ส่วนที่ 1 ตอนที่ 37 กระแสมารชั่วพริบตา

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับอยู่ๆ สะดุดจะล้ม เห็นกระบี่นั่นพุ่งมาจะแทงหลิงหลง คนข้างๆ ช่วยไม่ทันจริงๆ

 

หลิงหลงเองก็คิดไม่ถึง นางตกใจจนนิ่งค้างตัวแข็งอยู่กับที่

 

เห็นแสงกระบี่วาบมา สัญชาติญาณนางก็คือกะพริบตาปริบ ทันใดนั้นร่างถูกกระแทกอย่างแรง นางถึงกับล้มหงายหลังลงจากก้อนหิน ท้ายทอยกระแทกพื้น ดวงดาวลอยเต็มหน้าไปหมด

 

ตามมาด้วย อะไรร้อนๆ สักอย่างหยดลงบนใบหน้านาง นางสะดุ้งตกใจ ได้สติคว้าเสื้อคนเบื้องหน้านางเอาไว้แน่น เป็นเสวียนจี!

 

“อา!” นางร้องเรียกเบาๆ ตามองไปยังกระบี่ทองนิลนั่นเขม็ง มันแทงเข้าที่ไหล่ขวาของเสวียนจี ทะลุออกมาอย่างน่ากลัว เลือดสดทะลักหยดลงบนใบหน้านาง หยดมาจากตัวกระบี่

 

เสวียนจี! นางคิดส่งเสียงเรียก แต่ไม่อาจส่งเสียงเรียกออกมาได้ ลำคอตีบตันได้แต่ส่งเสียงเครือสะอื้นไห้

 

เสวียนจีมีเหงื่อเย็นผุดเต็มใบหน้า สีหน้าซีดเผือด พลันยกมือจับกระบี่นั่นไว้ ห้านิ้วงอเป็นตะขอ อูถงเพิ่งตะกายลุกขึ้นมาได้ ก็คิดดึงกระบี่คืน ถึงกับดึงไม่ออก เขาอดตะลึงไม่ได้

 

เสวียนจีพลันหันกลับไป สองตาส่องประกายราวไฟแผดเผา จ้องมองเขาไม่วางตา ในใจเขาพลันสะดุ้ง ถึงกับรู้สึกได้ถึงไอเหน็บหนาวหนึ่งไม่รู้มาจากที่ใด

 

“เจ้า…” นางเสียงสั่น “เจ้า…อย่าได้เหิมเกริมไป…”

 

อูถงเห็นเลือดนางไหลไม่หยุด สีหน้าขาวราวกระดาษ เห็นชัดว่าแทบทนรับไม่ไหวแล้ว ตอนนั้นพลันนึกด้วยใจเ**้ยมโหด ใช้แรงกำลังทั้งหมดจะกระชากกระบี่ขึ้นพลางกล่าวว่า “พลั้งมือทำร้ายคุณหนู เป็นความผิดข้าเอง!”

 

ผู้ใดจะรู้ว่าพอกระชาก กลับกระชากไม่ออก นางกำปลายกระบี่ไว้แน่น จ้องเขาเขม็ง ค่อยๆ ใช้พลังข้อมือ

 

เขามองกระบี่ทองนิลงอด้วยความตกใจ ปลายกระบี่โค้งงอจนราวกับไม่อาจบิดไปกว่านี้ได้อีก ตามมาด้วยเสียง ปึ้ก เสียงหนึ่ง แรงต้านทานในมือเขาหายไปหมดสิ้น สะอึกถอยหลังไปหลายก้าว ล้มจ้ำเบ้ากับพื้น มองไปยังกระบี่ทองนิลอีกครา รู้สึกว่าคมกระบี่ถึงกับถูกนางใช้มือเปล่าหักเอาอย่างนั้น!

 

ในเวลาเช่นนี้ อูถงถึงกับตะลึงตาค้าง

 

เสวียนจีใช้สองนิ้วหนีบคมกระบี่ไว้ ไม่รู้ว่าเขาตาลาย หรือแสงแดดแรงไป เขาเหมือนเห็นฝ่ามือนางมีแสงสีเงินวาบกลืนกินคมกระบี่ดำยาวถึงสี่นิ้วกว่านั่น เกิดประกายแสงสีเงินเจิดจ้า

 

“เจ้าก็ลองตายสักคราหนึ่งดู!” นางกล่าวเสียงเยียบเย็น ข้อมือพลิกเบาๆ ปลายกระบี่ในมือราวกับสายฟ้าฟาดออกไป อูถงมองไม่ชัดว่านางเคลื่อนไหวอย่างไร รู้สึกเพียงแค่ตาลาย แสงสีเงินสายนั้นก็พุ่งตรงมาที่ตน พอเขาเห็นชัด ปลายกระบี่ก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว

 

ตายแน่แล้ว! เขาหลับตาลงทันที รอปลายกระบี่แทงทะลุศีรษะตน

 

ผู้ใดจะรู้ว่ารออยู่เป็นนานก็ไม่พบการเคลื่อนไหวใด เขาตกใจค่อยๆ ลืมตาขึ้น พลันเห็นปลายกระบี่สิ้นพลังหล่นอยู่ที่ปลายเท้า เด็กหญิงที่บาดเจ็บสาหัส ร่างกายครึ่งท่อนเต้มไปด้วยโลหิต ดวงตาพลิกเหลือก เป็นลมล้มลง

 

“เสวียนจี!” หลิงหลงยามนี้จึงได้สติ รีบเข้ามากอดนางไว้สุดชีวิต “เสวียนจี! เสวียนจี เจ้าอย่าตายนะ!”

 

นางร้องเรียกอยู่นาน เสวียนจีไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย หลับตาแน่น สีหน้าซีดขาว ราวกับตายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

 

นางตกใจราวกับวิญญาณแตกสลาย ส่งเสียงแผดร้องดังลั่นอย่างไม่อาจควบคุม ไหนเลยจะสนใจเจ้าตัวชั่วร้ายก่อเรื่องอย่างอูถงที่อยู่ข้างๆ

 

มาถึงตอนนี้ คนรอบๆ จึงได้สิตจากเหตุการณ์ที่เกิดฉับพลันเป็นชุด พากันล้อมวงเข้ามา ส่งเสียงร้องตะโกนก็ตะโกน จ้องมองดูก็จ้องมองดู ตรวจชีพจรก็ตรวจชีพจร

 

ตู้หมิ่นหังเห็นหลิงหลงร้องไห้จนเหมือนใกล้เป็นลม อดเข้าประคองนางไว้ไม่ได้ เขาอุ้มเสวียนจีไว้ในอ้อมแขน อังมือที่จมูกนางก่อน ก่อนจะถอนใจกล่าวว่า “เสวียนจียังมีชีวิต เจ้าอย่าเขย่านาง ไม่อย่างนั้นนางอาจบาดเจ็บเพิ่ม!”

 

เขารีบหยิบยาสมานแผลในอกเสื้อออกมา ไม่สนใจอันใดทั้งนั้น ฉีกเสื้อออกดูบาดแผล เทลงไปก่อนเพื่อห้ามเลือดแล้วค่อยว่ากัน

 

มือเขาพลันถูกคนผู้หนึ่งรั้งไว้ พอเงยหน้าดู ก็เห็นฉู่อิ่งหงและฉู่เหล่ยสองสามีภรรยา

 

“อย่าขยับ!” ฉู่อิ่งหงสีหน้าหนักใจ สกัดจุดรอบบาดแผลนางไว้ก่อน ให้เลือดหยุด พลางสั่งการหลิงหลงอีกข้าง “อย่าเอาแต่นิ่ง! รีบถอยออกไป!”

 

ฉู่เหล่ยอุ้มบุตรสาวคนเล็กขึ้นมา ทั้งสามไม่อาจสนใจสนามประลองที่วุ่นวายไปหมดในตอนนี้ รีบนำเสวียนจีที่ไม่ได้สติออกไปทันที

 

หลิงหลงร้องไห้จนสะอึกสะอื้น รีบไล่ตามไป จงหมิ่นเหยียนกับตู้หมิ่นหังเองก็ตามไปด้วยความเป็นห่วง

 

ผู้ใดก็ไม่คิดว่าการประลองนี้ถึงกับจบลงเช่นนี้ พากันส่งเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่

 

พอทุกคนประคองอวี๋เจี้ยนหาวลงจากเวที จึงได้คิดว่าต้องคิดบัญชีกับเจ้าตัวชั่วก่อเรื่องอูถง ผู้ใดจะรู้ว่าหาจนทั่วทั้งยอดเขาก็หาเขาไม่พบ ที่แท้เขาเองก็รู้ว่าไม่ได้การแล้ว และยังรู้สึกได้ว่าตนเองวู่วามไป จึงได้แอบหนีไปแล้ว

 

อวี๋เจี้ยนหาวถูกประคองมายังเบื้องหน้าเจ้าหุบเขาหรงแห่งหุบเขาเตี่ยนจิง ประสานมือกล่าวละอายใจว่า “ศิษย์ไร้ความสามารถ…อาจารย์…”

 

เจ้าหุบเขาหรงส่ายหน้า “ไม่โทษเจ้า เจ้าทำดีมากแล้ว ผู้อาวุโสเจียง!”

 

พอกล่าวจบตรงหน้าก็มีอาวุโสผมและเคราขาวก้าวออกมาจากแถว สีหน้าละอายใจยิ่ง คำนับให้เขาอย่างนอบน้อม กล่าวเบาๆ ว่า “ข้า…สั่งสอนได้ไม่ดี…รู้สึกละอายใจต่อเจ้าหุบเขายิ่งนัก…”

 

เจ้าหุบเขาหรงมองไปรอบทิศ กล่าวเยียบเย็นว่า “อูถงล่ะ”

 

อาวุโสเจียงนิ่งไปครู่หนึ่ง “น่าจะรู้ว่าตนก่อเรื่องเลยหนีไปแล้ว”

 

เจ้าหุบเขาหรงยิ้มเยือกเย็น “ฮึ หนีแล้ว…เจ้ายังคงเอาแต่ปกป้องคนของตนเองเหมือนเมื่อก่อน ผู้อาวุโสเจียง!”

 

ผู้อาวุโสเจียงก้มหน้า ไม่กล้ากล่าวอันใดอีก

 

“เอาเถอะ วันนี้เขาทำความผิดใหญ่หลวง จากนี้ไปหุบเขาเตี่ยนจิงไม่มีคนชื่ออูถงอีก เพื่อชดเชยความผิด หุบเขาเตี่ยนจิงขอถอนตัวจากงานชุมนุมปักบุปผาครั้งนี้!”

 

ศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิงทั้งหมดเห็นเจ้าหุบเขาโมโห ผู้ใดก็ไม่กล้ากล่าวอันใด ได้แต่คุกเข่ารับคำ

 

ยามนี้อูถงถูกขับไล่ออกจากหุบเขาเตี่ยนจิง หุบเขาเตี่ยนจิงถอนตัวจากงานชุมนุมปักบุปผาครั้งนี้ เหตุเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทำให้คนได้แต่ทอดถอนใจ

 

ทุกอย่างนี้ เสวียนจีล้วนไม่รู้

 

นางกำลังฝันประหลาด ในฝันตัวนางเองกำลังแต่งตัวหวีผมอยู่หน้ากระจก

 

กระจกทองแดงโบราณเผยเงาร่างคน คุ้นเคยและแปลกหน้า ดูใบหน้าแล้วเป็นนาง แต่อายุกลับมากกว่ามาก อารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้าเย็นเยียบเคร่งเครียด นัยน์ตาราวกับเกล็ดหิมะ ยะเยือกเสียดแทงใจ

 

แป้งผัดชาดหอมเต็มโต๊ะ เสื้อผ้าอาภรณ์งามเต็มเตียง นางกลับไม่มองแม้แต่น้อย เกล้าผมยาวของตนขึ้นบนศีรษะ จากนั้นรัดด้วยเครื่องประดับผมสีม่วงและสวมเกราะสีทอง ในกระจกปรากฏภาพขุนพลหญิงที่องอาจกล้าหาญผู้หนึ่ง

 

นางกำลังจะออกไปจัดการเรื่องหนึ่ง เรื่องที่นางทำมาตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีนึกเสียใจ ไม่มีลังเล

 

นางเกิดมาก็เพื่อเรื่องนี้

 

นางมาถึงสนามรบที่ควันคุกรุ่น ม้านับพันหมื่น ราวเมฆดำปกคลุม คนยกธงผืนใหญ่โบกสะบัด ลวดลายบนนั้นงดงามแปลกประหลาด เสียงธงโบกสะบัดดัง

 

เสียงเป่าเขาสัญญาณครวญยะเยือกเย็นราวกับหลายคนกำลังร่ำไห้ดังมาจากทุกสารทิศ กลองใหญ่ที่ทำจากหนังจระเข้ตีดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า ตึง ตึง ตึง ตึง ราวกับฝนตกกระหน่ำ สั่นสะเทือนทั่วบริเวณกว้าง

 

เพลิงฟ้าตกลงมา ตกลงมาจากท้องฟ้าลูกแล้วลูกเล่า ตามมาด้วยเปลวไฟ ปรากฏกองทัพใหญ่มืดฟ้ามัวดิน

 

พวกเขามาจากท้องฟ้า จากฟากฟ้าอีกทาง ข้ามแม่น้ำสวรรค์กว้างใหญ่ รุกรานเข้ามายังดินแดนแห่งเทพเทวา

 

ตอนอาชาเหินตัวหนึ่งบินข้ามศีรษะนางไป ขณะกางปีกบินข้ามศีรษะนาง เท้าเตะครื่องประดับม่วงนางร่วง ราวน้ำตกสามพันสายน้ำเทลงมา ขุนพลสามเศียรหกกรบนอาชา ทั้งตัวเต็มไปด้วยเพลิงลุกโชน

 

นางอ้าปากคาบผมปอยที่ไม่ยอมเชื่อฟังไว้ หันกลับไปฟันด้วยกระบี่

 

โลหิตสดทะลัก

 

ดีมาก ไหลนองสะใจ

 

ที่ข้างหูราวกับมีคนเรียกนางอย่างร้อนใจ “เสวียนจี…เสวียนจี”

 

ในมือนางกำสิ่งหนึ่งไว้แน่น พลันคิดหาเหตุผลไม่ออก

 

เสียงนั่นยังอยู่ “เสวียนจี…เสวียนจี! ฟื้นสิ!”

 

อยู่ๆ นางก็เบิกตาโพลง มองเห็นม่านมุ้ง ยังมีใบหน้าห่วงใยที่หลั่งน้ำตาอีกสองสามใบหน้า

 

“อา! นางฟื้นแล้ว! ฟื้นแล้ว!” หลิงหลงร้องตะโกนดัง ดีใจคว้ามือนางไว้แน่น น้ำตาไหลพรากมากยิ่งขึ้น “เจ้า…เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง พูดได้ไหม ยังเจ็บไหม”

 

เสวียนจีกะพริบตาปริบๆ งุนงงป็นนานกว่าจะกล่าวเบาๆ ว่า “ข้า…ข้าราวกับ…ไม่เจ็บแล้ว”

 

กล่าวไปก็จะลุกขึ้นไป เหอตันผิงรีบเข้ามากดตัวนางไว้ “อย่าขยับ! บาดแผลยังไม่หาย!”

 

เสวียนจีจึงได้รู้สึกว่าครึ่งท่อนล่างราวกับท่อนไม้ ขยับไม่ได้ นางนอนกลับลงตามเดิม กำลังจะเอ่ย พลันรู้สึกว่าในมือกำอันใดไว้แน่น ยกขึ้นมาดู เป็นเศษไม้ชิ้นหนึ่ง นางอดตะลึงไม่ได้

 

หลิงหลงกล่าวท่าทางหวาดกลัวว่า “นั่นเป็น…ตอนอุ้มเจ้าเข้ามา เจ้าเอาแต่คว้ากรอบประตูเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยมือ สุดท้าย…กรอบประตูถูกเจ้าพัง…”

 

เสวียนจีอึ้งไป