บทที่ 211 ความรุ่งเรืองและล่มสลายของใต้หล้า เฮ้อ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 211 ความรุ่งเรืองและล่มสลายของใต้หล้า เฮ้อ!

บทที่ 211 ความรุ่งเรืองและล่มสลายของใต้หล้า เฮ้อ!

ซากปรักหักพังห้าธาตุดูเหมือนจะระเหยไปในอากาศ พลันหายไปจากสายตา

สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าคือแสงแดดแผดเผา ลมแรงดั่งใบมีดเย็นเฉียบ และทะเลทรายไร้ขอบเขตกว้างสุดลูกหูลูกตา

แต่ไม่มีใครให้ความสนใจกับเรื่องเหล่านี้ เพราะอย่างไรที่นี่ก็ยังเป็นห้วงทะเลทรายมรณะ สายตาพวกเขาจ้องเฉินซีนิ่ง และเฝ้าระวังคนอื่นๆ อยู่ตลอดเวลา บรรยากาศยังคงหนักอึ้งนัก

“ทุกคน โปรดถอยออกไปก่อน คนผู้นี้ชิงเอาแก่นภายในค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกแห่งนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ของข้าไปตาหน้าต่อตา ข้าชิงซิ่วอี้ จะชิงเอาสมบัติวิเศษในมือเขามาให้ได้ ใครก็ตามที่แทรกแซงถือว่าเป็นศัตรูกับนิกายกระเรียนพิสุทธิ์” ภายใต้บรรยากาศหนักหน่วงนี้ ชิงซิ่วอี้เอ่ยขึ้นเสียงเฉยเมย ไม่ได้ปกปิดความหยิ่งยโสในคำพูดคำจาแม้แต่น้อย

สีหน้าของคนอื่นๆ ขรึมลงเล็กน้อย ทว่าหวงฝู่ฉงหมิงคำรามเสียงเย็น “ฉิงซิวยี่ นิกายกระเรียนพิสุทธิ์ของเจ้าไม่มากไปหน่อยหรือ?

ก่อนที่จะมีโอกาสเช่นนั้น ทุกคนที่เห็นมันสมควรได้รับส่วนแบ่งนี่ ไม่ว่านิกายกระเรียนพิสุทธิ์ของเจ้าจะน่าเกรงขามเพียงใด พวกเราย่อมไม่ยอมให้เจ้าได้ผลประโยชน์ไปคนเดียวทั้งหมดแน่ ทุกคนคิดอย่างไร?”

“องค์ชายหวงฝู่พูดถูก ก็จริงที่นิกายกระเรียนพิสุทธิ์นั้นมีชื่อในที่ราบตอนกลาง แต่เกาะฉลามมังกรแห่งทะเลตะวันออกของข้าก็ไม่เกรงกลัวเช่นกัน ชิงซิ่วอี้ ข้าได้ยินมานานแล้วว่าเจ้าเป็นร่างจุติเซียนสวรรค์ มีความแข็งแกร่งเหนือใคร บางทีข้าอาจจะต้องขอคำแนะนำจากเจ้าในวันนี้ก็เป็นได้” หวงฝู่ฉงหมิงพูดจบ ชายเสื้อฟ้าตัวสูงก็เดินเข้ามา ดูเหมือนว่าจะก่อเกิดกระแสน้ำขึ้นที่ใต้เท้าของเขา ทำให้คลื่นหลายลูกยกตัวขึ้นสูงและ ‘ดัน’ เขาขึ้นมา คนผู้นี้ใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางน่าเกรงขาม ทำให้โดดเด่นเป็นอย่างมาก

“ฮึ่ม! เป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้า หมานหง ชอบทักษะกลั่นร่างของเจ้าเด็กนั่นเข้าแล้ว วันนี้อย่าได้คิดจะหยุดข้าเลย!” หลังจากนั้น น้ำเสียงหยาบกระด้างและหนักหน่วงอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ชายคนนี้มีคิ้วหนาและดวงตาดุดัน ร่างส่วนบนบึกบึนและเปลือยอก หูแต่ละข้างห้อยต่างหูกระดูก และถือดาบใหญ่เหมือนประตูบานหนึ่งไว้บนไหล่ เขายืนอยู่ท่ามกลางหมู่คนราวกับเป็นเนินเขาเล็กๆ ปล่อยลมปราณดุร้ายรุนแรงออกมาอย่างไร้แรงต้าน ทำให้ดูดุดันเป็นยิ่งนัก

“ศิษย์สายหลักขอบเขตแกนทองคำแห่งเกาะฉลามมังกรทะเลตะวันออก หลิวเฟิงจื่อ!”

“ศิษย์สายหลักขอบเขตแกนทองคำ ภูเขานภาลัยแห่งแดนเถื่อนทางตอนเหนือ หมานหง!”

สองคนนี้แฝงตัวอยู่ในหมู่คนตั้งแต่ก่อนหน้านี้ พลันดูโดดเด่นออกมา คนอื่นจำทั้งสองได้ทันที ไม่อาจเก็บสีหน้าตื่นตะลึงไว้ได้

เฉินซีมองแล้วก็รู้สึกกลัวในใจเช่นกัน เดิมทีเขาคิดว่ากลุ่มของชิงซิ่วอี้และกลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิงจะนับเป็นสองกลุ่มยอดฝีมือแล้ว แต่ไม่เคยจินตนาการเลยว่าจะมีบุคคลที่น่าเกรงขามอีกสองคนปรากฏขึ้นอีก ทำให้หัวใจเขารู้สึกหนักหน่วงขึ้นมาในพลัน

ทันใดนั้น สถานการณ์ก็ค่อยๆ ผันเปลี่ยนไปช้าๆ

กลายเป็นขุมพลังสี่กลุ่ม นำโดยหวงฝู่ฉงหมิง ชิงซิ่วอี้ หลิวเฟิงจื่อ หมานหง และผู้บ่มเพาะคนอื่นๆ ที่ไม่รู้ที่มา ซึ่งกระจัดกระจายกันไปทั่ว เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มของยอดฝีมือทั้งสี่ ผู้บ่มเพาะไร้ชื่อก็ได้แต่เลือกมองเงียบๆ อยู่ด้านข้างเท่านั้น

แม้ว่ากลุ่มของชิงซิ่วอี้จะมีเพียงสามคน แต่เพราะชิงซิ่วอี้ยึดป้อมปราการไว้ได้ จึงดูเหมือนว่าจะกลายเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดก็ว่าได้

ทั้งสี่กลุ่มกำลังเผชิญหน้ากัน ในขณะที่เฉินซีถูกล้อมและติดอยู่ตรงกลาง

เฉินซีนิ่งเงียบ ใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดระงับระเบียนแดนมรณะอย่างเงียบๆ การเผชิญหน้ากันของขุมอำนาจทั้งสี่นี้นับเป็นช่วงเวลาอันมีค่า เขาอยากฉวยโอกาสนี้วางแผนให้ดี

“เอาล่ะ ข้ายอมรับว่าพวกเจ้าทั้งสามกลุ่มมีคุณสมบัติพอจะมีส่วนร่วมในเรื่องครั้งนี้” การปรากฏตัวของหลิวเฟิงจื่อและหมานหงทำให้ชิงซิ่วอี้เหมือนจะเปลี่ยนความตั้งใจ กวาดสายตามองไปรอบๆ ขณะที่เธอพูดเนิบช้าขึ้นว่า “แต่คนอื่นๆ ควรออกไปก่อน

พวกเจ้าทุกคนมายุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้ และก็เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายถึงชีวิตของพวกเจ้าเองด้วย พวกเจ้าคิดอย่างไร?”

“ข้าเห็นด้วย” หวงฝู่ฉงหมิงพยักหน้า

“เช่นนี้ดีที่สุดแล้ว” เช่นนี้ก็จะสามารถหยุดคนที่หมายจะเอาเปรียบและคิดชิงสิ่งของจากเราได้” หลิวเฟิงจื่อเห็นด้วยเช่นกัน

“ข้าไม่มีข้อโต้แย้งอะไรทั้งนั้น” หมานหงหัวเราะเสียงดัง

เมื่อเห็นกลุ่มคนทั้งสี่พลันร่วมมือกันในพริบตา ฝูงชนก็ตกอยู่ในความไม่สงบทันที หลายคนเผยให้เห็นความหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย โดยเฉพาะคนที่อยู่ฝั่งขุมอำนาจหรือนิกายใดๆ สีหน้าล้วนเปลี่ยนเป็นคลุมเครือ อย่างสำนวนที่ว่าพระอาจหนีได้ แต่เอาวัดหนีไปด้วยไม่ได้ การล่วงเกินคนทั้งสี่กลุ่มที่เป็นตัวแทนของขุมอำนาจใหญ่ รังแต่จะนำความหายนะมาสู่ขุมอำนาจที่พวกตนอยู่

ผู้บ่มเพาะคนหนึ่งถอยไปข้างหลังและกำหมัดทำความเคารพทุกคน “ข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการ ดังนั้นข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

ขอตัว!”

ทันทีที่เขาพูดจบ ก็ไม่หันมามองอีกและจากไปทั้งอย่างนั้น

พอมีตัวอย่าง คนอื่นๆ จึงทำตามในพลัน คนเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์นิกายในที่ราบตอนกลาง ทะเลตะวันออก จากภาคของที่ราบตอนกลางทะเลตะวันออก หรือดินแดนป่าเถื่อนทางตอนเหนือ พวกเขารู้ดีว่าพลังของขุมพลังที่ทั้งสี่คนนี้อยู่น่าเกรงขามเพียงใด และไม่คิดชิงสมบัตินำความหายนะมาสู่ฝั่งที่ตนอยู่

ในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจ จำนวนคนที่อยู่โดยรอบก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เหลือคนเพียงไม่ถึงหนึ่งในสามเท่านั้น เมื่อเห็นเช่นนี้ คนที่เหลือจึรู้ว่าทำอะไรมากไม่ได้ เสียโอกาสชิงสมบัติจากกลุ่มคนทั้งสี่ในภายหลังเสียแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รั้งอยู่อีก กระจัดกระจายตัวไปทุกทิศทาง ไม่มีใครเหลืออยู่อีก

แต่จะมีใครไม่อยากไปและเร้นกายอยู่ห่างๆ หมายสบโอกาสลงมือหรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้

“เอาล่ะ ตอนนี้เหลือเพียงพวกเราสี่กลุ่ม หากเริ่มการต่อสู้ชิงสมบัติกันรุนแรง ก็อาจทำให้คนผู้นี้มีโอกาสชิงสมบัติหลบหนีไปได้

ข้าคิดว่าพวกเจ้าทุกคนคงไม่อยากเห็นเรื่อเช่นนั้นเกิดขึ้น ดังนั้นข้าขอแนะนำให้เราทุกคนร่วมมือกันสังหารเขา แล้สค่อยตัดสินใจว่าใครจะครองสมบัติอะไรของเขาทีหลัง พวกเจ้าคิดเช่นไร?” ชิงซิ่วอี้เหลือบมองเฉินซีด้วยสายตาลึกล้ำ ก่อนจะพูดราวกับว่านางมองเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องเล็ก

เด็กสาวผู้นี้กลับมีหัวใจชั่วร้ายเช่นนี้ได้!

เมื่อเฉินซีเห็นดังนั้น หัวใจก็หล่นวูบไปทันใด เพราะชิงซิ่วอี้ได้ปิดทางหนีทั้งหมดที่เขาคิดได้ไว้หมดแล้ว

เขารู้ว่าแม้ตนจะมีแผนนับพัน มีเล่ห์กลมากหลาย แต่ก็หมดช่องลงมือเมื่อถูกทุกฝ่ายกดดันเข้ามาเช่นนี้อยู่ดี

“หืม?” จังหวะนั้น ใจของเฉินซีพลันกระตุก ร่างกายตึงเครียดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เส้นพลังความผันผวนที่ไม่อาจมองเห็นได้ราวกับสายฟ้าลั่นวาบอยู่ในจิตใจ

เป็นระเบียนแดนมรณะอยู่ในมือของเขานั่นเอง!

ขณะนี้ สมบัติวิเศษราวกับมีจิตนึกคิดเอง คล้ายสัมผัสได้ว่าคนรอบกายคิดอยากได้มัน มันหยุดดิ้นรนและเงียบลงในที่สุด

จิตวิญญาณของเฉินซีสดชื่นขึ้น เขากดความรู้สึกปิติยินดีในหัวใจไว้ ตราบใดที่ข้าไม่ต้องเบี่ยงเบนความสนใจไประงับระเบียนแดนมรณะ โอกาสหลบหนีก็จะเพิ่มขึ้นมาก ไม่ถึงขั้นที่ไม่อาจหาทางตอกกลับได้หรอก

แต่ความผันผวนที่แวบผ่านเข้ามาในจิตใจนั่นคืออะไรกัน?

“เฉินซี ข้าทนไม่ไหวแล้ว!” จังหวะนั้นเองที่หลิงไป๋กระโดดออกจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ กวาดตามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “พวกคนเหล่านี้มองเจ้ายังกับมดตัวหนึ่งที่ไร้หนทางสู้ เจ้าไม่โกรธงั้นเรอะ?”

เฉินซีถึงกับใจบีบ ไม่คิดว่าหลิงไป๋จะกระโดดออกมาอย่างโง่งมเช่นนี้ หลิงไป๋ครอบครองเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพาน จึงกลัวจะถูกคนอื่นสังเกตุเห็นและนำความหายนะไร้จุดจบมาสู่เฉินซีอยู่เสมอแต่ตอนนี้หลิงไป๋กลับโผล่ออกมาต่อหน้าผู้คนเอง เผยตัวตนออกมาเองเช่นนี้ หรือสหายน้อยผู้นี้จะเสียสติไปแล้ว?

แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงไป๋ เฉินซีก็เงียบไปทันที เขานึกถึงท่าทีที่หลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ และหวงฝู่ฉงหมิงที่ปฏิบัติต่อเขามาโดยตลอด

ทั้งการเพิกเฉย สายตาดูหมิ่น และการกระทำดั่งชี้สั่ง จะให้ข้าหัวเราะบอกไม่สอนใจได้งั้นหรือ? ข้าไม่จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากผู้อื่น แต่ข้าควรกลืนความอัปยศอดสูที่ได้รับและเพิกเฉยต่อศักดิ์ศรีที่ถูกเหยียบย่ำมาตลอดชีวิต กล้าที่จะโกรธแต่กลับไม่กล้าพูดอะไรสักคำงั้นหรือ? กล้าคิดแต่ไม่กล้าทำ?

กรงใดก็ไม่อาจขังจิตใจข้าไว้ได้ โซ่ตรวนไม่อาจขังร่างข้าได้ เต๋าของข้าคืออิสรภาพ อิสระที่จะทะยานไปสู่เก้าสวรรค์… ข้าจะกล้าลืมมันได้ยังไง?

ข้ากล้าลืมมันไปได้ยังไง?

ดวงตาของเฉินกระจ่างขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่จิตใจและจิตวิญญาณราวกับทะลุโซ่ตรวนกระโดดออกมาจากกรงขังได้ในที่สุด ตอนนี้เขาไม่กลัวทุกอย่างอีกต่อไป เขาโหยหาการต่อสู้!

“ไม่ว่ามดจะอ่อนแอแค่ไหน มันก็อยู่เหนือสิ่งมีชีวิตอื่น สามารถสะเทือนต้นไม้ใหญ่ได้ ไม่ว่ามดจะต่ำต้อยแค่ไหน ทว่าก็อยู่จุดสูงส่ง ครอบครองใจแห่งอินทรี เด็กน้อย ข้านับถือเจ้านัก ดังนั้นให้ข้าได้ช่วยเหลือเจ้าเถอะ ฮ่าๆ! หลังจากใฝ่ฝันมาหลายสิบปี ใครจะมาพูดเรื่องเวลากับข้า ใครจะคุยเรื่องความรุ่งเรืองและล่มสลายของใต้หล้ากับข้ากัน? เฮ้อ! เฮ้อ! เฮ้อ! ทุกสิ่งอย่างเข้าสู่สัมสาระแล้ว…” เสียงที่เยือกเย็นและแหบแห้งพลันลั่นออกมาในห้วงจิตสำนึกของเฉินซี คำพูดที่เปล่งออกมาเผยให้เห็นความกล้าหาญและความโศกเศร้าไร้ขอบเขต

ปัง!

ทันทีที่เสียงนี้ดังก้องออกมา ระเบียนแดนมรณะที่เป็นดั่งตำราเล่มหนึ่งก็ราวกับถูกกรีดหน้าเปิดออก พลังประหลาดมากมายมหาศาลล้นทะลักเข้าสู่ร่างเฉินซีพร้อมเสียงดังลั่น

ในตอนนี้ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงอันน่าเหลือเชื่อเกิดขึ้นภายในร่างกายของเฉินซีเลย

“ศิษย์พี่หญิง ข้าพูดถึงเจ้าเด็กคนนี้ เขามีร่างกายเหมือนสมบัติวิเศษ ควบคุมเจตจำนงกระบี่อันน่าเกรงขาม และยังแปลกประหลาดยิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของเขาในวันนั้น แก่นภายในของค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกนั่นคงถูกข้าชิงไปนานแล้ว!”

ทันทีที่เป่ยจงเห็นหลิงไป๋ เขาก็พูดกับชิงซิ่วอี้อย่างรวดเร็ว

“หรือนี่จะเป็นดวงจิตของวัตถุโบราณอีกชิ้นหนึ่ง?” ดวงตาของชิงซิ่วอี้เต็มไปแววประหลาด ขณะที่นางเอ่ยด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

ดวงจิตของวัตถุโบราณหรือ?

คนอื่นๆ พลันตกใจ สายตาล้วนเผยถึงความโลภในจิตใจพลันจ้องหลิงไป๋ที่สูงเพียงสามชุ่นเขม็ง

หนังสือคล้ายทำจากหยกแต่ก็ไม่ใช่หยกนี้ี่มีรูปร่างเหมือนสมบัติวิเศษ ทั้งยังมีมีสติปัญญาขั้นขีดสุด และมนุษย์ตัวน้อยสูงสามชุ่นที่มีร่างสมบัติวิเศษและควบคุมเจตจำนงกระบี่ สมบัติทั้งสองนี้อาจเป็นสมบัติอมตะ ยังมีทักษะกลั่นร่างอันน่าตื่นตาที่คนผู้นี้ฝึกอีก คนขอบเขตแกนทองคำผู้นี้มีสมบัติล้ำค่าอยู่มากเท่าไหร่กันแน่?

“เฉินซี? หรือจะเป็นเด็กหนุ่มที่ได้รับอันดับต้นๆ ในการจัดอันดับมังกรซ่อน และสยบเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ไว้ได้?” ถันไถหงตกใจเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่หลิงไป๋ว่า แทบไม่อยากเชื่อหูตนเองและร้องตกใจออกมา

“ว่าไงนะ? เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ที่ไม่มีใครในเขตแดนใต้สยบได้ แต่เด็กคนนี้ครอบครองมันไว้ได้งั้นหรือ? เช่นนั้นเด็กคนนี้ก็ถือครองสมบัติอมตะถึงสามอย่างเลยกระมัง?”

“ข้าจำได้แล้ว ตอนมาถึงดินแดนทางใต้ ข้าได้ยินคนพูดกันว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งได้สยบเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในเมืองทะเลสาบมังกรมานานนับปีลงได้ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นเด็กคนนี้!”

“สมบัติอมตะสามชิ้นหรือ? หากพวกตาเฒ่าประหลาดี่เก็บตัวสันโดษพวกนั้นรู้เข้า คงไม่ลังเลสักนิดแล้วชิงของมาจากเขาแน่กระมัง?”

เมื่อได้ยินถันไถหง กลุ่มคนทั้งสี่ในที่นั้นก็โกลาหลขึ้นมาทันที สายตาที่จ้องไปทางเฉินซีนั้นราวกับต้องแกะตัวอวบ มองแล้วชวนน้ำลายไหลไม่หยุด ปล่อยความรู้สึกยั่วยวนล่อใจที่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้ออกมา!