เสียง ฟิ้ว ดังขึ้นแผ่วเบา เงาร่างสองคนกะพริบวูบแยกย้ายยามเดียวกัน กริชกับแผ่นหินล้มเหลวโดยพร้อมเพรียง
อีกครู่ต่อมา คนผู้นั้นหลอมรวมกับหมอกหนาสีเทา ทะลุผ่านกลางกลุ่มนายกองบรรดาศักดิ์ของทหารคั่งหลง
เขาพลิ้วไหวทะลุผ่านกลางไอควันดุจมัจฉาแหวกว่ายดั่งภูตพรายประหนึ่งปลาไหล คล่องแคล่วแผ่วเบา ใกล้ชิดข้างหลังนายกองบรรดาศักดิ์นายหนึ่งแล้ว
คนผู้นั้นคล้ายรู้ตัว ปฏิกิริยาน่าอัศจรรย์เช่นกัน ไม่หันหลังมาด้วยซ้ำ ทว่าพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มีดบางในมือแทงย้อนหลังอย่างรุนแรงแล้ว
ทว่ายังคงสายเกินไป
เรือนร่างของนายกองบรรดาศักดิ์เพิ่งหลบหลีก โลหิตพลันพุ่งออกมาจากหลังเอวเขาแล้ว ทะลุผ่านหมอกเทา พุ่งลงบนโขดหินสีเทาดังซ่า ภายในซอกหินพลันมีใบหญ้าโผล่ออกมาคล้ายกำลังกลืนกินโลหิต
โลหิตสายนี้คล้ายเป็นคำสั่งหนึ่ง ชั่วพริบตาเหล่าเงาล่องลอยพวกนั้นเริ่มขยับเขยื้อน พอเคลื่อนไหวกลายเป็นสายฟ้าเป็นลำแสง!
ประดุจด้ายเทาแต่ละสายพุ่งกระจายทั่วทุกสารทิศ กะพริบวูบผ่านข้างกายนายกองบรรดาศักดิ์ที่ยังไม่ทันได้หันหลังเหล่านั้น แตะต้องแล้วแยกย้าย จากนั้นโลหิตแต่ละสายพวยพุ่ง!
สภาพการณ์กลางไอควันเลือนรางชั่วขณะ ภายในทิวทัศน์สีเทามองเห็นได้เพียงด้ายเทาและด้ายแดงที่เรียงร้อยเป็นช่องว่าง คล้ายภาพวาดสามมิติที่กำลังเป็นรูปเป็นร่างภาพหนึ่ง
หมอกเทาไม่เพียงแต่ไม่ได้กระเซ็นสูญสลายท่ามกลางการเคลื่อนไหวของคนประหลาดเหล่านั้น ทว่าหนาแน่นมากยิ่งขึ้น ราวกับว่าร่างกายของคนเหล่านี้กำจายไอควันด้วยตนเองอยู่แล้ว
เหล่านายกองบรรดาศักดิ์ถูกโจมตีกะทันหัน แลนับว่าปฏิกิริยาล้ำเลิศ บางคนตะโกนเสียงยาวว่า “ข้างหลังมีศัตรู หันหลังชนกันจัดกระบวนทัพ!”
เงาคนเหินขึ้นเหินล่อง เหล่านายกองบรรดาศักดิ์จัดกระบวนทัพปกป้องข้างหลังของกันและกันอย่างรวดเร็ว เดิมทีนี่เป็นการโต้ตอบที่แม่นยำล้ำเลิศยิ่งนัก ทว่าเหล่าเงาพวกนั้นเพียงหัวเราะอย่างแปลกประหลาด เงาร่างไหลผ่านดุจสายธารสีเทา เปลี่ยนแปลงหลากหลาย ผู้นำของพวกเขาคล้ายเป็นผู้มากความสามารถนัก ท่ามกลางสถานการณ์สู้รบยังคงสามารถอาศัยเสียงผิวปากควบคุมการเคลื่อนไหวของทุกคน พฤติกรรมของเหล่าเงาแลคล้ายยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ ทว่าแท้จริงแล้วตอบสนองซึ่งกันและกันอย่างชาญฉลาดยิ่งนัก คล่องแคล่วจนแม้แต่นายกองบรรดาศักดิ์ที่เป็นวีรบุรุษร้อยสงครามเหล่านั้นยังไม่ได้สังเกตเห็นตั้งแต่แรก กว่าพวกเขาจะรู้ตัวก็สายเกินไป นายกองบรรดาศักดิ์ทุกนายรู้สึกว่าตนเองกำลังเผชิญหน้าศัตรูนับมิถ้วน อีกฝ่ายพลิกแพลงทิศทาง ลงมือแปลกประหลาดไม่อาจคาดเดา ค่อยๆ ถูกโจมตีจนแยกจากกันอีกครั้ง
จิ่งเหิงปัวยืนบนความสูงครึ่งหุบเขาที่หมอกพิษค่อนข้างเบาบาง มองออกว่าสถานการณ์สู้รบข้างล่างไม่เท่าเทียมกัน พวกนายกองบรรดาศักดิ์ไม่คุ้นเคยภูมิประเทศ สายตาเลือนราง ซ้ำยังถูกหมอกพิษควบคุม ยิ่งไม่อาจตอบสนองต่อท่าร่างอัศจรรย์ที่อีกฝ่ายฝึกฝนกลางหุบเขาและบึงโคลนได้ ภายในระยะเวลาอันสั้นล้มลงถูกสังหารฝ่ายเดียวโดยสิ้นเชิง ทว่าน่าประหลาดคือเงาที่จู่โจมพวกนั้นคล้ายไม่ได้คิดจะลงมือสังหารตั้งแต่แรก ตำแหน่งที่พวกเขาโจมตีตอนแรกไม่ใช่จุดสำคัญ แต่เป็นตำแหน่งจำพวกเอวซี่โครงข้อต่อที่ส่งผลกระทบกับการเคลื่อนไหว
ถ้าโจมตีจุดสำคัญจำพวกหัวใจหว่างคิ้วตั้งแต่แรก คนพวกนี้คงตายไปนานแล้ว
นี่มันตั้งใจหยอกล้อหรือในใจเกลียดชัง ไม่อยากให้อีกฝ่ายตายอย่างรวดเร็ว ต้องการทรมานพวกเขาจนกว่าจะตายเหมือนแมวหยอกหนูเหรอ?
จิ่งเหิงปัวสังหรณ์ใจว่าเป็นอย่างหลัง
เพราะว่าทั้งที่นางเป็นบุคคลที่อันตรายที่สุด หัวหน้าคนนั้นไม่อาจจัดการนางบนหน้าผาได้ แต่ไม่ได้ออกคำสั่งให้ลูกน้องล้อมโจมตีนาง กลับปล่อยนางไว้แล้วหันมาลงมือกับนายกองบรรดาศักดิ์พวกนี้แทน มองอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผล
จิ่งเหิงปัวยืนหรี่ตามองจากที่สูง ได้สังเกตรูปแบบการต่อสู้จริงของยอดฝีมือเป็นประสบการณ์แสนล้ำค่า สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือนางเรียนรู้การวิเคราะห์และคาดการณ์จากเรื่องนี้ได้ วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของรูปแบบการต่อสู้ รวมทั้งวิเคราะห์ว่าถ้าตนเองตกอยู่ในรูปแบบการต่อสู้พวกนี้ควรต่อสู้กับศัตรูอย่างไร
ผ่านไปไม่นานนางจึงมองเห็นเบาะแส
เงาสีเทาแปลกประหลาดเหล่านั้นคล้ายไม่ยอมเข้าใกล้โขดหิน ทุกครั้งที่กำลังจะเข้าใกล้พลันกะพริบออกมาอย่างรวดเร็ว เงามากขนาดนั้นลอบจู่โจมในพื้นที่เล็กแคบ เงาร่างสลับซ้อนไปมา ยอมเสี่ยงอันตรายเฉียดผ่าน แต่พยายามไม่เข้าใกล้บริเวณรอบโขดหิน
หินก้อนนี้มีอะไรซ่อนอยู่กันแน่?
จิ่งเหิงปัวกะพริบกายลงมา เห็นในซอกโขดหินใกล้เชิงเขามีพืชสีเขียวเข้มชนิดหนึ่งขึ้นอยู่ ใบไม้บาง ขนาดเล็กมาก บนใบไม้มีลวดลายแปลกประหลาดเหมือนหน้าผี
สิ่งที่คนพวกนี้กลัวคือโขดหินหรือพืชชนิดนี้?
จิ่งเหิงปัวนึกถึงตอนที่หัวหน้าคนนั้นกับตนเองพลิกตัวตลอดทางจากบนหน้าผา นึกถึงวิธีที่เขาแนบร่างบนกำแพงภูเขา ในใจคล้ายเริ่มเข้าใจ
นางเอื้อมมือกวักครั้งหนึ่ง หญ้าชนิดนั้นในซอกภูเขากลุ่มใหญ่มาถึงตำแหน่งสามฟุตตรงหน้าแล้ว
นางไม่ได้ใช้มือสัมผัส นางไม่กล้าใช้ผิวกายสัมผัสของทุกสิ่งในหุบเขานี้
ผู้นำกลางหมอกเทาคนนั้นพลันเงยหน้า มองเห็นสิ่งของตรงหน้านาง สายตาจ้องเขม็ง เปล่งเสียงคำรามแผ่วเบาออกมาโดยพลัน เงาร่างกะพริบวูบ
ทว่ารอกระทั่งให้เขาพุ่งสู่ตำแหน่งที่จิ่งเหิงปัวยืนอยู่เมื่อครู่ ก็มองไม่เห็นเงาร่างของจิ่งเหิงปัวแล้ว พอเงยหน้าอีกครั้งกลับมองเห็นเงาร่างงดงามเพรียวบาง ก้มหน้ายิ้มให้เขาจากบนที่สูง จากนั้นสองมือหว่านเพียงครั้ง
หญ้าหน้าผีกลายเป็นเศษเสี้ยวนับมิถ้วน โปรยปรายทั่วท้องฟ้า
“ถอย!”
ผู้นำคนนั้นเปล่งเสียงคำรามกระด้างออกมา เหล่าเงาที่ยังคงทรมานคนอยู่ข้างล่างหยุดชะงักโดยพลัน
พอพวกเขาเงยหน้า ก็พลันมองเห็นสายฝนต้นหน้าผีทั่วท้องฟ้า
ไม่ต้องเรียกเป็นครั้งที่สอง คนเหล่านี้ก็ทยอยเปล่งเสียงร้องประหลาด กะพริบวูบหายไปดังสวบ
มาดุจภูตพรายหายไปไร้ร่องรอย ชั่วครู่นั้นในหุบเขาว่างเปล่า ไอควันกำลังจางลงอย่างเชื่องช้า
เหล่านายกองบรรดาศักดิ์บางนายยังกวัดแกว่งอาวุธมั่วซั่วกลางอากาศ…คู่ต่อสู้พลันหายไป กลางหมอกเลือนรางพร่ามัวคล้ายยังหลงเหลือเงาที่พวกเขาหวาดกลัว
ผ่านไปสักพัก พวกเขาถึงเริ่มรู้สึกตัวว่าศัตรูหายไปแล้ว หอบหายใจกุมบาดแผลไว้ ค้ำยันอาวุธเหลียวมองอย่างงงงวย คนส่วนใหญ่หกล้มอยู่บนพื้น ความตึงเครียดหวาดกลัวผ่านพ้น ยามนี้เพิ่งรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากบาดแผล
“ผี! ผี!” มีคนตะโกนขึ้น ไม่เข้าใจว่าเหตุใดศัตรูพลันปรากฏแล้วหายไป อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ยังเลื่องนามว่าหุบเขามรณะ แล้วศัตรูมาจากที่ใด?
“เมื่อครู่คือผู้ใด!” มีคนตะโกนลั่นออกมาด้วยความโกรธแค้น กำอาวุธในมือแน่น
สายตาของคนส่วนใหญ่จ้องคนข้างกายอย่างระแวง…เมื่อครู่ศัตรูมาจากข้างหลัง ลงมือดุจอสนีบาต หายไปอย่างพิลึกพิลั่น พวกเขามองเห็นรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายไม่ชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ ยิ่งกว่านั้นคนธรรมดาอยู่รอดในหุบเขาเทียนฮุยไม่ได้ ภายในหุบเขาไร้มนุษย์เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันทั่วไป เช่นนั้นผู้ลงมือไม่ใช่สหายร่วมรบของตนเองแล้วเป็นผู้ใด?
แทบจะครู่นั้น บรรยากาศสงสัยหวาดกลัว ตึงเครียด ไม่สบายใจจึงแผ่คลุมยี่สิบสามสิบคนนี้ สหายร่วมรบที่เมื่อครู่ยังต่อสู้หลังชนกันพลันกลายเป็นภูตผีปีศาจที่ซ่อนเร้นกลางหมอกเทา หวังจู่โจมสันหลังของตนเองจนถึงแก่ชีวิตได้ทุกเวลา
“เจ้าฉัง” มีคนหอบหายใจหนักหน่วง เอ่ยว่า “เมื่อครู่ดาบนั้นของเจ้าเหตุใดจึงหันมาหาข้า?”
“เหลวไหล!” เจ้าฉังหน้าแดงโก่งคอตวาดว่า “ข้าหันหาเงานั่นต่างหาก! มันอยู่ข้างหลังข้า!”
“ข้างหลังเจ้าก็มีดวงตาอยู่ด้วย? น่าอัศจรรย์นัก” มีคนยิ้มเยาะ
“เช่นนั้นดาบสะบั้นกะโหลกก่อนหน้านี้ของเจ้าเล่า เหตุใดถึงคำรามบนศีรษะข้าอีกรอบ!”
“เหลวไหล! ข้าสะบั้นเงาต่างหาก! มันอยู่ทางเจ้า!”
“เงาสินะ ผู้ใดรู้ว่าเงานี้คือผู้ใดเล่า? อาจจะเป็นข้า อาจจะเป็นเขา หรืออาจจะเป็นเจ้า?”
“เจ้ามันใส่ร้ายป้ายสี…”
“ไอ้หยา ชักมีดแล้ว จะฟันผู้ใดกัน? เข้ามาเลย! ข้ายอมสู้จนตัวตายต่อหน้า ดีกว่าต้องถูกลอบแทงข้างหลัง!”
“เจ้าเอ่ยว่าผู้ใดลอบแทงข้างหลังกัน!”
…