ตอนที่ 137 จัดการคนน่ารังเกียจ

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

ฝูงนกบนฟ้าส่งเสียงร้องบอกซูหวานหว่านในสิ่งที่พวกมันรู้มา ทำให้เด็กสาวได้รู้ถึงสัญญาการค้าของสือเฉิงชุน นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาและยื่นเงินกลับคืนไป “ข้าต้องขออภัยด้วย ข้าไม่สามารถขายให้เจ้าได้ กลับไปบอกเจ้านายของเจ้าว่าหากอยากได้ก็จงมาอ้อนวอนด้วยตนเอง”

สีหน้าของสาวใช้พลันเปลี่ยนสี นางรู้สึกแปลกใจว่าซูหวานหว่านรู้ได้อย่างไร

เด็กสาวเอ่ยย้ำอีกครั้ง “จำเอาไว้ ให้เขามาขอร้องข้าเอง!”

หลังจากนั้นนางก็ปิดประตูเสียง ปัง!

สาวใช้ตกตะลึงและทำได้เพียงกลับไปมือเปล่า

ซูหวานหว่านคิดเอาไว้ว่าสือเฉิงชุนจะมาด้วยตนเอง ทว่าเขาก็ยังไม่มา รออีกสองสามวันเขาก็ยังไม่มา

วันหนึ่งซูหวานหว่านที่กำลังขายของอยู่ก็ได้ยินเสียงจากนกที่ส่งเสียงร้องว่า สือเฉิงชุนได้ทำขวดน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เหมือนกับของซูหวานหว่าน สิ่งที่อยู่ภายในขวดเป็นน้ำอะไรก็ไม่อาจรู้ได้และส่งไปเมืองโจว

ซูหวานหว่านดูถูกพฤติกรรมเหล่านี้เป็นที่สุด ที่หน้าประตูเหลือเพียงน้ำศักดิ์สิทธิ์เพียงขวดเดียว ทันใดก็มีรถม้าวิ่งพุ่งตรงมา จากนั้นชายร่างใหญ่ท่าทางหยาบคายก็กระโดดลงมาจากรถม้า เขาชี้ดาบไปที่ซูหวานหว่าน “เจ้าคือซูหวานหว่านใช่หรือไม่? เจ้าทำให้ใบหน้าของน้องสาวข้าเสียโฉม ข้าจะฆ่าเจ้า!”

เครื่องประทินโฉมของนางทำให้เสียโฉม? ซูหวานหว่านหัวเราะแผ่วเบา “ไม่ทราบว่าท่านกำลังพูดเรื่องอะไร โดยปกติแล้วท่านต้องมีหลักฐานนำมาให้ข้าดู ว่าข้าเป็นคนทำ ข้าถึงจะยอมรับ”

เมื่อฟังจากสำเนียงของบุคคลนี้ ดูไม่เหมือนกับคนในเมืองหรือหมู่บ้านใกล้เคียงเลย ส่งผลให้ซูหวานหว่านนึกถึงสินค้าที่สือเฉิงชุนส่งไปขายที่เมืองโจว นางจึงยิ้มออกมา

ชายผู้นั้นหยิบขวดขนาดเล็กออกมาวางบนแผงและมองดูขวดที่มีลวดลายเดียวกัน “เจ้ายังกล้าบอกว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่ใช่ของเจ้าอีกอย่างงั้นหรือ!”

“ไม่ใช่ของข้าจริง ๆ” ซูหวานหว่านยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามชายหนุ่มว่ามาจากที่ใด เป็นอย่างที่คาดเอาไว้เขามาจากเมืองโจว เพราะเห็นว่าใบหน้าของน้องสาวของมีตุ่มแดงขึ้นเต็มเพราะใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ เขาจึงถามหาที่มาของสินค้าและรู้มาว่ามันมาจากที่นี่ เขาจึงเดินทางมายังเมืองนี้

“เจ้าจะถามให้มากความไปไย! รีบไปเมืองโจวกับข้า เจ้าต้องอธิบายเรื่องนี้ให้น้องสาวของข้าฟัง!” ชายคนนั้นกล่าวด้วยวาจาเกรี้ยวกราด

ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นพี่ชายคลั่งน้องสาวของตนเองมาก และต้องการให้น้องสาวของตนสั่งสอนด้วยตนเอง นี่ทำให้ซูหวานหว่านอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ “ข้ากลับไปกับเจ้าไม่ได้ และอีกอย่างน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่ใช่ของข้าจริง ๆ”

“เป็นไปไม่ได้ ข้าถามคนในเมืองนี้แล้ว ทุกคนต่างก็บอกว่าเจ้าเป็นคนทำน้ำขึ้นมา!” ชายคนนั้นเอื้อมมือหมายคว้าคอของซูหวานหว่าน แต่ซูหวานหว่านก้าวถอยหลัง พร้อมกับหยิบขวดน้ำศักดิ์สิทธิ์ออกมา แล้วให้โม่เหยียนนำจานมาใส่น้ำศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นนางก็โยนขวดเปล่าลงบนพื้น หญิงสาวหยิบเศษชิ้นส่วนที่แตกกระจายมา “ข้าเป็นคนออกแบบขวดเองกับมือ ข้างในขวดของข้าจะมีลายใบไผ่อยู่ หากไม่เชื่อก็มาดูได้”

ชายคนนั้นมองดูก็เห็นลายใบไผ่อย่างชัดเจน ทว่าก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย ซูหวานหว่านจึงปาขวดอีกใบ ภายในขวดก็ยังปรากฏลายใบไผ่ให้เห็น ชายหนุ่มโกรธมากโยนขวดที่ตนนำมาลงมือ และพบว่าข้างในนั้นว่างเปล่าไร้ลวดลายใด ๆ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก ทำให้เขาตกตะลึง

เมื่อดูจากฐานะของเขาแล้ว ซูหวานหว่านคิดว่าเขาเป็นคนที่มีอำนาจ นางจึงบอกให้เขาไปยังร้านของหยูเมียนเก๋อ บอกแหล่งที่มาของสินค้าปลอมชิ้นนี้

ชายคนนั้นสั่งให้คนรับใช้บังคับรถม้าจากไป

ยังไม่ถึงเวลาอาหารกลางวัน ซูหวานหว่านก็ได้รับข่าวดีจากนกตัวน้อย

ร้านหยูเหมียนเก๋อถูกทำลายจนพัง แม้แต่แผ่นป้ายโลหะก็ร่วงหล่นลงมา เมื่อสือเฉิงชุนมาถึงยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรก็ถูกทุบตีเสียแล้ว กระทั่งเขาหยิบจี้หยกออกมาแสดงฐานะที่แท้จริงของตนเอง คนเหล่านั้นจึงรีบหนีไป

หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ซูหวานหว่านพบว่ามันช่างน่าขบขันเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหากลองคิดดูแล้วร้านหยูเหมียนเก๋อเปิดมาไม่ถึงครึ่งเดือนก็ไม่สามารถเปิดได้แล้ว น่าตื่นเต้นเสียจริง ๆ

ซูหวานหว่านได้ประโยชน์จากเรื่องที่ยังไม่มีใครขายแป้งชาดทาหน้าที่ดี ๆ ในเมืองนี้นอกจากร้านของนาง เด็กสาวคิดจะซื้อร้านเป็นของตนเองและมอบให้โม่เหยียน กับโม่จิงเป็นคนดูแลจัดการร้าน ส่วนนางจะเป็นคนผลิตน้ำศักดิ์สิทธิ์และทำหน้าที่เป็นเจ้าของร้านด้วย ทว่าสองพี่น้องตระกูลสือนั้นก็ดูเหมือนจะหายตัวไป ทำให้ซูหวานหว่านรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ด้วยที่พวกเขาหายไปเช่นนี้อาจกำลังวางแผนเรื่องไม่ดีแน่ ๆ

ถังฟู่เองก็หายไปเช่นกัน เด็กสาวได้ข่าวจากนกน้อยว่าถังฟู่กลับไปที่บ้านของตน และไม่กล้าโผล่ออกมาให้ใครเห็นหลังกลับจากตลาดมืด

ฉีเฉิงเฟิงรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับซูหวานหว่านเพียงลำพังมานานแล้ว เขาจึงบอกว่าเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความพ่ายแพ้ของร้านหยูเหมียนเก๋อ จึงอยากจะชวนซูหวานหว่านทานข้าวด้วยกัน ซึ่งนางก็เห็นด้วย

ทั้งสองไปที่ร้านอาหารเจวียเซ่อ ฉีเฉิงเฟิงไม่ได้พานางเข้าไปในห้องส่วนตัวแต่อย่างใด กลับเรียกให้ทุกคนมารวมตัวกันที่ชั้นหนึ่ง เดิมทีเด็กสาวสงสัยว่าเขาคิดจะทำสิ่งใด เมื่อนางได้ยินผู้คนกล่าวชมพวกเขาทั้งสองว่าเหมาะสมกัน เด็กสาวก็รู้จุดประสงค์ของฉีเฉิงเฟิงทันที นางไม่โกรธเขาเลยแต่กลับหน้าซับสีด้วยความขวยเขิน

พวกเขาสั่งอาหารมาสองสามอย่าง และรอให้เด็กในร้านยกมันมา เมื่อเด็กในร้านกำลังเดินจากไป ทันใดก็มีคนขว้างตะเกียบใส่หน้าเขาแล้วพูดว่า “ร้านอาหารเจวียเซ่อของเจ้านี่มันอย่างไร! เหตุใดถึงมีหนอนอยู่ในอาหาร!”

เด็กในร้านรีบเดินเข้าไปดูทันที เขาหยิบจานขึ้นมาพร้อมเอ่ยว่า “ขออภัยขอรับ ข้าจะให้พ่อครัวทำอาหารมาให้พวกท่านใหม่”

“เฮอะ! ข้าไม่ต้องการ! ข้ากินจนเกือบจะอิ่มแล้วกลับพบเจอหนอน! น่าขยะแขยงเสียจริง ๆ! หากเป็นเช่นนี้เจ้าจะต้องจ่ายเงินชดเชยให้ข้าสิบเท่า แล้วข้าจะถือซะว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น” เขาพูดออกมา

“มีอะไรค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันดีหรือไม่ จ่ายเงินชดเชยเป็นจำนวนสิบเท่านั้นมันสูงเกินไปนะขอรับ!” เด็กในร้านพูดออกมาอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

ตามวิธีการปรุงอาหารของร้านเจวียเซ่อแล้ว ไม่มีทางมีหนอนอย่างแน่นอน ซูหวานหว่านลุกขึ้นยืนและมองไปในจาน ก็พบกับหนอนที่อยู่บนผัดผักที่เขากินเข้าไป เลยเอ่ยปากพูดว่า “ยังมีอะไรต้องพูดอีกงั้นหรือ ไม่ต้องคุยแล้ว!”

ลูกค้าคนนั้นกลับคิดว่าซูหวานหว่านออกตัวแทนเขา จึงรู้สึกอดภาคภูมิใจไม่ได้ ทว่ากลับได้ยินเด็กสาวพูดต่อว่า “เจ้าสั่งผัดผัก เหตุใดเมื่อผัดแล้วหนอนที่มีชีวิตอยู่ถึงอยู่ในนั้น ทั้งยังต้องการให้ร้านเจวียเซ่อจ่ายค่าชดใช้ให้อีก เจ้าฝันกลางวันอยู่หรืออย่างไร!”

เหล่าเด็กในร้านตกตะลึงจนอยากจะตบหัวตนเองหลาย ๆ ที พลันนึกขึ้นมาได้ “เจ้าต้องการก่อกวนร้านของเราใช่หรือไม่! ข้าจะรายงานเรื่องนี้กับพลลาดตระเวนและให้พวกเขาจับตัวเจ้าไป!”

ลูกค้าทั้งสองเกิดอาการตื่นตระหนกและเริ่มหาทางหนีทีไล่ ทว่าถูกผู้คุ้มกันจับตัวเอาไว้และนำตัวพวกเขาส่งให้กับพลลาดตระเวน จากนั้นผู้ดูแลหลิวก็เดินลงมาแล้วพูดว่า “ช้าก่อน! ร้านอาหารของเราเป็นมิตรกับทุกท่าน ข้าจะถือว่าเรื่องครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”

ผู้ดูแลหลิวไม่ใช่คนใจดี ทำให้ซูหวานหว่านรู้ทันทีว่าเขากำลังมีแผนอยู่ในใจ ดังนั้นนางจึงไม่เอ่ยห้ามและปล่อยตัวคนเหล่านั้นไป

ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงกลับมานั่งที่ของตัวเองเพื่อจัดการอาหารมื้อตรงหน้า ผู้ดูแลหลิวจึงอธิบายเหตุผลของตัวเองออกมา “ข้าเคยเห็นคนเหล่านี้มาก่อน พวกเขาเป็นคนของโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง และหัวหน้าของพวกเขา…”

“เจ้าไม่ต้องสนใจไป หากคราวหน้าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ข้าจะตีเขาให้ตายเอง” ซูหวานหว่านพูดอย่างโกรธเคือง

เขาไม่ต้องการแบบนั้นเสียหน่อย!

ผู้ดูแลหลิวหน้าเปลี่ยนสีทันทีและพูดมาอีกว่า “แต่ข้าได้ยินมาว่าร้านอาหารและร้านเหล้าในเมืองกำลังจะรวมตัวกันเพื่อทำการค้าร่วมกัน ท่านเห็นเทียบเชิญนี้หรือไม่ มันคืองานเลี้ยงสำหรับพ่อค้าแม่ค้าในเมือง และร้านของพวกเราก็ได้รับเทียบเชิญ! ท่านดูเถิด ท่านอยากจะไปหรือไม่?”

นี่มันเป็นงานเลี้ยงสำหรับคนรวย!

ซูหวานหว่านขมวดคิ้ว ครุ่นคิดว่านางควรจะไปดีหรือเปล่า?