ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 123 ทุ่งเปลวไฟ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ก็เหมือนกับค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิคืนนั้น เขาหลับตานั่งสมาธิ สรรพสิ่งและตนเองทั้งสองต่างลืมสิ้น ดวงจิตออกจากร่างกายและความรู้ในสมอง ล่องลอยไปตามข้างใต้พื้นที่ว่าง สภาพแวดล้อมรอบๆ ปรากฏอยู่ในหัวสมองของเขา ลำแสงของแผ่นหินกับไข่มุกราตรีหลังจากผ่านการเปลี่ยนรูปร่าง ปรากฏในความคิดของเขาอีกครั้งหนึ่ง

หลับตาลงก็เป็นท้องฟ้าสีดำ หลังจากท้องฟ้าสีดำ ดวงดาวถึงจะปรากฏออกมา เช่นนี้ถึงจะสามารถเสาะหาดาวโชคชะตาที่เป็นของตนในท้องฟ้าได้ ทว่าสิ่งที่เขาจะทำตอนนี้มิใช่การจุดแสงดาวโชคชะตา แต่เป็นขั้นถอดจิต ด้วยเหตุนี้ดวงจิตของเขาจึงมิได้ล่องลอยสูงขึ้นไป ทว่าล่องลอยราวกับหิมะ กลับมายังร่างกายของตนเอง

ดวงจิตไร้น้ำหนักไร้รูปร่าง ทะลุผ่านเสื้อผ้าและผิวหนังได้ง่ายดาย เข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของร่างกายเขา หลังจากนั้นพบกับการสะท้อนกลับ นี่คือการมองภายใน หรือที่เรียกว่าการสำรวจตนเอง

ขั้นถอดจิตที่จริงแล้วมิได้แบ่งแยกขอบเขตชัดเจน เพียงแค่รวบรวมพลังจิตได้ การสำรวจตนเองของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียร ล้วนแต่กล่าวได้ว่าเข้าไปสู่ขั้นการถอดจิตแล้ว ถ้าหากอยากจะให้ระดับขั้นสูงขึ้นไปอีก ก็จะต้องใช้พลังจิตและเส้นลมปราณร่วมกัน แต่สิ่งที่เป็นพื้นฐานของวิชานี้ก็คือการสำรวจตนเอง

วิชาเกี่ยวกับบำเพ็ญเพียรที่เกี่ยวข้องกับการถอดจิต ล้วนแต่ถูกบันทึกเป็นประโยคเดียวคือ สำรวจร่างกายตน ถึงจะมองเห็นฟ้าดิน

เพราะเหตุใดน่ะหรือ เพราะว่าร่างกายของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเอง เป็นส่วนหนึ่งของฟ้าดิน ไม่เหมือนกับฟ้าดินของโลกที่เป็นธรรมชาติ ฟ้าดินของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรประณีตละเอียดมากกว่า ล้ำเลิศกว่า ถ้าหากกล่าวว่าพลังของผู้บำเพ็ญเพียรกำเนิดมาจากฟ้าดินตามธรรมชาติแล้ว เช่นนั้นปรารถนาจะให้ตนเปลี่ยนเป็นยิ่งแข็งแกร่ง จะต้องไม่หยุดที่จะปรับปรุงฟ้าดินเล็กๆ ของตน

การชำระล้างกระดูก เป็นการปรับปรุงก้าวแรกของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียร แต่อาจจะหยาบกว่า การถอดจิตคือการสำรวจ ก็เป็นการให้ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรแก้ไขร่างกายของตนไปพร้อมกันด้วย เพิ่มเข้าอีกเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมายังขั้นการถอดจิต ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรไม่สามารถหยิบยืมพลังของละอองดวงดาวได้โดยตรง อีกทั้งเป็นการเริ่มใช้ละอองดวงดาวเปลี่ยนเป็นพลังปราณแท้

ละอองดวงดาวเป็นฟ้าดินใหญ่ของธรรมชาติ พลังปราณแท้เป็นฟ้าดินเล็กๆ ของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียร

หากเปรียบเทียบกับผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรธรรมดาแล้ว สถานการณ์ของเฉินฉางเซิงมีความพิเศษ ก่อนอื่นเขาจะต้องเสาะแสวงหาละอองดวงดาวในฟ้าดินเล็กก่อน หลังจากนั้นทดลองเปลี่ยนเป็นพลังปราณแท้ของตน จุดที่อันตรายที่สุดก็คือเวลานี้ ร่างกายของเขายังไม่อาจชำระล้างกระดูกได้ จะรับพลังของละอองดวงดาวที่เพียงชั่วพริบตาเปลี่ยนเป็นพลังปราณแท้ปะทุขึ้นมาได้หรือไม่ จะเหมือนกับคนไข้ในบันทึกคัมภีร์การถอดจิตสี่ประการหรือไม่ แล้วจะเผาตนเองตายหรือไม่

เขามิได้ไปขบคิดปัญหาเหล่านี้ จิตใจเข้าสู่ร่างกายเริ่มสำรวจตนเอง แล้วจึงเริ่มเสาะหา

ฟ้าดินแม้จะเล็กก็ยังคงเป็นฟ้าดิน เมื่อเขานั่งถอดจิตสำรวจตนเอง จิตใจก็กลายเป็นลมเย็นสบายระหว่างฟ้าดิน ค่ำคืนนี้ร่างกายของเขาเสาะแสวงหาละอองดาว ก็เหมือนกับค่ำคืนนั้นที่เขาเสาะหาดาวโชคชะตาในท้องฟ้ายามราตรี เป็นการเสาะหาในฟ้าดินที่กว้างใหญ่เช่นกัน ขั้นตอนนี้ยาวนานยิ่งนัก ยาวนานจนลืมเลือนเวลาที่หมุนผ่าน

วิสัยทัศน์ที่เลือนราง เป็นลำแสงขึ้นๆ ลงๆ ไม่หยุดนิ่ง ก่อเกิดเป็นรูปร่างที่แปลกประหลาดพิสดาร รางเลือน ราวกับฟ้าดิน คล้ายกับว่าเคยรู้จักคุ้นเคย ทว่ากลับรู้สึกแปลกไม่คุ้นเคยเช่นกัน

มีพื้นดินที่นูนขึ้นมา ประหนึ่งเทือกเขาที่สูงอันตราย หรือว่าเป็นโครงกระดูก แต่พื้นที่ลึกที่แตกนั้น เริ่มมีพลังปราณออกมาที่ชีพจรนั่นคือสิ่งใด หรือว่าจะเป็นช่องเล็กที่สำคัญของร่างกาย

สายลมเย็นค่อยๆ ล่องลอยไปเบื้องหน้าในฟ้าดิน ดวงจิตอยู่ในร่างกายไม่หยุดสืบหา เขาค่อยๆ ปรับตัวกับความรู้สึกนี้ ภาพในดวงจิตค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชัดเจนยิ่งขึ้น หลังจากนั้นเขาพบกับหน้าผาที่แตกขาด แข็งแกร่งประหนึ่งก้อนหินภูเขาแปรเปลี่ยนเป็นขนมแป้งทอด เส้นปราณแตกขาดเสียหาย เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ทำให้ก่อเกิดความรู้สึกทุกข์ระทม

นี่เป็นร่างกายของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เขามองเห็นลักษณะที่แท้จริงของร่างกายตนเอง นี่ทำให้เขารู้สึกเศร้าเสียใจ หน้าผาที่แตกขาดเหล่านั้น พื้นที่แตกชำรุดก็คงจะเป็นเส้นปราณที่ขาดของตน หรืออาจจะกล่าวว่าเป็นเส้นปราณตัดขาด นี่เป็นเงาความตายที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างกายของตนหรือ

เพียงแค่…พลังที่ทำให้เทือกเขากลายเป็นแตกหักอันน่าหวาดกลัว แท้จริงแล้วมาจากไหนกัน

สายลมเย็นล่องลอยผ่านป่ารกร้างหลายหมื่นลี้ แนวเทือกเขาตัดขาดเก้าแห่ง มาถึงพื้นที่รกร้างที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว

เขาไม่รู้ว่าที่แห่งนี้เป็นที่ไหน รู้เพียงแค่ว่าหิมะที่ล่องลอยพันลี้ เหน็บหนาวไร้สิ่งใดเปรียบ อีกทั้งพื้นดินยังปกคลุมไปด้วยหิมะหลายชั้นอย่างยิ่ง สะอาดสะอ้านจนแสบตา

เขาไม่รู้ว่าพื้นหิมะคือสิ่งใด ยิ่งไม่รู้ว่าชั้นที่หนาเช่นนี้ เป็นหิมะที่สะอาดสะอ้านเช่นนี้ สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรแล้วแฝงไปด้วยอะไร ยิ่งไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ปู่ของพรรคกระบี่หอหลีซานในตำนานหรือว่าผู้แข็งแกร่งที่โลกรู้จักผู้อื่น ถ้าหากรู้ว่าเขามีพื้นที่หิมะที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ก็คงจะคิดหาวิธีให้เขาสืบเนื่องมรดกตกทอดของตนต่อเป็นแน่

สุดท้าย เขามองเห็นทะเลสาบผืนหนึ่ง

นั่นเป็นทะเลสาบที่อยู่ในฟ้าดิน เป็นสีฟ้าคราม ความรู้สึกของดวงจิต บริเวณรอบนอกหลายร้อยลี้ หรือจะกล่าวให้ถูก นี่เป็นเม็ดน้ำที่อยู่ในฟ้าดิน ด้านในไร้สารเจือปนใดๆ ไม่มีวัชพืชในน้ำ ไม่มีดินโคลน ยิ่งไม่มีสิ่งตกตะกอน มีเพียงน้ำโปร่งแสงที่สะอาดสะอ้าน ด้วยเหตุนี้ลำแสงลอดผ่านในนั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ถึงตรงนี้ ดวงจิตของเขาได้ลังเลสองจิตสองใจในฟ้าดินเล็ก จากความหมายการบำเพ็ญเพียรพื้นฐาน เขาเข้าไปถึงขั้นถอดจิต ถ้าหากความจริงถูกค้นพบ ทำให้ทั่วโลกตกตะลึงอย่างแท้จริง เพราะว่านี่อธิบายว่าเขามีสิ่งสะอาดบริสุทธิ์ที่สุด ดวงจิตที่สงบนิ่งที่สุด จนกระทั่งสามารถข้ามผ่านธรณีประตูขั้นนี้ไปได้!

ปัญหาอยู่ที่ นี่มิได้มีความหมายใดๆ

ดวงจิตจะแกร่งกล้าเช่นไร หากไม่มีพลังปราณแท้ ก็ยังคงเป็นคนธรรมดา อย่างมากที่สุดสามารถช่วยให้ขอบเขตการรับรู้สัมผัสของเขากว้างใหญ่ไพศาลขึ้น

พลังปราณแท้มาจากละอองดวงดาว

จากฤดูใบไม้ผลิมาถึงปลายฤดูหนาว เขาดึงแสงดวงดาวชำระล้างกระดูกทุกวัน ทว่ายังไม่อาจชำระล้างกระดูกสำเร็จ ละอองดวงดาวจะสะสมอยู่แห่งใด

เมื่อมาถึงเวลานี้ เฉินฉางเซิงเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา

เมื่อดวงจิตของเขาเสาะหาละอองดาว และเมื่อได้สัมผัส ละอองดาวทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นพลังปราณแท้ ร่างกายของเขาชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จ แต่ถูกอาจารย์และศิษย์พี่เคี่ยวยาเป็นเวลาหลายปี ที่จริงแล้วจะทัดทานพลังน่ากลัวที่จะปะทุออกมาได้หรือไม่

ดวงจิตของเขาเดินทางท่องเที่ยวในฟ้าดินใบเล็กอีกครั้ง หนึ่งลมหายใจไปได้ไกลหลายหมื่นลี้

ในที่สุด เขาจ้องมองไปยังพื้นหิมะแห่งนั้น…ขาวสุดลูกหูลูกตาทั่วทั้งผืน สะอาดสะอ้านจริงๆ งดงามจริงๆ

ดวงจิตของเขาล่องลอยสูงขึ้นไป มองได้ชัดเจนยิ่งขึ้นแล้ว หิมะผืนนี้กำลังละลายเชื่องช้า แต่เพราะหิมะไม่หยุดร่วงหล่นลงมา ด้วยเหตุนี้ขอบเขตของหิมะจึงมิได้เล็กลง ในทางกลับกันขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เปลี่ยนเป็นหนาขึ้น เพียงแค่อยู่ในลำแสงที่เผาไหม้รุนแรงที่สุด ปรากฏเป็นรอยแตกขึ้นมา

รอยแตกเล็กอย่างยิ่ง กลับเชื่อมระโยงระยางไปทั่วพื้นหิมะ นำพื้นหิมะตัดแบ่งเป็นหลายสิบชิ้น

เป็นที่นี่หรือไม่

เป็นที่นี่

เขาจ้องมองพื้นหิมะผืนนั้นเงียบๆ ยินดีอย่างยิ่ง

พื้นหิมะเหล่านั้น เดิมทีมิใช่หิมะ เป็นก้อนผลึกที่ละอองดาวสะสมกันอยู่

ตนสามารถฝึกบำเพ็ญเพียรได้

ดาวละอองเหล่านั้นยังคงอยู่

เช่นนั้น ต่อไปจะทำอย่างไรดี

เขาไม่ได้ใช้เวลาคิดยาวนาน เพราะว่าเรื่องนี้ไม่ต้องการให้เขาคิด และไม่อาจให้เขาคิดได้

เพียงชั่วพริบตาเมื่อดวงจิตมั่นใจว่านั่นคือละอองดาว ฟ้าดินใบเล็กก็รับรู้ได้

การสำรวจ หลังจากนั้นทำการตัดสิน นี่เป็นการสัมผัส

จากท้องฟ้ามาถึงยังพื้นดิน อาจจะหลายหมื่นลี้ อาจจะเป็นระยะห่างเพียงหนึ่งนิ้วมือ ดวงจิตของเขาร่วงจากท้องฟ้าถึงพื้นดิน ใช้เพียงแค่ความนึกคิดหนึ่งเท่านั้น

ดวงจิตร่วงหล่นอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ค่อยๆ ลอยห่างจากบนพื้นหิมะ

ดวงจิตของเขาก็เหมือนกับคบไฟก้านหนึ่ง ร่วงหล่นในใบไม้ที่แห้งเหี่ยวเต็มภูเขาเต็มป่า

ละอองดาวเกาะกันกลายเป็นหินผลึก ชั่วพริบตามีแสงสว่างไร้ขอบเขต หลังจากเริ่มเผาไหม้รุนแรง

ไร้เสียง และก็ไร้ฝุ่นละออง มีเพียงเปลวไฟปะทุไหม้ขึ้นมา

พื้นที่ของพื้นที่หิมะ อย่างน้อยก็มีขนาดใหญ่หลายพันลี้ ทว่าหลังจากดวงจิตของเขาร่วงหล่นลง เป็นเพียงแค่ชั่วพริบตา ทั่วทั้งพื้นหิมะแผดเผาขึ้นมา

เปลวไฟที่สะอาดโปร่งแสง มีอุณหภูมิสูงนับไม่ถ้วน กำลังแผดเผาท้องฟ้า

ผลึกแก้วด้านหนึ่งแผดเผา ด้านหนึ่งละลาย กลายเป็นดังหินหนืด ไหลรินเชื่องช้าทุกทิศทุกทาง เวลาไม่นานแพร่ขยายไปบริเวณขอบเขตของพื้นที่หิมะ มาถึงยังป่ารกร้าง หินหนืดเหล่านั้นเป็นส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของละอองดาว เป็นพลังแฝงที่ยากจะจินตนาการได้ เป็นลำแสงสีแดงสว่างไสวที่แพร่กระจาย คล้ายกับว่าน่าหวาดกลัวเป็นพิเศษ ผ่านพ้นสถานที่แห่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นทุ่งหญ้าหรือว่าหินผา ล้วนแต่เผาไหม้ขึ้นพร้อมเพรียงกัน

หินหนืดไหลรินเข้าไปในหน้าผาที่แตกร้าว หน้าผาเริ่มแผดเผา

รินไหลเข้าไปในพื้นที่ชำรุด พื้นที่นั้นเริ่มแผดเผา

ทั่วทั้งฟ้าดินใบเล็กเริ่มแผดเผาขึ้นมา

พื้นที่ด้านล่างเงียบสงบ อยู่ๆ ก็ปรากฏลมหายใจที่อบอุ่นขึ้นมา

มังกรดำจ้องมองเฉินฉางเซิงที่หลับตาแน่น มองหิมะที่ร่วงหล่นบนร่างกายเขาเพียงชั่วพริบตาก็ละลาย ความเฉยเมยในนัยน์ตามีความแปลกประหลาดใจมาแทนที่

ในเวลาต่อมา ดวงตาของมันเปลี่ยนเป็นจริงจังอย่างยิ่ง

ใบหน้าของเฉินฉางเซิงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ จมูกพ่นลมหายใจออกมา พบกับช่องว่างที่หนาวเย็นเล็กน้อย ชั่วพริบตากลายเป็นไอหมอกสีขาว

หิมะร่วงหล่นบนร่างกายเขาก็ละลาย หลังจากนั้นระเหยอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งตัวเขาถูกไอหมอกสีขาวปกคลุม

อุณหภูมิร่างกายของเขาตอนนี้แท้จริงแล้วสูงเท่าไหร่

ดวงตาของมังกรมีท่าทางกังวลใจขึ้นมา ถอนลมหายใจไปยังเขาเบาๆ

ลมหายใจปะปนกับเกล็ดน้ำแข็ง ร่วงหล่นบนร่างกายของเฉินฉางเซิง

เพียงแค่ชั่วพริบตา ภายนอกร่างกายเฉินฉางเซิงปรากฏเป็นน้ำแข็งเคลือบไว้

อย่างไรก็ตาม หลังจากชั่วครู่ น้ำแข็งที่เคลือบไว้ก็แตกละเอียด หลังจากนั้นละลาย แล้วก็ระเหย!

ใบหน้าของเฉินฉางเซิงยิ่งนานยิ่งแดง ร่างกายยิ่งนานยิ่งเปลี่ยนเป็นร้อน เส้นเลือดบริเวณต้นคอเปลี่ยนเป็นหนาขึ้น หลังจากนั้นปูดนูนขึ้น เวลาต่อมา เส้นยิ่งนานยิ่งหนาขึ้น เริ่มปูดนูนออกมาที่ผิวหนัง เส้นโลหิตดำปกคลุมหนาแน่น มองแล้วน่าหวาดกลัวยิ่งนัก จนกระทั่งเห็นโลหิตที่อยู่ในเส้นเลือดไหลอย่างรวดเร็ว

พื้นที่ข้างใต้เงียบนิ่ง มีเสียงกลองดังตึกๆ ขึ้นถี่ นั่นเป็น…เสียงหัวใจเต้นของเขา

หัวใจของเขาเต้นด้วยความเร็ว โลหิตในเส้นเลือดก็ไหลเวียนรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาเสื้อผ้าเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ หลังจากนั้นก็ระเหยจนแห้ง

ร่างกายของเขามีปฏิกิริยาโต้ตอบมากมาย ปรารถนาแก้ไขปัญหาที่เผชิญอยู่ตอนนี้

ทว่าขณะนี้ละอองดาวเปลี่ยนเป็นพลังปราณแท้ กำลังวิ่งวุ่นทำร้ายในร่างกายเขา เขายังไม่มีประสบการณ์ชำระล้างกระดูก แล้วร่างกายเขาจะรับไหวได้อย่างไร

แล้วไหนเส้นลมปราณที่ขาดมาตั้งแต่กำเนิดของเขา ทำให้จำนวนปราณแท้ที่รับได้น้อยกว่าคนธรรมดาอย่างยิ่ง สถานการณ์ยิ่งอันตรายอย่างยิ่ง

เฉินฉางเซิงหลับตาแน่น เส้นเลือดขอบตาไม่หยุดกระตุก หัวคิ้วขมวดแน่นขนัด คล้ายกับว่าทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง

เขากระโดดข้ามจากขั้นชำระล้างกระดูกเป็นขั้นถอดจิต เพราะว่าเขาปรารถนาจะมองเพียงชั่วครู่ว่าแท้จริงแล้วละอองดาวมีหรือไม่ เช่นนี้ถึงจะสงบจิตใจได้ มิเช่นนั้นจะทำให้เขาละทิ้งการสอบใหญ่ เขาจะไม่ยินยอมเป็นอันขาด

ตอนนี้เขามองเห็นพื้นหิมะผืนนั้น ละอองดาวเริ่มเผาไหม้ เริ่มเปลี่ยนเป็นพลังปราณแท้ เขาก็จะเสียชีวิตแล้วรึ หรือว่าเช่นนี้จะสามารถยินยอมได้กัน

มองเห็นท่าทางทุกข์ทรมานของหนุ่มน้อย ดวงตาของมังกรดำเผยท่าทางน่าเวทนาให้เห็น แต่กลับมิได้ทำสิ่งใด