ภาคที่ 4 ตอนที่ 45 เจ้าหญิงนิทรา

มรรคาสู่สวรรค์

หลังกั้วตงกล่าวประโยคนี้ออกมา ภายในกระท่อมสวนผักเงียบเสียงไปครู่ใหญ่

ในอดีตเผยไป๋ฟ่าถูกเทียนจิ้นเหรินลอบทำร้าย พ่ายให้กับเทพกระบี่ซีไห่ สภาวะเสียหายอย่างรุนแรง เก็บตัวอยู่หลายปีกว่าสภาวะจะฟื้นกลับมา แต่กลับต้องมาถึงช่วงเวลาที่ตะเกียงชีวิตกำลังจะมอดดับลง

ถงเหยียนคาดการณ์ถึงสาเหตุนี้เอาไว้แต่แรกแล้ว จึงนิ่งเงียบมิกล่าวกระไร

เหอจานพลันกล่าวว่า “ข้าสามารถทำอะไรได้บ้าง?”

ในแผนการนี้มีถงหลูและซูจึเย่ ท่านเผยที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดย่อมไม่อาจขาดได้ แต่แผนการนี้กลับไม่มีชื่อของเขา

ถงเหยียนที่เป็นวางแผนการนี้ถือว่าทำความดีความชอบแล้ว หรือว่าเขาไม่ต้องทำอะไร?

กั้วตงกล่าวว่า “เจ้าล้างท้องอยู่ในสำนักฌานเป่าทงมาครึ่งปี น่าจะสะอาดแล้ว เดี๋ยวตามข้าไปวัดกั่วเฉิงแล้วกัน”

หากเป็นเวลาปกติ เหอจานจะต้องร้องตะโกนว่าตัวเองไม่ต้องการเป็นพระอย่างแน่นอน แต่ในเวลานี้เขาเพียงแค่มองกั้วตงเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร

สุดท้ายญาติก็ยังเป็นญาติ

ถงเหยียนคาดการณ์ได้ว่าหลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนของตน จึงยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าวลา

เขาออกไปจากสวนผักที่พักอาศัยมาเป็นเวลานาน เดินไปตามถนนเส้นเล็กที่ปูด้วยแผ่นหินลงไปจากภูเขา

เมื่อมาถึงริมหมู่บ้านที่มีหมอกบางๆ ปกคลุม เขาเหลียวกลับไปมอง ยังพอมองเห็นตัวหนังสือใหญ่ๆ สองตัวบนป้ายสำนักฌานเป่าทงได้ลางๆ

เขาครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ท่านเผยกำลังแสวงหาความตาย แม้นเรื่องราวจะสำเร็จ แล้วจะไม่ตายได้อย่างไร?

หากคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ในตอนสุดท้าย ก็มีแต่ต้องให้สำนักฝ่ายธรรมะสำนักอื่นๆ ร่วมมือกัน แต่วัดกั่วเฉิงไม่มีทางทำเช่นนี้ สำนักจงโจวและสำนักชิงซาน…ก็ไม่มีทางเคลื่อนไหว

เทพกระบี่ซีไห่สะบั้นลานเมฆ แล้วก็สะบั้นข้ออ้างของสำนักจงโจวและชิงซานไปด้วย

แต่ท่านเผยลงมือได้ นั่นเป็นเพราะความแค้นระหว่างสำนักอู๋เอินเหมินและสำนักกระบี่ซีไห่ แล้วก็เป็นเพราะความแค้นระหว่างเขากับเทพกระบี่ซีไห่

เขายังทำอะไรอีกได้ไหม?

คิดคำนวณเก่งแค่ไหน สุดท้ายก็มีขีดจำกัด เรื่องราวในฟ้าดินใครจะคาดการณ์ได้ทั้งหมด?

ได้ยินว่าจิ๋งจิ่วสภาวะหยุดนิ่ง เดินทางออกไปจากชิงซาน ท่องไปในโลกภายนอกเพื่อหาวิธีบรรลุสภาวะ

ในตอนที่สภาวะหยุดนิ่ง ผู้บำเพ็ญพรตหลายๆ คนมักจะลองออกเดินทางท่องไปทั่วเพื่อหาโอกาสในการบรรลุสภาวะ แต่มิใช่ทุกคนที่จะได้สิ่งที่ปรารถนา

ความจริงผู้บำเพ็ญพรตส่วนใหญ่ล้วนล้มเหลว แล้วก็มีผู้บำเพ็ญพรตจำนวนไม่น้อยที่ค่อยๆ ล้มเลิกความหวังไปในระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว มอบความรักให้แก่ภูเขาลำธาร จนสุดท้ายก็อาศัยอยู่ร่วมกับภูเขาและลำธาร

ถงเหยียนเชื่อว่าจิ๋งจิ่วไม่มีทางที่จะมีจุดจบเช่นนั้น เพราะเขาเคยเล่นหมากล้อมกับจิ๋งจิ่ว

หากยังคำนวณหมากทั้งกระดานไม่ได้ จิ๋งจิ่วไม่มีทางวางหมากเด็ดขาด เช่นนั้นก่อนที่เขาจะออกจากชิงซาน เขาจะต้องคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดหลังจากนี้เอาไว้ทุกอย่างแล้ว

แต่คำนวณทุกอย่างแล้วจะมีประโยชน์อะไร?

ท่านเผยใช้เวลาสามปีสุดท้ายของตัวเองทำเรื่องนี้ นั่นเป็นเพราะเขาอยากทำ หาใช่เป็นเพราะเขาคำนวณเอาไว้แล้วว่าสามารถทำสำเร็จ

อย่างนั้นข้าล่ะ?

ชีวิตข้ายังเหลืออีกแปดร้อยปี ดูเหมือนจะยาวนาน แต่ความจริงแล้วก็เป็นเวลาแปดร้อยปีสุดท้าย

ข้าควรจะเอาเวลาแปดร้อยปีสุดท้ายมาทำอะไร?

ถงเหยียนคิดถึงเรื่องเหล่านี้ หมุนตัวเดินเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ในสายหมอก

……

……

ก็เหมือนกับที่ถงเหยียนคิดเอาไว้ จิ๋งจิ่วได้คำนวณทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยก่อนที่จะออกเดินทางจากชิงซาน นอกเสียจากจะมีตัวแปรบางอย่างที่อยู่นอกแผนการปรากฏขึ้นมา

จิ๋งจิ่วเองก็ไม่มีทางไปนั่งคิดว่าควรจะเอาช่วงเวลาไม่กี่ร้อยปีสุดท้ายของชีวิตไปทำอะไร

หากตอนนี้เหลือเวลาอีกสามร้อยปี เช่นนั้นก็จะพยายามทำให้ตัวเองอยู่ต่อไปได้ห้าร้อยปี

หากมีเวลาแปดร้อยปี เช่นนั้นก็พยายามทำให้ตัวเองอยู่ไปได้สามพันปี

หากมีเวลาสามพันปีก็จะต้องพยายามทำให้ตัวเองอยู่นานกว่านั้น

มองข้ามคืนวันที่อยู่ตรงหน้า ควรช่วงชิงเวลาหมื่นปีหลังจากนี้

เดิมการบำเพ็ญพรตมันก็คือการแสวงหาอายุขัยที่ยืนยาวอยู่แล้ว

ดังนั้นเขาจึงไม่มีแนวคิดว่าตนเองยังเหลือเวลาอีกกี่มี จะมีก็แต่ทุกๆ วัน ทุกๆ ช่วงเวลา ทุกๆ ชั่วพริบตา

ทุกวัน ทุกช่วงเวลา ทุกชั่วพริบตา เขาล้วนแต่บำเพ็ญเพียร

นี่ก็คือชีวิตในคุกสะกดมารของเขา

ในที่สุดการพูดคุยของเขากับจักรพรรดิแห่งหมิงก็จบสิ้นลง

เขาเข้าใจวิชาบัญชาเพลิงวิญญาณทั้งหมดแล้ว หลังจากนั้นเขาทำการอนุมาณวิธีการทำให้ผีกระบี่บำเพ็ญเพียรด้วยตัวเองแบบคร่าวๆ ออกมา เรื่องที่ต้องทำหลังจากนี้ก็คือตรวจสอบ

หลังพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันเป็นเวลานาน จักรพรรดิแห่งหมิงก็เข้าใจแนวคิดและความคิดของเขาจนหมด จึงอดรู้สึกตกตะลึงอย่างมากไม่ได้ เพียงแต่ยังมีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ

ที่นี่คือคุกไท่ฉางที่อยู่ภายในคุกสะกดมาร ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถดูดซับพลังวิญญาณจากฟ้าดินได้ เช่นนั้นเจ้าจะบรรลุสภาวะได้อย่างไร?

หากเจ้าไม่สามารถบรรลุสภาวะได้ เช่นนั้นจะทำให้ผีกระบี่เติบโตขึ้นมาได้อย่างไร?

หากไม่มีผีกระบี่ เช่นนั้นเจ้าจะพิสูจน์วิธีบำเพ็ญเพียรแบบใหม่นี้ได้อย่างไร?

จิ๋งจิ่วไม่ได้อธิบาย หากแต่กล่าวว่า “ข้าอาจจะหลับไปเป็นเวลานาน หากมีเรื่องอะไร รบกวนท่านช่วยปลุกข้าด้วย”

ถึงแม้จะเป็นการเก็บตัวทำสมาธิ แต่ถ้าเกิดโลกภายนอกมีความเคลื่อนไหวอะไร ผู้บำเพ็ญพรตก็สามารถตื่นขึ้นมาจากการทำสมาธิได้

ทว่าจิ๋งจิ่วกลับจำเป็นต้องให้จักรพรรดิแห่งหมิงปลุกตนเอง นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเตรียมจะจมดิ่งลงไปในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตสำนึก และทำการพิสูจน์เส้นทางการบำเพ็ญเพียรเส้นใหม่นี้ที่นั่น

ครั้นกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็ไม่ได้เริ่มทำสมาธิในทันที หากแต่หยิบเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมาตัวหนึ่ง จากนั้นนอนหลับตาลงไป

จักรพรรดิแห่งหมิงมองดูเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้น บนใบหน้ากึ่งโปร่งแสงมีสีหน้าที่ดูอยากรู้อยากเห็นปรากฏขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่าจะต้องสบายอย่างแน่นอน ตัวเองจะทำเก้าอี้แบบนี้ขึ้นมาสักตัวดีหรือไม่?

จิ๋งจิ่งเริ่มจมดิ่งลงไปในสมาธิ

ไม่ว่าจะเป็นเสียงต้นหญ้าที่เติบโต เสียงกลีบดอกไม้ที่เบ่งบาน เสียงหึ่งๆ ของยุงหรือเสียงหักของตะเกียบก็ล้วนแต่ไม่อาจทำให้เขาตื่นขึ้นมาได้

ผ่านไปหลายวัน เขายังคงหลับอยู่ อีกทั้งท่าทางก็มิได้เปลี่ยนแปลง เปลือกตาก็มิได้กระดิกเลยแม้แต่นิดเดียว

จักรพรรดิแห่งหมิงยืนอยู่หน้าเก้าอี้ไม้ไผ่ มองดูใบหน้าของเขา ก่อนกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ช่างเป็นการหลับที่งดงามจริงๆ”

เขาเป็นจักรพรรดิแห่งหมิง จำเป็นต้องรักษาท่าทีเอาไว้ ในตอนที่จิ๋งจิ่วตื่นอยู่จึงไม่สะดวกที่จะพูดอะไร ในเวลานี้จิ๋งจิ่วหลับลงไปแล้ว ในที่สุดเขาจึงได้กล่าวคำชื่นชมที่เก็บเอาไว้ในใจมานานออกมา

ในช่วงเวลาหลายวันหลังจากนั้น จิ๋งจิ่วยังคงนอนหลับ จักรพรรดิแห่งหมิงมองดูอยู่ข้างๆ ยิ่งเกิดความรู้สึกสงสัยในการบำเพ็ญเพียรของจิ๋งจิ่ว เพราะมันไม่เหมือนกับสำนักชิงซาน แล้วก็ยิ่งไม่เหมือนกับเผ่าหมิง อย่าว่าแต่ท่าทางเลย กระทั่งลมหายใจก็มิได้มีการเปลี่ยนแปลง คล้ายกับว่าเขาหลับไปจริงๆ

ต่อให้เป็นสิ่งที่สวยงามแค่ไหน เมื่อมองดูนานวันเข้าก็รู้สึกเบื่อหน่ายได้

จักรพรรดิแห่งหมิงตัดต้นไม้มานิดหน่อย ด้วยคิดอยากจะทำเก้าอี้เหมือนอย่างเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมาสักตัว แต่เขากลับพบว่าวัสดุไม่เหมือนกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ทำได้ไม่เหมือน จึงทำเป็นตั่งไม้ออกมาตัวหนึ่ง

เขาเอนกายลงบนตั่ง มองดูจิ๋งจิ่วที่หลับลึกอยู่ ในใจยังคงรู้สึกว่าเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้นเหมือนจะสบายมากกว่า แต่ก็กังวลว่าจิ๋งจิ่วนอนนานๆ แล้วเก้าอี้ไม้ไผ่จะถูกทับจนเสียหายหรือเปล่า

ในขณะที่คิดถึงเรื่องนี้ เขาพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

จิ๋งจิ่วยังคงนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ แต่กลับรู้สึกเหมือนร่างกายเขาเบาขึ้นกว่าเดิม

จักรพรรดิแห่งหมิงเดินไปยังด้านหน้าเก้าอี้ไม้ไผ่ ถึงได้พบว่าร่างกายของจิ๋งจิ่วมิได้สัมผัสกับเก้าอี้ไม้ไผ่ หากแต่อยู่ห่างขึ้นมาจากเก้าอี้ประมาณสองนิ้ว นี่เท่ากับว่าร่างกายเขาลอยขึ้นมา

หากให้คนอื่นมาเห็นภาพเหตุการณ์นี้ พวกเขาอาจจะคิดว่าจิ๋งจิ่วกลายเป็นผีไปแล้ว

แต่จักรพรรดิแห่งหมิงรู้ว่ามิใช่ เพราะเขาเคยเห็นภาพที่คล้ายกันนี้มาก่อน

หลังจากที่ฝึกวิชาบัญชาเพลิงวิญญาณมาถึงขั้นที่สาม เพลิงวิญญาณจะอยู่ในสภาพที่ลอยอยู่นิ่งๆ เหมือนกับจิ๋งจิ่วในเวลานี้

จักรพรรดิแห่งหมิงมองดูจิ๋งจิ่วที่หลับลึก สีหน้าค่อยๆ คร่ำเคร่งขึ้นคล้ายว่ากำลังคิดอะไรอยู่

เมื่อดูจากสภาพในเวลานี้ จิ๋งจิ่วน่าจะไม่มีปัญหาอะไร ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดร่างกายของเขาจึงลอยขึ้นมาเหมือนอย่างเพลิงวิญญาณ จักรพรรดิแห่งหมิงคล้ายจะคาดเดาได้ถึงอะไรบางอย่าง

เขาคว้าจับอักขระข่ายพลังขึ้นมาจากด้านล่างตั่งไม้ ก่อนจะเดินออกไปยังภายนอกของหุบเขาสีเขียว

เมื่อเดินไปถึงด้านหน้าผาขาดแห่งหนึ่ง เขามองดูความมืดขมุกขมัวที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้า นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่

เขาไม่ได้เงยหน้ามองท้องฟ้าสีน้ำเงิน เพราะท้องฟ้าเป็นสิ่งไม่จริง หุบเขาก็เป็นสิ่งไม่จริง มีเพียงความมืดขมุกขมัวแห่งนี้เท่านั้นถึงจะเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง