวางฉางเสียงบึ่งมาทางเรือนเล็กของพี่ชาย

หยุดอยู่ที่หน้าประตู

“ต้องสงบเขาไว้ จะสร้างกดดันให้มากไม่ได้ แล้วก็จะแสดงความหวังออกมามากเกินไปไม่ได้เหมือนกัน”

หวางฉางเสียงบอกตัวเองในใจ

เพราะยิ่งหวังมาก ก็ยิ่งสิ้นหวังมาก

ภาพที่หวางฉางจี๋กินลูกกลอนเปิดชีพจรแต่กลับไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ ภาพนั้น สลักลึกในจิตใจของเขา แววตาสิ้นหวังของพี่ชาย เขามักจะเห็นมันยามฝันอยู่บ่อยๆ

หากสำนักเต๋าเขตการปกครองช่วยไม่ได้ ก็ยังมีสำนักเต๋าประจำรัฐ สำนักเต๋าประจำรัฐหากไม่มีวิธีก็ยังมีรัฐอื่นๆ กระทั่งว่า…ยังมีเขาอวี้จิง

อย่างไรก็มีอนาคต อย่างไรก็มีความหวัง

หวางฉางเสียงในที่สุดก็ปรับลมหายใจได้ ผลักประตูเข้าไปเบาๆ ก้าวไปในเรือนที่พักหลังเล็ก

ในเรือนเล็กว่างเปล่า เก้าอี้เอนตัวนั้นกลับไม่มีเงาร่างที่คุ้นเคย

แต่ข้างหน้ามัน กลางเรือนที่พัก บนอิฐ

มีแมวส้มตัวหนึ่ง ‘นอนหงายท้อง’ อยู่

บอกว่านอนหงายท้องก็ไม่ถูก

เพราะแมวอ้วนส้มตัวนี้ถูกหั่นร่างไว้บนพื้น

หัวแมว ขาทั้งสี่ รวมถึงหางล้วนจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ เหมือนว่ายังสามารถเอามาเรียงต่อชิ้นส่วนได้

มันคือเจ้าส้ม

เจ้าส้มที่อารมณ์ฉุนเฉียว นิสัยหยิ่งยโสตัวนั้น เป็นแมวอ้วนส้มที่หวางฉางจี๋มองเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่า เอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี

หวางฉางเสียงลนลานขึ้นมาทันที

จิตเต๋าของเขาไม่สามารถควบคุมให้นิ่งสงบได้

แม้แต่วิชาเต๋ายังลืมไปเสียสิ้น โซซัดโซเซวิ่งเข้าไปในบ้าน “พี่! พี่!”

“หวางฉางจี๋!” เขาตะโกน

เขาได้ยินเสียงแว่วๆ ตอบรับมาอย่างแผ่วเบา เสียงนั่นเหมือนดังมาจากห้องนอนของหวางฉางจี๋

หวางฉางเสียงวิ่งไปทางห้องนอนสุดชีวิต รากพลังเต๋าซัดโหมออกมา มอบพลังให้เขาไม่สิ้นสุด

ตอนนี้ในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน

นั่นเป็นเสียงของหวางฉางจี๋จริงๆ ด้วย

เสียงนั้นเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ฉุนเฉียว เหี้ยมเกรียม…

นั่นเป็นอารมณ์ที่หวางฉางเสียงไม่เคยได้เห็นจากพี่ชาย

ต่อให้เป็นตอนเด็ก เขาฉีกหนังสือที่พี่ชายรัก พี่ชายก็แค่เตือนเขาด้วยเสียงอบอุ่นว่าอย่าทำอย่างนี้เท่านั้น

ต่อให้หลังจากที่เติบโต พี่ชายได้รับความเย็นชากล่าวโทษกระแนะกระแหน เขาก็เพียงหมุนตัวไปเฉยๆ บอกกับตนว่าปล่อยพวกเขาไป

แต่ตอนนี้ เสียงนี่ช่างเสียดแทงใจ ก้าวร้าว กระทั่งว่าสิ้นหวัง

เสียงนั้นตะโกนอยู่ว่า…

“หวางฉางเสียง!”

“หวางฉางเสียง!”

“ไสหัวไปเสีย!”

“ไสหัวไปเสียเถอะ!”

………………………………………………………