บทที่ 292 มหายานธรรม (1)
“สรรพสิ่งล้วนมีจิตใจ หากถนอมความเมตตากรุณาในหัวใจได้ และสัมผัสได้ถึงสรรพสิ่งแล้วไซร้ เหตุใดจึงต้องยึดติดกับถ้อยคำของมนุษย์เล่า”
ภิกษุเฒ่าประสานมือ วางท่าสงบ ไม่โกรธเคืองต่อคำพูดของสวี่ชีอัน
เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องพูดภาษาต้าฟ่งกับข้าก็ได้ พูดภาษาถิ่นจากแดนประจิมของเจ้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด…สวี่ชีลอบอันบ่นในใจ แล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“บอกมาตามตรงเลยดีกว่าว่าจะประลองกันอย่างไร อย่าได้เล่นลิ้นปลิ้นปล้อนกับข้า”
“ประสกนั้นยึดติดไปแล้ว เหตุใดจึงต้องประลองกันอีก” ภิกษุเฒ่าเผยรอยยิ้มบาง
“นี่เป็นการประลองที่สำนักพุทธอย่างพวกท่านเสนอแท้ๆ ไต้ซือมีเจตนาก่อกวนเช่นนี้ ไม่กลัวเสียศักดิ์ศรีของสำนักพุทธบ้างหรือ” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
“เมื่อครู่ที่เชิงเขาประสกกล่าวว่า นักบวชละแล้วซึ่งทุกสิ่ง” สีหน้าของภิกษุสงบนิ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเนิบช้าต่อไป “ในเมื่อสละแล้วซึ่งทุกสิ่ง ศักดิ์ศรีจะมีค่าอันใด”
“ก็ได้ แล้วไต้ซือคิดจะทดสอบข้าอย่างไร” สวี่ชีอันระงับอารมณ์เอาไว้
เขารู้สึกถึงความยุ่งยากเข้าแล้ว สิ่งที่น่ากลัวกว่าพวกเกรียนคีย์บอร์ดก็คือพวกเขาไม่พูดภาษามนุษย์ อย่างน้อยพวกเกรียนคีย์บอร์ดจะพยายามไขว่คว้าหาช่องโหว่ในคำพูดเพื่อหยิบยกมาหักล้าง
ทว่าผู้ที่ไม่พูดภาษามนุษย์ ไม่ว่าจะบอกกล่าวอะไรอีกฝ่ายย่อมไม่สนใจ รังแต่จะพูดภาษาของตนเองท่าเดียว หากไม่อาจทำความเข้าใจ แสดงว่ายังไม่เก่งพอ
แต่ถึงแม้จะพยายามทำความเข้าใจอย่างสุดความสามารถ ถึงกระนั้นก็ไร้ประโยชน์ เพราะอีกฝ่ายย่อมเพิกเฉยต่อเราอยู่ดี
“ชีวิตคือการฝึกตน การที่ประสกเข้ามาในแดนลับแห่งศาสนาพุทธเช่นนี้ ก็ถือเป็นการฝึกตนวิธีหนึ่ง” ภิกษุเฒ่ากล่าวยิ้มๆ
“ฝึกตนอย่างไร ไต้ซือโปรดชี้แนะ”
“การฝึกตนนั้นขึ้นอยู่กับบุคคล เหตุใดจึงถามไถ่เอาจากอาตมาเล่า”
ฝึกข้างบ้านแม่แกสิ! จะไม่ยอมพูดภาษาคนดีๆ ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นข้าไม่เล่นด้วยแล้ว จู่ๆ ไฟปริศนาพลันพวยพุ่งออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของสวี่ชีอัน เขาเลิกสนใจภิกษุเฒ่าแล้วเดินจากไป
แต่กลับมีบางสิ่งขวางกั้นเขาไว้
“ข้ามีความคิดอยู่ประการหนึ่ง” สวี่ชีอันยิ้มเย็นแล้วหันกลับมา พลางกระชับด้ามดาบในมือ “ไม่ทราบว่าไต้ซือผู้สละทิ้งทุกสิ่งอย่าง จะสามารถรับดาบของข้าได้หรือไม่”
“อมิตตาพุทธ เช่นนั้นก็ลองดู”
ภิกษุเฒ่าขมวดคิ้วแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “อาตมาคือความลุ่มหลงของพระมัญชุศรีโพธิสัตว์[1]ก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้”
พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ลำดับหนึ่งหรือ?!
สวี่ชีอันปล่อยมือด้วยสีหน้าว่างเปล่า “ไต้ซือ เมื่อครู่เราสนทนากันถึงไหนแล้วนะ”
ภิกษุเฒ่าตอบตามตรง “ประสกจะให้อาตมารับดาบของประสก”
“ไต้ซือ!”
สวี่ชีอันขึ้นเสียงอย่างดุดัน เดินดุ่มๆ เข้าไปหาภิกษุเฒ่า นั่งขัดสมาธิลงประนมมือ แล้วกล่าวติเตียน
“ศาสนาพุทธทำได้เพียงเข่นฆ่าเท่านั้นหรือ หรือว่าความเป็นความตายของคนในศาสนาพุทธนั้นขึ้นอยู่กับการเข่นฆ่าเท่านั้น ไต้ซือ เรามาคุยเรื่องเงินทองกันบ้างดีหรือไม่”
…
“เมื่อครู่สุนัขรับใช้เขา เขากลัวหัวหดไปแล้วหรือ” ยายตัวร้ายกระซิบกระซาบ พลางหันไปมองฮว๋ายชิ่ง
ฮว๋ายชิ่งเหล่มองนางด้วยสีหน้าเย็นชา น้ำเสียงราบเรียบ “แค่เปลี่ยนกลยุทธ์เท่านั้น ตำราพิชัยสงครามเรียกว่า ล้มกลยุทธ์ด้วยกลยุทธ์ ตอบโต้ศัตรูด้วยวิธีเดียวกัน”
ยายตัวร้ายเข้าใจในทันที ทั้งยังคิดว่าตนเป็นคนใจแคบ สุนัขรับใช้ไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่เป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดต่างหาก
เขาก็แค่กลัว…หลินอันไร้สมองจนหลอกง่ายเหลือเกิน! ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้าและมองดูน้องสาวของตนด้วยความสงสาร
เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นความลุ่มหลงของ ‘พระโพธิสัตว์’ แล้ว สวี่ชีอันก็แก้ไขข้อขัดแย้งอย่างมีชั้นเชิง ทำให้ผู้ชมภายนอกประหลาดใจกันเป็นแถว
รู้เท่าทันสถานการณ์สมเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่อง
อย่างไรก็ตาม การกระทำเมื่อครู่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูโดดเด่นและน่าสนใจยิ่งขึ้น อย่างน้อยพวกขุนนางก็คิดว่าฆ้องเงินท่านนี้ช่างน่าสนใจมากทีเดียว
“เขารู้ทันเหตุการณ์ ด่านนี้หากใช้กำลังเข้าห้ำหั่น มีหวังพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย” หนานกงเชี่ยนโหรวพ่นลมหายใจเย็นชา
เจ้าเด็กคนนี้นี่…เหล่าฆ้องทองส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้ บางคนอยากจะหัวเราะ แต่เห็นทีคงไม่เหมาะกับกาลเทศะเท่าไร
บางครั้งก็ดูไม่มีแววทหารเลย ขี้ขลาดขึ้นมาเสียดื้อๆ ไม่มีทั้งความกดดัน ภาระทางจิตใจก็ไม่มี แต่เขาก็ยังเป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้ผู้มีความสามารถเยี่ยมยอด
“พ่อบุญธรรม ปริศนาในด่านนี้อยู่ที่ใดหรือขอรับ” หยางเยี่ยนถาม
ฆ้องทองคำทั้งหมดมองไปที่เว่ยเยวียน รอคำตอบจากเขา โดยไม่ฉุกคิดว่าเว่ยเยวียนไม่ใช่สายลับของสำนักพุทธ เขาจะทราบได้อย่างไรว่าด่านที่สามเป็นอย่างไร
เว่ยเยวียนไม่สนใจพวกเขา
เวลานี้ ในซุ้มไม้ของราชวงศ์ หญิงสาวในชุดนางในสีแดงป้องปากด้วยมือสองข้างต่างโทรโข่ง แล้วตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงหวานใส “นี่ เจ้าลาหัวล้าน ด่านนี้จะแข่งขันอะไร ใช่คาถาภิกษุเฒ่าหรือไม่”
หญิงสาวผู้มีใบหน้ากลมและนัยน์ตารูปผลท้อวาววับเป็นประกาย เมื่อมองแวบแรก เธอเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์น่ารักใคร่ น่าเย้ายวนอย่างยิ่ง
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ไม่ต้องการตอบกลับ แต่เมื่อเห็นว่าฝ่ายที่ถามเป็นถึงองค์หญิง จึงอธิบายไปตามมารยาท “ด่านที่สาม ไม่มีเนื้อหา”
ทันทีที่กล่าวคำนี้ออกมา บรรดาเจ้าขุนมูลนายทั้งหลายที่มาร่วมงานต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริด
“ไม่มีเนื้อหา หมายความว่าอย่างไร” ยายตัวร้ายใช้สองมือทุบโต๊ะดัง ‘ปัง ปัง’ เพื่อแสดงความไม่พอใจของตน
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์เพียงแต่ส่ายหน้าและยิ้มโดยไม่พูดอะไร
ฆ้องทองคำก็ตระหนักได้ทันที มิน่าเล่าเมื่อครู่เว่ยกงจึงไม่พูดอะไร ที่แท้ก็ไม่มีเนื้อหานี่เอง แต่ถ้าไม่มีเนื้อหา จะประลองกันอย่างไร
ท่ามกลางความสงสัยของทุกคน องค์หญิงฮว๋ายชิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงใสกระจ่างราวกับหยกปะทะกัน ฟังแล้วชวนให้รื่นรมย์และเคร่งขรึมจริงจัง
“ไม่มีหัวข้อหรือ!? หมายความว่าไม่ว่าฆ้องเงินสวี่จะตอบสนองอย่างไร สำนักพุทธก็จะไม่ตอบโต้หรือยอมรับ และจะกักขังเขาไว้ในแดนลับไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะยอมรับความพ่ายแพ้สินะ”
คำพูดเดียวปลุกคนให้ตื่นจากฝัน!
ขุนนางบุ๋นที่อยู่กระจัดกระจายในซุ้มไม้ มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลังจากขบคิดจนถี่ถ้วน ก็พบว่าจริงดั่งที่พูด ไม่ว่าด่านนั้นจะยากเย็นเพียงใด ขอเพียงมีหัวข้อ ย่อมต้องเอาชนะได้อย่างแน่นอน
สิ่งที่จัดการยากและไร้หนทางที่สุดก็คือการต่อสู้ที่ไม่มีเนื้อหา มีพื้นที่ให้โจมตีมากมาย ไม่ว่าจะประลองยุทธ์หรือประลองปัญญา สำนักพุทธก็สามารถลงมติคว่ำผลการตัดสินได้ทั้งสิ้น
สำนักพุทธจะคงตำแหน่งผู้ไร้พ่ายไว้ได้ตลอดกาล
“แบบนั้นมันอันธพาลแล้วมิใช่หรือ ในเมื่อท่านอยากประลอง ก็กำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาสิ จะประลองยุทธ์หรือประลองปัญญา พวกท่านสำนักพุทธก็รีบบอกมาเสียก็สิ้นเรื่อง แล้วนี่มันอะไรกัน”
“ชัยชนะที่ได้มาด้วยกลโกง เห็นทีจะเป็นชัยชนะจากการเอารัดเอาเปรียบเสียแล้วกระมัง”
“ท่านสมุหราชเลขาธิการ ฝ่าบาทไม่อยู่ที่นี่ ท่านโปรดพูดอะไรบ้างเถิด”
แม่ทัพผู้อารมณ์ร้อนขว้างถ้วยชาออกไปด้วยความโกรธจัด ชี้ไปที่พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ พร้อมทั้งสาปส่งชุดใหญ่
จะประลองยุทธ์หรือประลองปัญญาก็ไม่กลัว เมืองหลวงมากด้วยยอดฝีมือ สองฝ่ายสามารถพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ได้ตามความสามารถของตน แต่ด่านที่สามนี้ช่างอับจนหนทาง สวี่ชีอันยังผ่านไปไม่ได้ แล้วคนอื่นจะผ่านไปได้หรือ
เมื่อประชาชนที่ถูกขวางกั้นโดยทหารรักษาพระราชวังได้ยินเสียงตะคอกเค้นถามของขุนนาง พวกเขาตระหนักในทันทีว่าภายในต้องมีบางสิ่งผิดปกติ แต่พวกเขาอยู่ห่างไกลจึงได้ยินไม่ถนัดนัก
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดพวกใต้เท้าในซุ้มไม้ดูโมโหกันใหญ่โต”
“เหมือนจะบอกว่าศาสนาพุทธโกงล่ะ”
“เหตุใดศาสนาพุทธจึงโกงเล่า ไอหยา ตายแหงแก๋ ไม่ใช่ว่าด่านที่สามนี้จะมีปริศนาอะไรซ่อนไว้หรือ”
ท่ามกลางเสียงถกเถียงกันอื้ออึง ชาวยุทธ์รายหนึ่งโพล่งขึ้นด้วยความขุ่นเคืองว่า “ทุกท่าน ข้าได้ยินมาว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น…”
ประสาทการฟังของชาวยุทธ์นั้นเยี่ยมยอดมาก สิ่งที่คนธรรมดาไม่ได้ยิน แต่ชาวยุทธ์ที่แถวหน้ากลับได้ยินอย่างชัดเจน และเปิดเผยปริศนาของด่านที่สามทันที
“ไร้ยางอาย!”
ปัญญาชนบางคนถึงกับโกรธเป็นฟืนไฟ “ข้าร่ำเรียนมาสิบกว่าปี ยังไม่เคยเจอคนที่น่ารังเกียจและไร้ยางอายเช่นนี้ ชาวพุทธผู้สง่างาม ที่แท้ก็พวกใช้วิธีสกปรกเพื่อชัยชนะ”
“เป็นเพราะกลัวทักษะดาบของยอดกวีสวี่หรือเปล่า ถึงได้จงใจใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสอบหรือการประลอง ก็ควรจะทำอย่างตรงไปตรงมา เป็นคนไม่ควรทำเช่นนี้ สักนิดก็ไม่สมควร”
“เรื่องใหญ่อย่างการสอบเคอจวี่ ยังต้องมีหัวข้อการสอบเลย”
ประชาชนผู้โกรธแค้น ลุกฮือขึ้นประณามสำนักพุทธที่แสนจะไร้ยางอาย น่าเสียดายที่ไม่มีไข่เน่าและใบผักอยู่ในมือ ไม่เช่นนั้นคงถูกปาใส่ไปแล้ว
ด้วยดาบสองเล่มของสวี่ชีอัน ทำให้ชาวบ้านทั่วไปเปลี่ยนความคิดจาก ‘สำนักพุทธช่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร’ มาเป็น ‘สำนักพุทธก็ไม่เท่าไหร่นี่หว่า’
นี่คือความมั่นใจที่สวี่ชีอันมอบให้
ประชาชนมหาศาลล้วนบังเกิดความภาคภูมิขึ้นภายในจิตใจ บังเกิดความยกย่องอยู่ในอก
เมื่อเห็นว่าสำนักพุทธเป็นพวกไร้คุณธรรม วางกับดักให้สวี่ชีอัน ประชาชนจึงพากันโกรธแค้น และเริ่มปะทะกับทหารรักษาพระราชวังอีกครั้ง เพื่อจะบุกเข้าไปตีพวกหัวล้านนั่นสักที
“อมิตาพุทธ ไม่มีหัวข้อก็เป็นหัวข้อ ชีวิตคนเราผันแปรไม่จีรัง ทุกชั่วขณะล้วนมี ปัญหา ให้ขบคิดมิใช่หรือ”
น้ำเสียงที่สงบนิ่งของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ส่งผ่านไปถึงผู้ชมโดยรอบ และดูเหมือนว่าจะมีพลังปลอบประโลมจิตใจของผู้คน ทำให้ฝูงชนภายนอกสงบลงโดยไม่รู้ตัว พลอยคิดว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล
ระดับเจ็ดของศาสนาพุทธ ความสามารถระดับปรมาจารย์
ไม่เพียงแต่ชาวบ้านทั่วไปเท่านั้น แม้แต่ขุนนางในซุ้มไม้ก็ระงับโทสะและพยักหน้าเล็กน้อย
“ไร้ยางอาย!”
ทันใดนั้นเสียงตะโกนอย่างโกรธแค้นก็ดังขึ้น
ทุกคนมองตามต้นเสียงไปพบกับบัณฑิตผู้หล่อเหลาผู้หนึ่ง เขาก้าวเดินอย่างองอาจลงมาจากซุ้มไม้ ตรงไปยังจัตุรัส และส่งยิ้มเหยียดหยันให้แก่คณะภิกษุ
“ไม่แปลกใจเลยที่พวกภิกษุนั้นหัวล้าน ที่แท้เจ้าเอาผมบนศีรษะไปซุกซ่อนไว้ในใจ ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง ช่างน่าละอาย!”
ภิกษุจิ้งเฉินขมวดคิ้ว “ประสกผู้นี้…”
“ใครเป็นประสกของพวกเจ้า แม้แต่เศษเหรียญสักเหรียญข้าก็ไม่เคยเจียดให้ ยังมีหน้ามาเรียกประสกอีก หน้าไม่อาย!”
“เจ้า…”
“มาจงมาเจ้าอะไร ตัวเองเป็นถึงภิกษุสมณศักดิ์สูง แต่ยังลุ่มหลงในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตัดขาดก่อนจะออกผนวชอีก”
ความลุ่มหลงที่พระพุทธเจ้าตัดขาดก่อนมาเป็นภิกษุ?! จิ้งเฉินผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโกรธจัด นี่กำลังดูถูกใครอยู่
“ประสกเป็นถึงปัญญาชน แต่อ้าปากก็มีแต่ด่าทอผู้อื่น นี่หรือปัญญาชนแห่งต้าฟ่ง”
“ข้าไม่เคยด่าคน สิ่งที่ข้าด่าล้วนไม่ใช่คน”
คณะภิกษุเผยสีหน้าโกรธขึ้ง และมองไปที่สวี่ซินเหนียนเป็นตาเดียว
“เป็นอะไร รับไม่ได้หรือ ภิกษุสมณศักดิ์สูงจากแดนไกลมาขอท้าประลอง ต้าฟ่งก็จัดให้ตามคำขอ แค่ส่งฆ้องเงินมารับหน้า ก็ถือว่าให้เกียรติคนอย่างพวกเจ้ามากโขแล้ว ใครเล่าจะรู้ว่าหนังหน้าพวกเจ้ามันหนาเสียยิ่งกว่ากำแพงเมืองหลวง มิน่าเล่า สงครามด่านซานไห่เมื่อยี่สิบปีก่อนรบชนะได้ก็เพราะพวกเจ้านี่เอง กองกำลังของพวกเผ่าเถื่อนแดนเหนือใต้ต่อสู้มาเป็นสิบปี ยังไม่อาจเอาชนะหนังหน้าของพวกไต้ซือได้เลย แต่ดูเหมือนพวกไต้ซือจะยังไม่รู้ตัว พวกที่ไม่รู้ตัวน่ะ ส่องกระจกไปก็เปล่าประโยชน์”
“สามหาว!”
ภิกษุจิ้งเฉินลุกขึ้นยืน จีวรพลิ้วสะบัด ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความโกรธ ราวกับวัชระ[2]ที่เปล่งรัศมีโทสะอันน่าสะพรึงกลัว
สวี่ซินเหนียนไม่เกรงกลัว แต่กลับเยาะเย้ย “ช่างสมกับเป็นภิกษุผู้สละแล้วซึ่งทุกสิ่ง สละกับผีน่ะสิ ถุย!”
สีหน้าของภิกษุจิ้งเฉินนิ่งค้างไปทันที
ไต้ซือตู้เอ้อร์กล่าวเสียงเรียบ “จิ้งเฉิน จิตของเจ้าไม่สงบ”
ใบหน้าของภิกษุจิ้งเฉินซีดเผือด เขาทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง ประนมมือแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ศิษย์ยึดติดเสียแล้ว”
สมณทูตแดนประจิมมาเยือนเมืองหลวงก็เพื่อกรีธาทัพมาประณามความผิด เพลิงโทสะจึงสุมอกเป็นทุนเดิม หลังจากการประลอง ผู้คนรอบด้านก็รุมด่าทอไม่หยุดหย่อน ขณะเดียวกัน สวี่ชีอันก็ผ่านมาได้ถึงสองด่าน สร้างความกดดันขึ้นในใจของเหล่าภิกษุอย่างมหาศาล
จู่ๆ สวี่ซินเหนียนก็กระโจนเข้ามาผสมโรงดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีจนป่นปี้ ขนาดพระพุทธองค์ยังมีโทสะสามประการ นับประสาอะไรกับศิษยานุศิษย์อย่างพวกเขา
สวี่ซินเหนียนแค่นเสียงหัวเราะหึๆ แล้วหันหลังเดินจากไป
สายตาที่ส่งมาถึงสวี่ซินเหนียนเต็มไปด้วยความชื่นชม แม้ว่าคำพูดเหล่านั้นจะไม่น่าฟัง แต่ก็เป็นคำด่าที่ดี ดีจนเหล่าภิกษุแห่งศาสนาพุทธต่างพูดไม่ออก
ตรงเผงอย่างจัง
ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังมีฐานะสูงส่งค้ำคอ ไม่สามารถกล่าวคำเหล่านั้นต่อหน้าสายตาประชาชีมหาศาลได้ สวี่ซินเหนียนจึงเปรียบเสมือนกระบอกเสียงให้กับเหล่าขุนนาง
ฉลาด! คุณหนูหวางแอบชมเชย นางมองออกว่าการที่สวี่ฮุ่ยหยวนด่าภิกษุนั้นเป็นเพียงเปลือกนอก จุดมุ่งหมายที่แท้จริงนั้นเพื่อสั่นคลอนจิตใจของเหล่าภิกษุแห่งศาสนาพุทธ
จงใจยั่วโมโหพวกเขาแล้วโจมตีชุดใหญ่
ไม่เพียงบรรเทาความโกรธ แต่ยังถือเป็นการหักหน้าภิกษุอย่างจัง
นอกจากนี้ นางยังคาดเดาว่าที่สวี่ฮุ่ยหยวนเปิดฉากจู่โจมก่อนยังมีนัยลึกซึ้งกว่านั้น นั่นคือเพื่อแสดงต่อหน้าขุนนางในเมืองหลวง และแสดงต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท ว่าตนเองมีคุณค่ามากพอ ให้องค์จักรพรรดิมองเห็นว่าตนเองก็เป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง หากสอบเข้าวังสำเร็จแล้ว อาจจะนำความรุ่งโรจน์มาสู่พระองค์ได้
“นับว่าฉลาดหลักแหลมไม่น้อย”
ในตอนนั้นเอง นางก็ได้ยินหวางเจินเหวินผู้เป็นบิดาออกความคิดเห็นเสียงเบา
คุณหนูหวางเผยรอยยิ้มหวานทันใด
สบายใจแล้ว! สวี่ซินเหนียนนั่งบนเก้าอี้ รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสนุกเท่ากับการด่าทอคนอีกแล้ว
หลังจากเหตุจลาจลเล็กๆ จบลง การประลองยังคงดำเนินต่อไป หัวใจของผู้คนที่อยู่นอกสนามยังหนักอึ้งไม่คลาย
……………………………………………………….
[1] 文殊師利菩薩 เป็นพระโพธิสัตว์ในกลุ่มตถาคตโคตรของพระไวโรจนพุทธะ ชื่อของท่านแปลว่า แสงอันอ่อนหวานหรืออ่อนโยน เป็นพระโพธิสัตว์ที่มีผู้นับถือในทิเบตรองลงมาจากพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ชื่อของท่านมีปรากฏในพระสูตรต่างๆมากมาย เช่น สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์ฝ่ายปัญญาและมีหน้าที่คุ้มครองนักปราชญ์
[2] ในนิกายมหายาน และนิกายวัชรยานวัชระเป็นอาวุธของพระโพธิ์สัตว์ อันสื่อถึงการตัดขาดจากกิเลสและความลุ่มหลง และยังใช้ตัดอุปสรรค