พายุและสายฟ้าโหมกระหน่ำพร้อมกับประกายแสงวิบวับ ท้องทะเลเกิดคลื่นยักษ์ขนาดเท่าบ้าน พลังที่โจมตีไม่ถูกเป้าหมายทำให้เกิดบาดแผลไปทั่วเกาะจอมเวท พวกมันเกิดขึ้นจากการปะทะของพลังอันยิ่งใหญ่

แม้จะมองเห็นไม่ชัดเจนเพราะการต่อสู้เกิดขึ้นไกลออกไปมาก แต่นางก็คาดเดาว่าคนที่กำลังประจันหน้ากับแอสรันคือราธบัน กระนั้นก็ยังไม่อาจแน่ใจ

‘เกิดอะไรขึ้นกันแน่?’

ราธบันแข็งแกร่งก็จริง วันที่วิหารหลวงล่มสลายก็เป็นเขาที่เผชิญหน้ากับพระเจ้าบรรพกาลร่วมกันแอสรัน แต่ถึงบอกว่าจะกำลังต่อสู้กับแอสรันในอดีตที่อ่อนแอลงมาหน่อยก็ไม่น่าไล่ต้อนอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้

ยิ่งไปกว่านั้น นี่เขาข้ามโลกมาได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้ ดังนั้นลีน่าจึงเกิดความสงสัยว่าคนที่กำลังกดดันแอสรันอยู่ตอนนี้ใช่ราธบันที่ตนรู้จักหรือเปล่า

ระหว่างนั้นเอง แอสรันก็ยิ่งจนมุมขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องดูจนจบก็รู้ได้ นี่เป็นการต่อสู้ที่ราธบันเป็นฝ่ายชนะ หลังจากนั้นไม่นานร่างของแอสรันก็ร่วงลงมาบนเกาะ พื้นดินสั่นสะเทือนจนฝุ่นดินคลุ้งกระจาย ขณะที่ลีน่ากำลังมองภาพนั้นอย่างเหม่อลอย ราธบันที่ลอยอยู่บนฟ้าก็ลงมาหานาง

“ราธบัน…?”

ในที่สุดก็ได้พบกัน รูปโฉมของราธบันทำให้ลีน่าเบิกตากว้าง เห็นได้ชัดว่าเขาคือราธบัน แต่ไม่ใช่ราธบันที่นางจดจำได้

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ลีน่า”

น้ำเสียงของเขาที่กล่าวเช่นนั้นทุ้มต่ำกว่าเมื่อก่อนมาก สิ่งที่ต่างไปไม่ได้มีแค่เสียงเท่านั้น ลีน่าเดินเข้าไปหาเขา ระหว่างเส้นผมสีดำสนิทมีเส้นผมสีขาวแซมอยู่ ใบหน้ามีร่องรอยของวันเวลาสลักลึก

“ราธบัน ทำไมถึงได้…”

ลีน่าเสียงสั่นเมื่อเห็นรูปโฉมของราธบันที่ดูเหมือนต้องแก่ชราไปหลายสิบปีเพียงลำพัง

“ท่านไม่ต่างจากที่ได้เห็นครั้งสุดท้ายเลย หลังจากตกลงไปในถ้ำแนวตั้งจนถึงตอนนี้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว?”

ได้ยินดังนั้น ลีน่าก็รู้ว่าราธบันที่กำลังพูดอยู่ตอนนี้คือราธบันคนเดียวกับที่เคยอยู่กับตนในตอนนั้น นางตอบกลับเสียงสั่น

“ปะ ประมาณสามวัน…แล้ว…เจ้า…”

ราธบันยิ้มขมขื่นออกมาเมื่อได้ยินดังนั้น

“ข้าตามหาท่านมาสามสิบปีแล้ว”

สามสิบปี ลีน่าพลันตกตะลึง สำหรับนางเพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง แต่เขากลับผ่านไปสามสิบปีแล้ว?

“ข้าตามหาท่านมาตลอด ไปมาหลายโลกเหลือเกิน ข้าเชื่อว่าท่านยังไม่ตาย สิ่งที่ทำให้ข้าเหนื่อยคือวันต่างๆ ที่ไม่ได้เจอท่านมันช่างยาวนานเหลือเกิน พอเห็นท่านยังปลอดภัยเช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว”

ราธบันยิ้มขณะกล่าวเช่นนั้น เป็นรอยยิ้มที่ราวกับจะบอกว่าในที่สุดก็ได้เจอนางแล้วเพราะงั้นจากนี้ตนไม่เป็นอะไรแล้ว ลีน่ารู้สึกถึงลำคอที่ตีบตัน สามสิบปี สามสิบปีเชียวนะ ที่เขาต้องผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นและตามหานางเพียงคนเดียว

ทั้งที่ควรต้องยอมแพ้ไปแล้ว แต่ราธบันกลับมาจนถึงโลกใบนี้เพื่อตามหานาง เขาดึงร่างของลีน่าที่ซวนเซเข้าไปกอดอย่างแนบแน่น เป็นอากัปกิริยาที่นิ้วมือเพียงนิ้วเดียวก็ยังมีความคะนึงหาซึมซาบออกมา ริมฝีปากของราธบันแตะลงบนหน้าผากของลีน่าที่ไม่อาจเอ่ยคำใด เป็นจุมพิตที่ราวกับบอกว่าหากนางปลอดภัยทุกอย่างก็ไม่เป็นอะไร

“เป็นไปไม่ได้…ทำไมถึงได้ตามหาข้า…เวลานานขนาดนั้น…”

ราธบันยิ้มขมขื่นพลางลูบหลังลีน่าที่พูดไม่เป็นประโยคเพราะร้องไห้

“มันไม่ใช่เวลาที่เสียเปล่า นั่นทำให้ข้าได้เรียนรู้อะไรมากมายจนแข็งแกร่งขึ้นมาก และยังหาท่านจนเจอแบบนี้ ดังนั้นมันไม่ใช่ช่วงเวลาที่ไร้ความหมายเลย”

น้ำเสียงของราธบันเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แม้เขาจะกล่าวเช่นนั้น แต่ลีน่าก็คาดเดาได้ว่าเขาต้องผ่านช่วงหวาดกลัวและลำบากมากเพียงใด ตอนนั้นเอง นางก็ได้ยินเสียงแอสรันลุกขึ้นจากด้านหลัง

‘ปล่อยลีน่า’

ราธบันเหวี่ยงดาบไปแทนคำตอบ ทันใดนั้นเลือดก็สาดกระเซ็นออกมาจากขาหน้าของแอสรัน ปีศาจข่มกลั้นเสียงร้องและบิดตัว

“ราธบัน!”

“ไม่เป็นไรขอรับ อย่างไรทุกอย่างก็เป็นภาพหลอน”

“…ภาพหลอน?”

“ถ้าจะให้เล่าสิ่งที่ข้าได้เรียนรู้ระหว่างเดินทางอย่างง่ายๆ…โลกใบนี้ที่พวกเราเผชิญอยู่คือโลกที่แอสรันมองเห็นขอรับ เป็นพื้นที่ที่เวลาทั้งหมดของทุกโลกที่เขาเคยผ่านมาพัวพันกันอย่างยุ่งเหยิง นี่ไม่ใช่ตัวจริง หรือพูดให้ชัดเจนก็คือ นี่คือความทรงจำของแอสรัน”

“นั่นมันจะเป็น…”

ลีน่าที่กำลังจะถามว่าเป็นไปได้หรือพลันหุบปาก แอสรันกลายเป็นพระเจ้าแล้ว คำพูดนั้นหมายความว่าทุกสิ่งที่อยู่นอกเหนือความรอบรู้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น เวลาและพื้นที่ไร้ความหมาย โลกเคลื่อนที่โดยขึ้นอยู่กับสิ่งที่มนุษย์ไม่บังอาจรู้

“เพราะฉะนั้น ภาพของแอสรันจึงปรากฏขึ้นในทิวทัศน์อีกด้านของการซ้อนทับที่พวกเราเคยเห็นอยู่เสมอ”

พูดจบ ราธบันก็ยื่นมือออกไปหาลีน่า

“อย่างไรก็ตาม…ในที่สุดการไล่ตามก็พบกับตอนจบ ตอนนี้สมควรจะกลับไปโลกของพวกเราได้แล้วนะขอรับ”

“นั่นทำได้หรือ?”

ราธบันยื่นมือซ้ายที่กำแน่นมาแทนคำตอบ ตอนนั้นเองลีน่าก็เข้าใจ ราธบันไม่เคยใช้มือซ้ายเลยแม้แต่ในตอนที่กำลังสู้กับแอสรัน ตอนที่ลงมาก็เหมือนกัน เขาค่อยๆ คลายกำปั้นออก

“นี่คือ…”

สิ่งที่ราธบันกำไว้วางอยู่บนฝ่ามือของเขา เป็นเปลือกหอยที่กำลังเปล่งแสงหลากสีสัน เห็นได้ชัดว่าเป็นหนึ่งในของที่เลโอน่ารวบรวมไว้จะให้นางในพระราชวังอาร์เดนเบล

“นี่เลโอน่า…”

“ใช่ขอรับ องค์หญิงมอบให้ข้ามา นางมอบให้จนเต็มมือ แต่ตอนนี้เหลือเพียงแค่ชิ้นเดียวแล้ว มันหล่นหายไป…ในระหว่างนั้น”

“ทำไมเลโอน่าถึงมอบสิ่งนี้ให้? แล้วให้ใช้สิ่งนี้ทำอะไร?”

“ตราบใดที่มีมันพวกเราก็จะกลับไปยังสถานที่ที่องค์หญิงอยู่ได้ขอรับ มันก็เหมือนกับหลักกิโลที่มองเห็นได้แม้ว่าจะเดินทางไปไกลแค่ไหน”

“แล้วถ้าหากว่า…ไม่มีมัน…?”

“…ก็คงยากที่จะกลับไป”

ลีน่ามองมือราธบันอีกครั้ง ฝ่ามือของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลที่ถูกแทงจากของมีคม นางรู้ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องถาม ว่าเขาเก็บเปลือกหอยพวกนี้ไว้อย่างล้ำค่าเพียงใด

“ตอนแรกข้าเอาใส่ไว้ในเสื้อ…แต่พอเวลาผ่านไปมันก็เริ่มหายไปทีละชิ้น ตอนที่ข้ากระแทกพื้น ตอนที่ถูกโจมตี…สุดท้ายข้าก็เกิดความคิดว่ากำมันไว้ไม่ให้มันหล่นหายน่าจะดีที่สุด เพราะถ้ากำไว้อย่างแน่นหนามันก็ไม่ได้ทางหายไปได้แน่นอน”

ราธบันใช้สายตาสับสนมองเปลือกหอยชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ในมือ มันเป็นของที่เขาไม่มีวันปล่อยแม้ในตอนที่ถูกโจมตี หรือกระทั่งในยามหลับ ต้องมีสิ่งนี้เขาถึงจะกลับไปยังช่วงเวลาเดิมร่วมกันลีน่าได้

“โชคดีเหลือเกินที่ได้เจอท่านอีกครั้งก่อนที่ทุกอย่างจะหล่นหายไป ลีน่า”

ได้ยินดังนั้น ลีน่าก็คว้ามือเขา นางสัมผัสได้ถึงร่องรอยของบาดแผลที่เขาได้รับระหว่างเดินทางคนเดียวมาเป็นระยะเวลานาน

‘ต้องกลับไป’

ลีน่ามองฟากฟ้า นางรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่โลกของตนเอง นางต้องกลับไปยังที่ที่นางเคยอยู่ ลีน่าย้อนนึกถึงใบหน้าของเลโอน่าที่ยื่นเปลือกหอยให้ราธบัน นางสัญญาแล้วว่าจะกลับไปงั้นก็ต้องรักษาสัญญาสิ

ขณะที่ลีน่าจับมือของราธบัน เสียงของแอสรันพลันดังขึ้น

‘อย่าไป’

ลีน่าหมุนตัวกลับไปมองแอสรัน เขากลับมาอยู่ในร่างของมุนษย์ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ไม่ใช่ว่าเพราะพลังอ่อนแอลง แต่เป็นเพราะสัญชาตญาณบอกว่าถ้าเขาอยู่ในร่างนี้จะช่วยให้รู้สึกคุ้นเคยกับลีน่ามากขึ้น บาดแผลอันเกิดจากราธบันที่อยู่บนร่างกายที่เปลี่ยนมาเป็นมนุษย์ของเขายังคงมีเลือดไหลออกมา

“แอสรัน”

“อย่าไป”

แอสรันพูดแต่คำนั้นซ้ำไปซ้ำมาราวกับเครื่องพัง แต่การที่นั่นคือสิ่งเดียวที่เขาต้องการทำให้นางรู้สึกเศร้าใจยิ่งกว่าเดิม

จะทำอย่างไรดี

ลีน่ายืนอยู่ระหว่างสองคนอย่างลังเล นางต้องกลับไป นั่นเป็นเรื่องที่สมควรทำ อย่างน้อยก็ต้องกลับไปเพื่อราธบันที่ตามหานางมาเป็นเวลานาน ทว่าท่าทางของแอสรันที่กำลังอ้อนวอนนางขณะเลือดไหลได้ยึดข้อเท้านางเอาไว้

นางเคยสัญญากับเขาไว้ในอดีต ว่าจะมาหา เพราะงั้นถึงได้มา…

ลีน่ายื่นมือออกไปหาแอสรันทั้งที่ยังจับมือราธบันเอาไว้

“ไปด้วยกันนะ”

“…”

แอสรันมองมือของนางนิ่งๆ

“ตอนนี้ท่านคงไม่รู้ ข้าเคยทำสัญญากับท่านไว้เมื่อนานมาแล้ว ว่าจะมาหาท่านให้ได้…ส่วนท่านก็บอกว่าจะรอข้า”

นางกำลังพูดอะไร สัญญาไว้นานแล้วอย่างนั้นหรือ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเคยพบกันครั้งแรกแล้วจะเคยมาสัญญากับเขาตอนไหน แต่เมื่อได้ยินคำพูดของลีน่า ส่วนหนึ่งในหัวใจของแอสรันพลันรู้สึกปวดหนึบ เป็นความเจ็บปวดที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยสักครั้งนับตั้งแต่เกิดมา ทั้งที่ไม่ได้บาดเจ็บแต่ทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บปวดแบบนี้

นางเป็นมนุษย์ที่แปลกประหลาดตั้งแต่แรก เป็นมนุษย์ที่ไม่หวาดกลัวเขาและทำตัวราวกับคุ้นเคย เป็นมนุษย์ที่ทำให้เขารู้สึกกระหายจนแทบคลั่ง เป็นมนุษย์ที่ทำให้ความไม่สบายใจและความหวาดผวาที่จะไม่ได้กลับไปโลกเดิมหายไปในทันทีเมื่อได้กอด และยังเป็นมนุษย์ที่เขาอยากให้อยู่เคียงข้างไปเรื่อยๆ อยากกอดไปเรื่อยๆ…

“…”

แอสรันยกมือขึ้นมาวางเหนือหน้าอก นี่เป็นความรู้สึกที่เคยสัมผัสเป็นครั้งแรก แต่ก็เริ่มรู้สึกคุ้นเคยขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเป็นสิ่งที่เคยรู้สึกมานานแล้วอย่างที่นางว่า

แอสรันมองมือที่ยื่นมาหาตน แล้วเขาก็ได้รู้

ว่าเขารอคอยมือคู่นี้มานานมากแล้ว เขายื่นมือออกไปคว้ามือของลีน่า

“ลีน่า”

ใช่แล้ว คู่ชีวิตของข้าที่บอกว่าจะมาหาข้าในช่วงเวลาสุดท้าย

เหตุการณ์ที่ไม่เคยพบพานมาก่อนเริ่มผุดขึ้นมาในหัวของเขา เมื่อเห็นแววตาของแอสรันที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ราธบันก็พูดกับอีกฝ่าย

“ตั้งสติได้แล้วแอสรัน โลกทั้งหมดนี้ก็คือเจ้า มันก็คล้ายๆ กับความฝัน ในเมื่อรู้แล้วว่าทุกอย่างเป็นโลกที่เจ้าสร้างขึ้นมา เจ้าก็จะกลับไปยังปัจจุบันที่พวกเราอาศัยอยู่ได้เหมือนกับตื่นขึ้นจากความฝัน”

ได้ยินดังนั้น แอสรันก็มองท้องฟ้า น่าแปลกที่เขาเข้าใจคำพูดที่คนที่ชื่อว่าราธบันพูดได้ทั้งหมด

แอสรันค่อยๆ ยื่นมือออกไป มือของลีน่าจับมือของเขา ทันใดนั้นพื้นที่รอบๆ ของทั้งสามคนก็เริ่มถล่มลง โลกแตกร้าวแล้ว โลกใบอื่นถาโถมเข้ามาผ่านรอยร้าวนั่น ร่างกายของทั้งสามคนถูกม้วนเข้าไปในการผสมผสานอย่างรุนแรง โลกหมุนพลิกกลับขณะที่ร่างกายของพวกเขาตกลงไปยังสถานที่ที่เคยเป็นท้องฟ้าเมื่อครู่

เสียงแตกร้าวดังขึ้นพร้อมกับภาพทิวทัศน์ที่ปะปนกัน ท้องฟ้าเปล่งแสงวูบวาบอย่างไร้สติเหมือนครั้งที่นางตกลงมายังที่นี่

ลีน่าหมุนตัวกลับไปมองเกาะจอมเวทอย่างยากลำบาก นางเห็นหอคอยจอมเวทที่กำลังสร้างลอยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เวลากำลังดำเนินไป ลีน่ามองราธบันและแอสรันที่จับนางเอาไว้ รูปโฉมของทั้งสองคนก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว

บาดแผลของราธบันหายไป ร่องรอยของการเวลาที่ทิ้งไว้บนตัวเขาก็หายไปเช่นกัน เป็นหลักฐานว่าพวกเรากำลังออกจากภาพหลอนกลับสู่ความเป็นจริง

‘งั้นแสดงว่า…’

ลีน่าเหลียวมองแอสรัน นัยน์ตาสีแดงกำลังจ้องนาง ประกายตาที่ไม่คุ้นเคยและดูตื่นเต้นถูกแทนที่ด้วยความคิดถึงที่จะเกิดขึ้นจากระยะเวลาอันยาวนานเท่านั้น เป็นความรักใคร่ไม่ใช่ความอยากรู้อยากเห็น เป็นความคุ้นเคยไม่ใช่ความแปลกหน้า เป็นความรักลึกซึ้งที่อยู่เหนือความใคร่รุนแรง ลีน่ารับรู้ได้ทันทีที่เห็นสายตาคู่นั้น

แอสรันที่นางรู้จักกำลังจะกลับมาแล้ว

บัดนี้ประกายแสงระยิบระยับหายไปแล้ว กลับกลายเป็นความมืดมิดเข้ามาล้อมทั้งสามคน ณ สถานที่ที่ไม่รู้ว่าคือที่ไหนและต้องไปที่ใด ราธบันกางมือออก เปลือกหอยที่อยู่ในมือของเขาส่องแสงเป็นสีต่างๆ

ตอนนั้นเอง พลันมีแสงส่องมาจากที่ไกลๆ แม้จะเป็นแสงที่ส่องขึ้นมาเพียงชั่วครู่เดียวจากสถานที่ที่ห่างไกลเหลือเกิน แต่ลีน่าก็รับรู้ได้ว่าแสงนั้นคือแสงที่เหมือนกับแสงที่อยู่ในมือของราธบัน เลโอน่าผู้มอบเปลือกหอยทั้งหมดให้ราธบัน กำลังยืนถือชิ้นสุดท้ายอยู่ตรงนั้น

เด็กน้อยได้ยินคำพูดที่นางบอกว่าชอบ จึงรวบรวมมันมาให้ทีละชิ้นทีละชิ้นและถนอมไว้อย่างล้ำค่า ทุกช่วงเวลาที่ถือมันเอาไว้ เด็กน้อยคงจะคิดถึงแม่ที่จะกลับมาสักวันหนึ่งเสมอ หัวใจดวงนั้นกลายเป็นหลักกิโลที่ช่วยบอกเส้นทางการเดินทางกลับไป

แอสรันสวมเสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เส้นผมก็ไม่ได้ปล่อยกระเซอะกระเซิงแต่ถูกจัดการอย่างเรียบร้อยเหมือนเมื่อก่อน อากัปกิริยาแต่ละอย่างของเขาเริ่มแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ ราวกับใช้ชีวิตอยู่อย่างมนุษย์มานานแล้ว

แสงที่เปล่งประกายอยู่ไกลๆ เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แอสรันมองภาพนั้นแล้วยกมือขึ้น ทันใดนั้น ในพื้นที่ที่เคยเต็มไปด้วยความมืดมิดก็พลันผสมผสานไปด้วยภาพทิวทัศน์นับพันนับหมื่นอย่างจนเวียนหัว บัดนี้เขาสามารถควบคุมพื้นที่แห่งนี้ได้แล้ว ร่างกายของแอสรันล้อมไปด้วยแสงสีทองและสีแดงจางๆ เป็นสภาพที่นางเคยเห็นในครั้งสุดท้าย

“แอสรัน”

เขายิ้มออกมา ชั่วขณะที่ได้เห็นรอยยิ้มของปีศาจที่โอหัง ลีน่าก็รับรู้ได้ว่าแอสรันของนางกลับมาแล้ว

ประกายแสงเจิดจ้าล้อมรอบทั้งสามคน

***

“แค่ก”

เลออนเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงไอของเลโอน่า ดวงตาของเขาแดงก่ำเหมือนกับคนที่ไม่ได้นอนมานานแล้ว สภาพของเขากับเลโอน่าเรียกได้ว่าดูไม่ได้ เส้นผมและเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อติดอยู่กับใบหน้าและร่างกายอย่างสะเปะสะปะ ความเหนื่อยล้าแทรกซึมออกมาจากทั่วทั้งร่าง แม้จะเป็นสภาพที่ไม่แปลกหาจะสลบเหมือดไปเดี๋ยวนั้น แต่ทั้งสองคนก็ยังจ้องแสงตรงหน้าเขม็ง

ถ้ำถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด แต่ใต้ล่างกลับมีประกายแสงสีทองหมุนวนอย่างรวดเร็วและซัดสาดไปทั่วสารทิศ กลุ่มแสงที่เคยเงียบมาตลอดเริ่มส่งเสียงดังและหมุนอย่างรวดเร็ว พวกเขาเคยเห็นการเคลื่อนไหวแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่มันก็จะสงบลงในเวลาอันรวดเร็ว เลออนโอบเลโอน่าที่หายใจถี่กระชั้นเข้ามาแล้วกระซิบถาม

“เลโอน่า ไหวหรือไม่”

“อื้อ”

ได้ยินคำถามของเลออน เด็กน้อยก็พยักหน้าตอบอย่างกระฉับกระเฉง แต่นั่นโกหก

เหนื่อย ปวด ง่วงนอน คอแห้ง ท้องก็หิว อยากนอนแล้วหลับไปเดี๋ยวนี้เลย นางรู้สึกเหมือนแค่หลับตาก็จะได้กลับไปยังพระราชวังที่อุ่นสบายได้เสมอ

‘ไม่ได้’

แต่เด็กน้อยก็สั่นศีรษะและกำสิ่งที่อยู่ในมืออย่างแรง มันคือเปลือกหอยที่เปล่งประกายหลากสี

‘ข้าต้องอยู่ที่นี่ท่านแม่ถึงจะกลับมาได้’

หลังจากที่ราธบันกับลีน่าออกเดินทาง เลออนกับเลโอน่าก็เว้นช่วงหนึ่งวันและตามหลังพวกเขามา ก่อนออกมาจากพระราชวัง เลโอน่าจัดกระเป๋าพลางกังวลว่าจะนำอะไรไปบ้างดี เป็นการออกไปท่องเที่ยวจริงๆ ดังนั้นนางจึงไม่อาจนำทุกอย่างไปได้เหมือนตอนที่มาพระราชวังอาร์เดนเบล มีเพียงแค่กระเป๋าใบเดียวที่นางสามารถสะพายไปได้ ดังนั้นท่านพ่อถึงได้บอกว่าให้นำไปแต่ของที่อยากนำไปจริงๆ

เลโอน่านึกถึงสิ่งที่ท่านแม่นำไปขณะเตรียมเสื้อผ้าใส่ลงไป สายตาของนางพลันหันไปหาขวดแก้วอยู่บนชั้นวาง ในนั้นมีเปลือกหอยที่เก็บมาจากชายหาดที่อ้อนวอนให้ท่านพ่อพาไปอยู่ พวกมันเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่แม้จะเหลือเพียงแค่เปลือกแต่ก็ยังส่องประกายหลากสีด้วยตัวเอง มันกำลังเปล่งกระกายแสงเข้มกว่าปกติ

‘มันจะเป็นประกายตอนที่ท่านแม่อยู่’

เปลือกหอยที่เห็นเพียงแสงจางๆ ตอนที่ท่านแม่อยู่ทำไมถึงได้มาเป็นประกายสวยงามเอาตอนนี้ เลโอน่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบขวดแก้วออกมาจากชั้นวางและแอบใส่ไว้ด้านล่างของกระเป๋า

‘ข้าหวังว่ามันจะส่องแสงแบบนี้ไปอีกหลายวันนะ’

จะได้เอาไปอวดกับท่านแม่ จากนั้นก็มอบครึ่งหนึ่งให้ ส่วนอีกครึ่งเก็บไว้กับตนเอง มันสวยเพราะฉะนั้นท่านแม่ก็น่าจะพกติดตัวไปด้วยตลอด แล้วทุกครั้งที่เห็นก็จะได้คิดถึงนาง

เลโอน่าชื่นชมแผนการอันสมบูรณ์แบบของตนเองแล้วจัดกระเป๋าอย่างตื่นเต้น

ทว่าหลังจากนั้นหลายวัน สถานการณ์ที่เจอกลับไม่สนุกอย่างที่เลโอน่าคิด ท่านแม่หายไป เลโอน่านั่งลงหน้าถ้ำและจ้องแสงที่ไหวๆ อยู่ด้านล่างเขม็ง

ความรู้สึกประหลาดที่ตนรู้สึกได้เมื่อหลายวันก่อนถาโถมเข้ามาราวกับสายน้ำหลากอีกครั้ง เป็นความหวาดผวาและความหวาดกลัวที่ไม่มีสิ้นสุดแต่ก็ไม่อาจหลีกหนีไปได้ ผสมผสานไปด้วยความคิดถึงและความคุ้นเคย เป็นอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเกินกว่าความเข้าใจของเด็กน้อย แต่นางมั่นใจอย่างหนึ่ง

ท่านแม่อยู่อีกด้านนั้น และมีตัวตนที่นางคุ้นเคยยิ่งกว่าท่านแม่อยู่ด้วย เลโอน่าชี้ไปที่ประกายแสงแล้วกล่าวขึ้น

“ต้องเข้าไปในนั้น แต่ถ้าเข้าไปเฉยๆ จะกลับมาไม่ได้ ไม่งั้นจะถูกมันกลืนกิน”

เลโอน่ารู้แม้จะไม่มีใครเคยสอน ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของราธบันและเลออนพลันบิดเบี้ยวราวกับคนที่ได้ฟังคำตัดสินให้ประหารชีวิต ผ่านไปครู่หนึ่ง ราธบันก็ถามขึ้น

“ถ้างั้นต้องทำอย่างไรถึงจะกลับมาได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

เลโอน่าคิดอยู่สักพัก นางไม่เคยเรียนรู้เวทมนตร์จากใครเลยสักครั้ง แต่นางไม่มีความจำเป็นต้องเรียน เพราะสำหรับเลโอน่า นั่นเป็นเรื่องที่เป็นธรรมชาติเสมือนกับการหายใจ ทุกอย่างเป็นเพราะสัญชาตญาณที่อยู่ในส่วนลึกของเด็กน้อยช่วยบอกให้รู้ เลโอน่านอนคว่ำแล้วมองแสงที่อยู่เบื้องล่างของถ้ำ

ผ่านไปครู่หนึ่งเลโอน่าก็ยืนขึ้นหลังจากจ้องแสงนั้นอยู่สักพัก นางวางกระเป๋าที่ตนสะพายลงกับพื้น และคุ้ยหา

“เอาใส่ไว้ในนี้นะ…”

หลังจากคุ้ยหาไปสักพัก เลโอน่าก็หยิบขวดแก้วที่ห่อไว้ด้วยเสื้อที่อยู่ใต้กระเป๋าออกมา เปลือกหอยที่อยู่ด้านในขวดแก้วกำลังส่องแสงยิ่งกว่าตอนหยิบใส่เข้าไป

“เซอร์ราธบันส่งมือมา”

ราธบันทำตามที่เลโอน่าสั่ง ทันที่เขายื่นมือออกไป เลโอน่าก็เทเปลือกหอยใส่มือของเขา

“ตั้งใจฟังคำที่ข้าจะพูดต่อจากนี้ให้ดี”

เสียงพูดของเลโอน่าทั้งหนักแน่นและจริงจังต่างจากน้ำเสียงของเด็กน้อย

“นำสิ่งนี้เข้าไป ข้าจึงจะสามารถตามหาเจ้าได้และเจ้าก็จะสามารถหาข้าเจอได้ แต่หากเมื่อใดที่พวกนี้หายไปทั้งหมด เจ้าจะกลับมาที่นี่ไม่ได้อีกต่อไป ไม่ใช่แค่เจ้า ท่านแม่ก็ด้วยเหมือนกัน เข้าใจที่ข้าพูดไหม?”

“…พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง”

ราธบันค้อมศีรษะให้เลโอน่า สิ่งนี้จะกลายเป็นเครื่องนำทางได้อย่างไรและด้วยเหตุผลใด คำพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ ราธบันไม่มีเวลาให้ซักไซ้ไล่เลียงสิ่งเหล่านั้น

“ข้าจะรออยู่ที่นี่ จนกว่าเจ้าจะพาท่านแม่กลับมา”

พูดจบ เลโอน่าก็ไปยืนด้านหน้าแสงที่เริ่มเกิดการหมุนวนอีกครั้ง ราธบันเดินผ่านเลโอน่าและกระโดดเข้าไปในอีกด้านของการซ้อนทับทันที อัศวินของนางได้จากไปเพื่อตามหาท่านแม่โดยไม่มีแม้แต่คำลา อย่าง ‘ดูแลตัวเองนะ’ หรือ ‘ข้าจะกลับมา’