เล่ม 1 เล่มที่ 1 ตอนที่ 8 ใช้อำนาจข่มขู่

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

แต่ก่อนอนุซุนตัวติดกับฮูหยินฮั่วซื่อและซูเซียนฮุ่ย พวกนางต่างข่มเหงรังแกซูจิ่นซีไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อลวี่หลีเห็นเงาของอนุซุนที่กำลังเดินมายังสวนดอกบัวจึงคิดได้ว่าไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่

        เพียงแต่ว่าบัดนี้ซูจิ่นซีไม่ใช่คนโง่เซ่อที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวและโดนผู้อื่นกลั่นแกล้งดั่งวันวานที่ผ่านมา นางไม่กลัวอนุซุนดังเช่นในอดีต

        ยิ่งไปกว่านั้น ซูจิ่นซียังต้องการยาตงเออเออเจียวที่อยู่ในครอบครองของอนุซุนอีกด้วย!

        ขณะที่อนุซุนก้าวผ่านเข้ามาทางประตูนั้น ซูจิ่นซีกำลังนั่งดื่มชาอย่างผ่อนคลายรออยู่บนตั่งที่มีสีสันสวยงาม

        “โอ้ คุณหนูเจ็ดกำลังพักผ่อนอยู่หรือ? ”

        อนุซุนเดินลูบมวยผมอย่างสวยงามยามที่ก้าวผ่านประตู

        ซูจิ่นซีมองไปที่ลวี่หลี “เจ้ายังไม่รีบรินน้ำชาให้อนุซุนอีกหรือ! ”

        ลวี่หลีเห็นอนุซุนก็สะดุ้ง รีบเดินเข้ามารินน้ำชาให้อนุซุนทันที

        ทว่าอนุซุนไม่แม้แต่จะเหลือบมองชาที่ลวี่หลีรินให้ในถ้วยเก่าร้าวๆ ใบนั้น อีกทั้งนางก็ไม่ได้สนใจซูจิ่นซีเสียด้วยซ้ำ สายตาของนางสอดส่องไปภายในเรือนที่รกร้างราวกับว่ากำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่

        แม้ว่าอนุซุนจะเป็นเพียงอนุของประมุขสกุลซู ทว่าในยามปกตินางใช้ชีวิตอยู่ในจวนสกุลซู มีชีวิตที่ไม่รู้ว่าดีกว่าซูจิ่นซีกี่เท่าต่อกี่เท่า ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่สามารถดื่มชาระดับล่างของซูจิ่นซีได้ลง ยิ่งไปกว่านั้นที่มาในวันนี้นางไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อดื่มชา

        สายตาของอนุซุนยังคงสอดส่องไปรอบๆ ทันใดนั้นสายตาของนางก็หยุดอยู่บนเตียงนอนหลังเตี้ยๆ เก่าๆ ของซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีและลวี่หลีรู้สึกกังวลใจอยู่พักหนึ่ง พวกนางคิดจะดึงความสนใจจากอนุซุน ทว่าสายไปเสียแล้ว เมื่ออนุซุนเดินตรงไปที่เตียงและกระชากเอากางเกงเก่าๆ ออกมาจากใต้เตียงมันคือกางเกงของซูจิ่นซีที่ก่อนหน้านี้นางใส่ไปที่ห้องโถงใหญ่ และพึ่งจะได้เปลี่ยนชุดเมื่อกลับเข้าตำหนักมา แม้แต่ลวี่หลีก็ยังเอามันออกไปจัดการไม่ทัน

        อนุซุนมองกางเกงของซูจิ่นซีแล้วหัวเราะลั่น เมื่อนางเห็นรอยเลือดสีแดงตรงเป้ากางเกงของซูจิ่นซี

        “เจ้าเด็กต่ำช้า เจ้ายังมีอันใดจะอธิบายอีกหรือไม่? ”

        ทันใดนั้น ใบหน้าของลวี่หลีก็ซีดลง

        ซูจิ่นซีพยายามระงับอารมณ์มากมายในใจ นางยกยิ้มอย่างเฉยเมย “จิ่นซีไม่เข้าใจ อนุซุนหมายความว่าอย่างไรกันแน่เจ้าคะ? ”

        เหมือนว่าอนุซุนจะคิดว่านางสามารถจับหางที่ชี้ชะตาของซูจิ่นซีไว้ได้ คอของนางจึงยืดยาวขึ้นด้วยความลำพองใจ

        “ข้าว่าแล้ว! ก่อนหน้านี้ ตอนข้าเดินผ่านสวนทางด้านหลังก็รู้สึกได้ว่าใต้ต้นดอกเหมยมีการเคลื่อนไหวอย่างประหลาด ต่อมาข้าก็ได้เห็นเด็กต่ำช้าอย่างเจ้าออกมาจากตรงนั้น หลังจากนั้นก็มองเห็นบุรุษผู้หนึ่งตามออกมาเช่นกัน ที่แท้เจ้าไม่ได้เป็นชู้กับฮั่วอวี้ ทว่ากลับไปเป็นชู้กับคนข้างนอกหรือนี่ ในเมื่อมีหลักฐานเป็นกางเกงเปื้อนเลือดของหญิงพรหมจารีเช่นนี้ เจ้ายังมีอันใดแก้ตัวอีกหรือไม่เล่า? ”

        “ในเมื่ออนุซุนทราบเรื่องเช่นนี้แล้ว จิ่นซีก็จะไม่ปิดบัง เนื่องจากอนุซุนไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคนและยังเลือกที่จะพูดเป็นการส่วนตัวกับจิ่นซี เช่นนี้คงจะต้องมีเหตุอันใดที่จิ่นซีผู้นี้พอจะช่วยเหลือได้เป็นแน่ อนุซุนต้องการให้จิ่นซีทำสิ่งใดเจ้าคะ? ”

        ซูจิ่นซีพยายามระงับอารมณ์มากมายภายในใจ นางเลือกที่จะนั่งลงทำตัวนิ่งสงบและทำใจกว้างอย่างตรงไปตรงมา

        อนุซุนไม่คาดคิดว่าซูจิ่นซีจะพูดอย่างสบายใจเช่นนี้ ราวกับมีแสงวาววับสะท้อนในดวงตาของนาง อนุซุนจึงนั่งลงตรงข้ามซูจิ่นซี ในใจของนางแอบกล่าวชื่นชมซูจิ่นซีอยู่ไม่น้อย

        “ที่แท้เจ้าก็เป็นคนฉลาด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อนุอย่างข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบาก ข้าเปิดอกคุยกับเจ้าตามตรงว่าหากวันใดเจ้าตั้งตัวได้ในจวนโยวอ๋อง ข้าอยากให้เจ้าพาหมิ่นหมิ่นของข้าเข้าไปเป็นอนุในจวนโยวอ๋องด้วย”

        ที่แท้อนุซุนก็รอที่จะทำเช่นนี้ตั้งแต่ต้น

        “เหตุใดอนุซุนจึงคิดว่าจิ่นซีจะอยู่รอดในจวนโยวอ๋องได้เล่าเจ้าคะ? ได้ยินมาว่าโยวอ๋องไม่ใช่คนธรรมดา ทั้งโหดร้ายและต่อต้านสตรีมาไม่น้อย ที่สำคัญไม่มีผู้ใดอยู่รอดผ่านคืนวันอภิเษกสมรสได้สักคน ยิ่งไปกว่านั้น… หน้าตาอย่างจิ่นซีผู้นี้… ”

        ซูจิ่นซีประสานนิ้วมือวางบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา ขณะมองประเมินอนุซุน

        อนุซุนคลี่ยิ้มด้วยท่าทางแปลกๆ

        “สายตาของข้ามองไม่ผิด เด็กอย่างเจ้าจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น… ” อนุซุนที่เหมือนจะเอ่ยคำใดออกมา ทว่าจู่ๆ ก็หยุดลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นใหม่ว่า “อันที่จริงรอยพิษบนใบหน้าของเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่มียาแก้พิษเสียทีเดียว”

        ในความเป็นจริง อนุซุนทราบดีอยู่แล้วว่ารอยพิษบนใบหน้าของซูจิ่นซีมีทางรักษาให้หายได้

        “พิษบนใบหน้าของจิ่นซี หากจะรักษาจะต้องมีสมุนไพรชนิดหนึ่ง มันมีชื่อว่าตงเออเออเจียว ไม่ทราบว่าอนุซุนจะยอมช่วยข้าหรือไม่? ”

        ในแววตาของอนุซุนมีบางสิ่งวาบผ่านอีกครั้ง นางหยิบแถบแพรไหมออกมาจากแขนของตนอย่างไม่เห็นแก่ตัวและเปิดให้ซูจิ่นซีดูต่อหน้า “แท้จริงแล้วยาตงเออเออเจียวอยู่ที่ข้า เพียงแค่จิ่นซีตกลงจะทำตามที่ข้าขอ ยานี้… จะตกเป็นของเจ้าทันที”

        ซูจิ่นซีจะยื่นมือออกไปรับ ทว่าอนุซุนรีบชักมือกลับไปทันที นางยิ้มแล้วพูดกับซูจิ่นซีว่า “หลังจากเรื่องนี้สำเร็จ ยานี้จะส่งถึงมือเจ้าทันที”

        ซูจิ่นซียิ้มและดึงมือกลับไปวางไว้บนโต๊ะอย่างสบายใจ นางหัวเราะแล้วมองไปที่อนุซุน ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นอนุซุนผู้เดียวที่พูดเองเออเอง ซูจิ่นซีไม่ได้พูดอันใดแม้แต่น้อย

        เห็นได้ชัดว่า รอยยิ้มของซูจิ่นซีช่างดูสดใสและมีเมตตา ทว่าอนุซุนกลับมองเห็นบางอย่างในนั้นที่แตกต่างออกไป ทันใดนั้นนางก็ผงะลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน

        “ซูจิ่นซี เจ้าคิดจะทำกระ… ”

        อนุซุนยังไม่ทันได้พูดจนจบ เข็มเงินก็สะท้อนออกมาจากมือของซูจิ่นซี ด้วยฝีมือที่รวดเร็ว ซูจิ่นซีปักเข็มเข้าไปที่จุดป๋ายฮุย [1] ของอนุซุน ตามมาด้วยจุดเปิดกระหม่อมทั้งสี่ คือจุดเฟิงฉือ [2] จุดเชี๋ยนเจิ้ง [3] จุดหย่าเหมิน [4] และจุดเทียนทู [5]

        ดวงตาของอนุซุนเบิกกว้างอย่างกะทันหัน นางเฝ้ามองวิธีการฝังเข็มแปลกๆ ของซูจิ่นซี แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าซูจิ่นซีที่ผู้คนต่างกล่าวขานว่าเป็นขยะของวงการแพทย์จะมีทักษะการฝังเข็มที่ชาญฉลาดเช่นนี้ จุดฝังสำคัญเหล่านี้ นางอาจจะ…

        ดวงตาของลวี่หลีเบิกโพรงขึ้นมาเพราะนางก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกันว่าคุณหนูของตนจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ ทว่าเมื่อนางคิดย้อนกลับไป ท่านสูงศักดิ์ผู้นั้นที่อยู่เบื้องหลังคุณหนู… ลวี่หลีกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดา

        ดูเหมือนคุณหนูของนางจะเติบโตและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา

        จนกระทั่งอนุซุนล้มลงสลบอยู่บนพื้น ลวี่หลีที่ยังตกใจไม่หายจึงฟื้นคืนสติกลับมา

        ซูจิ่นซีเอื้อมมือหยิบถุงที่ใส่ยาไว้ของอนุซุนมาตรวจสอบดูอย่างละเอียดอีกรอบ ให้แน่ใจว่าในถุงนั้นคือยาตงเออเออเจียวจริงๆ แล้วจึงหยิบเอาของไป

        ซูจิ่นซีพูดกับลวี่หลีว่า “พอฟ้ามืดแล้ว เจ้าพยุงนางไปที่สวนหลังตำหนัก หาสถานที่ที่ไม่มีคนและอย่าให้ผู้ใดเห็นเจ้า”

        ลวี่หลีไม่เข้าใจเหตุผลที่ซูจิ่นซีกระทำเช่นนี้ “คุณหนู หากเราฆ่าปิดปากนางเลย จะไม่ดีกว่ารักษาความลับไว้หรอกหรือเจ้าคะ? ”

        อันที่จริงแล้ว แม้ลวี่หลีจะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ที่สวนหลังจวนคุณหนูเจอเรื่องอะไรมาบ้าง และนางก็ไม่อยากรู้ด้วยว่า เหตุใดบนกางเกงของคุณหนูจึงมีคราบเลือด ทว่าในเมื่ออนุซุนเอาเรื่องคราบเลือดนี้มาข่มขู่คุณหนู ลวี่หลีจึงล่วงเกินคิดฆ่าปิดปากอนุซุน ทว่านางก็ไม่เคยฆ่าผู้ใดมาก่อน นางยังคงเป็นเพียงแค่คนขี้ขลาดเท่านั้น

        ซูจิ่นซีมองดูลวี่หลีที่เป็นแบบนั้น ภายในใจก็รู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมา

        “วางใจเถิด หลังจากอนุซุนตื่นขึ้นมา นอกจากจะยังหายใจได้แล้ว นางก็อาจจะมึนงงไม่ได้สติไม่ต่างจากคนตายเท่าไรนัก นางจะไม่สามารถพูดความลับของพวกเราออกไปได้ ที่สำคัญจะไม่มีผู้ใดมองออกและบอกได้ว่าเป็นฝีมือฝังเข็มของข้า ผู้คนจะคิดเพียงแค่ว่าอนุซุนเลือดคั่งหรือไม่ก็เป็นลมหมดสติไปเท่านั้น”

        ลวี่หลีได้ฟังเช่นนั้นก็สบายใจขึ้น นางพยักหน้าอย่างแน่วแน่จริงจังและมองออกไปนอกตำหนัก เมื่อไม่มีผู้ใดอยู่ข้างนอกลวี่หลีจึงพยุงอนุซุนออกจากประตูไปอย่างรวดเร็ว

        ซูจิ่นซีมองไปยังลวี่หลีที่ทำท่าทางแบบนั้นก็รู้สึกตลกขึ้นมา

        เพียงแต่นายบ่าวสองคนไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าระหว่างที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น มีบุคคลผู้หนึ่งโผล่ศีรษะขึ้นมาทางใต้ของหน้าต่างนอกตำหนัก เงานั้นรีบซ่อนตัวหลบออกไปยังด้านนอกลานดอกบัวอย่างเงียบเชียบ

        คนผู้นั้นฝีเท้ารวดเร็วและเบามาก นางก็คือซูเมิ่งเหยา บุคคลที่ซูจิ่นซีคาดคิดไว้ว่าไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

        เมื่อสังเกตจังหวะฝีเท้าของซูเมิ่งเหยา ก็ดูราวกับมีวรยุทธ์อีกด้วย ไม่ว่าเรื่องที่อนุซุนเอากางเกงเปื้อนเลือดมาข่มขู่ซูจิ่นซีหรือการพูดคุยของทั้งสองคน ไปจนถึงการที่ซูจิ่นซีใช้เข็มฝังไปที่อนุซุนจนนางสลบไป เรื่องทั้งหมดนี้ซูเมิ่งเหยาล้วนได้ยินอย่างชัดเจน

……