ตอนที่ 464 บันทึกดักแด้ใหญ่พเนจร

พันธกานต์ปราณอัคคี

“ศิษย์พี่ อย่านอนเลย อย่านอนอีกเลย”

 

 

“ศิษย์พี่ ตอนนี้ท่านไม่เป็นอะไร เหตุใดไม่ลืมตามองข้าเล่า”

 

 

มั่วชิงเฉินหลับตา ใช้จิตสัมผัสเรียกหาดวงจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนหยวนครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

หลังจากเอ่ยเรียกครั้งที่หนึ่งพันหนึ่ง ในที่สุดก็โกรธขึ้นมา

 

 

“เยี่ยเทียนหยวน เจ้ามันเหลวไหล ใครกันที่บอกว่าต่อให้สุดหล้าฟ้าเขียวก็จะอยู่เคียงข้างข้าตลอด ตอนนี้เจ้าไม่ตื่น จะให้ข้าตามไปเป็นเพื่อนเจ้าหรือ”

 

 

“เยี่ยเทียนหยวน เจ้ากำลังหลอกลวงจิตใจบริสุทธิ์ของหญิงสาวรู้ตัวบ้างไหม ในท้องข้าไม่มีผู้ใดนอกจากลูกของเจ้า พวกเรายังไม่ได้แต่งงาน หากเป็นโลกมนุษย์ ข้าต้องถูกจับใส่ข้องถ่วงน้ำรู้ไหม”

 

 

มองไปยังเยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเย็นยะเยือกราวกับมนุษย์หิมะ มั่วชิงเฉินกะพริบตา นางฝืนผลักแสงวารีลงไป แล้วพูดด้วยความโกรธ “เยี่ยเทียนหยวน เจ้าฟังนะ ถ้าเจ้ากล้าไม่ตื่นขึ้นมา ข้าก็กล้าออกนอกกำแพงนั่นเช่นกัน ถึงตอนนั้นจะมีคนอุ้มศิษย์น้องเจ้าไป แล้วตีลูกของเจ้าด้วย”

 

 

“เยี่ยเทียนหยวน!”

 

 

ทันใดนั้นขนตาเยี่ยเทียนหยวนก็สั่นระริก ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ

 

 

จิตดั้งเดิมตื่นขึ้น จิตของมั่วชิงเฉินถอยออกมาอัตโนมัติ ชั่วขณะหนึ่งนางยังตั้งสติไม่ทัน ได้แต่นิ่งเหม่ออยู่กับที่ 

 

 

เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าซีดเผือด ดวงตาฉายแววยากจะบรรยาย

 

 

“ศิษย์พี่…” มั่วชิงเฉินทั้งใจเต็มไปด้วยความปีติยินดี ร้องขึ้นหนึ่งทีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

 

ขนตาเยี่ยเทียนหยวนสั่นไหว ริมฝีปากสั่นไหว เป็นเพราะบาดแผลบนคอจึงยังไม่อาจออกเสียงได้ “ศิษย์น้อง ข้าจะมีลูกหรือ”

 

 

ดวงตาส่องประกายราวกับดาวคู่นั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกราวกับดอกไม้บานสะพรั่งไปทั้งใจ มุมปากโค้งขึ้น กลอกตาใส่เขาหนึ่งที “ใครมีลูกกัน”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรและคนสามัญนั้นต่างกัน บำเพ็ญเพียรยิ่งสูงเท่าไรก็ยิ่งยากจะมีบุตร พวกนางทั้งสองล้วนแต่เป็นระดับก่อแก่นปราณ หากไม่กินยาลูกกลอนพิเศษหรือใช้เคล็ดวิชาลับเคลื่อนย้ายช่วยให้ตั้งครรภ์แล้ว คิดจะตั้งครรภ์โดยธรรมชาตินั้นแทบเป็นไปไม่ได้ 

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเลื่อนสายตา ดูท่าทางสับสน ครั้นแล้วแววตาก็มืดลง ถามเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “ศิษย์น้อง เมื่อครู่เจ้าว่า…จะออกนอกกำแพงหรือ”

 

 

เห็นแววตาร้อนรนของเขา มั่วชิงเฉินก็ปวดร้าวใจ แต่สะกดใจพูดออกไป “ใช่ ศิษย์พี่ท่านจำไว้นะ หากท่านไม่รักษาสัญญา ข้าจะ…”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนดึงมือมั่วชิงเฉิน ไม่ให้นางพูดต่อ สีหน้าหนักแน่นต่างจากปกติ “ศิษย์น้อง เจ้าเลือกข้าแล้ว ก็ไม่ยอมให้เสียใจภายหลัง…”

 

 

มั่วชิงเฉินขบฟัน “เช่นนั้นท่านยังจะออกไปหาที่ตายอีกหรือ”

 

 

ที่จริงแล้วนางรู้ ว่าตอนนั้นหากเยี่ยเทียนหยวนไม่ปรากฏตัวที่ค่ายกลหมื่นขาดพันถวิล แล้วสังหารภูตหิมะสาวระดับก่อกำเนิด ตอนนี้นางคงสิ้นชีพไปแล้ว แต่นางกลับยังโกรธ ถ้าเขาเอาชีวิตตนไปแลกเพื่อให้นางมีชีวิตอยู่ แล้วนางจะยังมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขได้อีกหรือ

 

 

เมื่อนึกถึงวินาทีที่ผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดส่งแสงวิญญาณไปกรีดคอเขา มั่วชิงเฉินยังคงใจสั่นหวิว

 

 

ผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณสามคนรวมพลังกัน พยายามสู้กับผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย แต่ระดับก่อแก่ปราณกับระดับก่อกำเนิด พลังนั้นทิ้งห่างกันมา ผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่ปราณขั้นปลายสิบคนยังเทียบไม่ได้กับผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดขั้นต้นเพียงคนเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับก่อกำเนิดขั้นกลาง 

 

 

แน่นอนว่าผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณหากคิดทำร้ายผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิด เว้นเสียแต่ใช้กลเม็ดพิเศษแล้วก็ยังเหลืออีกวิธี นั้นก็คือระเบิดตัวเอง อำนาจแห่งการระเบิดตัวเองของผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณนั้นมากพอจะทำร้ายผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิด เช่นเดียวกับสงครามวิกฤตอสูรในครั้งนั้น หรูอวี้เจินจวินและเหล่าผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดระเบิดตัวเองทำให้เจ้าปีศาจที่เทียบได้กับมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตสามารถบาดเจ็บได้

 

 

เพียงแต่หากระเบิดตัวเอง วิญญาณก็จะกระจัดพลัดพราย แม้แต่โอกาสที่จะเกิดใหม่ก็ไม่เหลือ

 

 

เยี่ยเทียนหยวนมองท่าทีโมโหของมั่วชิงเฉิน มุมปากก็โค้งขึ้น ยิ้มขึ้นด้วยความลำบาก

 

 

ตอนนั้นที่หอบรรลุเซียน เขาเกิดลางสังหรณ์ขึ้นมาฉับพลัน ว่าศิษย์น้องกำลังเฉียดใกล้กับความตาย เขาต้องไปช่วยนาง

 

 

สำหรับเรื่องทำลายกฎจนต้องถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดโกรธเคือง เขาไม่มีเวลาพอจะคิด

 

 

มีความสุขเช่นนี้ เขาเองก็กลัวตาย แต่หากสามารถช่วงชิงโอกาสให้ศิษย์น้องมีชีวิตต่อได้ เช่นนั้นเขาก็ยอมรับความขมขื่น เขาเชื่อว่าต่อให้เป็นผี เขาก็จะยังคงฝึกบำเพ็ญต่อไป บำเพ็ญเพียรจนกว่าจะมีโอกาสได้พบกับศิษย์น้องอีกครั้ง 

 

 

“ท่านยังจะยิ้มอีก!” มั่วชิงเฉินหยิกหน้าเขา ท่าทางยังไม่หายโกรธ

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเผยยิ้ม ครั้นแล้วก็หลับตาลงสนิท

 

 

มั่วชิงเฉินตกใจ รีบคว้ามือเยี่ยเทียนหยวนขึ้นสำรวจ ก็พบว่าเขาอ่อนแอลงอย่างมาก จึงได้ผล็อยหลับไป

 

 

“เจ้าบ้า เจ้าหลอกให้ข้าตกใจอีกแล้ว…” ความรู้สึกวิงเวียนเข้าโจมตี มั่วชิงเฉินกอดแขนเยี่ยเทียนหยวน แล้วสะลึมสะลือหลับไป

 

 

ในใจนางผูกเกี่ยวกับบาดแผลของเยี่ยเทียนหยวน แม้จะอ่อนล้าถึงขีดสุด บาดแผลที่ได้รับในค่ายกลหมื่นขาดพันถวิลนั้นได้เผาผลาญพลังชีวิตไปมาก แต่กลับไม่กล้าจะนอนหลับ ทว่าผ่านไปสองสามชั่วยามก็ฟื้นขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ

 

 

มั่วชิงเฉินมองสภาพเยี่ยเทียนหยวน เขายังคงอ่อนแอเหลือทน ราวกับที่ฟื้นขึ้นเมื่อครั้งก่อนเป็นเพียงความฝัน เมื่อฝันสลาย ทิ้งไว้เพียงร่างที่เย็นเฉียบให้นาง

 

 

มั่วชิงเฉินไม่กล้าประมาท แนบกายสนิทกับเขาอีกครั้ง แล้วใช้ไฟจริงรักษา เพียงแต่นางเองก็อ่อนแอเช่นกัน แล้วสัมปชัญญะนางก็ค่อยเข้าสู่ภวังค์หลับไหล ร่างทั้งสองกอดกันแนบแน่น อาศัยสัญชาตญาณถ่ายทอดไฟจริง ถ่ายผ่านไปมาระหว่างคนทั้งสอง

 

 

แสงดวงหนึ่งค่อยๆ ห่อหุ้มร่างกายของทั้งสอง แสงสีน้ำเงินอมม่วง ม่วงอมเงิน ดูเหมือนสีของดักแด้หน้าตาประหลาด โอบล้อมคนทั้งสองเอาไว้ด้วยกัน

 

 

ดวงตะวันลับขอบฟ้า จันทราค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ฟ้า

 

 

วินาทีที่ดวงจันทร์ทอแสงลงมายังดักแด้ใหญ่ ดักแด้ใหญ่ก็ฉายแสงวิญญาณสีม่วงน้ำเงินออกมาทันที และน้ำเต้าที่มั่วชิงเฉินแขวนไว้บนคอ ก็พุ่งทะลุการปิดผนึกของดักแด้ลอยออกมากลางอากาศ กลายสภาพจากน้ำเต้าขนาดเท่าเมล็ดถั่วปากอ้าคืนสู่ขนาดเดิม

 

 

ปากน้ำเต้าชี้ไปยังดวงจันทร์ ราวกับจะดูดแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเข้าไปในน้ำเต้า

 

 

หากมีคนคอยมองอยู่ข้างๆ คงได้เห็นฉากอันน่าอัศจรรย์ น้ำเต้าสุราดำคล้ำไร้แสงอันหนึ่ง ลอยคว้างหยุดอยู่กลางอากาศ ดูดกลืนแสงจันทร์อย่างไม่แยแสผู้ใด ระหว่างปากน้ำเต้าและดวงจันทร์เชื่อมต่อด้วยแสงจันทร์ ดูคล้ายผ้าต่วนเงินขาวสะอาดหาที่เปรียบมิได้ผืนหนึ่ง ที่ทอดตัวลงมา

 

 

ดวงจันทร์ที่ส่องสว่างในตอนแรก และแล้วก็มืดลง

 

 

ทันใดนั้น น้ำเต้าสุราก็หมุนพลิก แล้วพ่นของเหลวสีเงินลงไปยังดักแด้

 

 

ของเหลวสีเงินสัมผัสกับดักแด้ใหญ่ ส่องประกายสีเงินระยิบระยับขึ้นมาทันทีแล้วซึมลงไป ดักแด้ใหญ่สีน้ำเงินม่วงส่องประกายสีเงิน

 

 

จากนั้น น้ำเต้าสุราก็พลิกกลับอีกครั้ง คราวนี้ปากน้ำเต้าเล็งไปยังดวงจันทร์ แล้วปล่อยแสงสีขาวไปยังดวงจันทร์ราวกับแสดงการตอบแทน

 

 

พระจันทร์กลับมาสว่างทันใด แสงจันทร์จรัสจ้า ท้องทะเลสีครามมืดอันสงบนิ่งถูกทำให้น้ำขึ้น คลื่นกระเพื่อม โหมซัดเข้ามาอย่างรุนแรง 

 

 

คลื่นลมโหมกระหน่ำ เอ่อท่วมเกาะซึ่งดักแด้ใหญ่นั้นอยู่อย่างรวดเร็ว

 

 

เวลาผ่านเลยไป น้ำขึ้นแล้วน้ำลง เมื่อน้ำค่อยๆ ลด เกาะน้อยสะอาดเรียบเตียน ดักแด้ประหลาดนั้นหายลับไปนานแล้ว

 

 

นานมากหลังจากนั้น มั่วชิงเฉินจึงได้เข้าใจ น้ำเต้าที่อยู่กับนางมาตลอดนั้นไม่ใช่บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้วจะสามารถใช้การได้ เพียงแต่ต้องอาศัยจังหวะที่เหมาะสม เมื่อผู้ครองเพลิงแก้วใจกระจ่างและเพลิงวาสนาตะวันหลอมรวมเข้าด้วยกันจนถึงจุดสูงสุดจนสมบูรณ์แบบจึงจะปลุกให้มันตื่นขึ้นในเวลาอันสั้น จากนั้นจึงจะเกิดปรากฏการณ์นั้นขึ้น

 

 

แน่นอน นี่คือเรื่องหลังจากนี้ ในเวลานี้ดักแด้ใหญ่ตัวนั้นลอยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่กลางสมุทร ไม่รู้ว่าชะตากรรมจะพัดพาไปถึงที่ใด

 

 

เวลายี่สิบปี ก็ผ่านไปทั้งอย่างนี้

 

 

และในวันหนึ่ง ดักแด้ใหญ่ตากแดดอยู่อย่างสงบ ผิวทะเลอันสงบนิ่งเกิดวังน้ำวนขึ้นมาฉับพลัน ดักแด้ใหญ่ก็ถูกพัดหมุนวนลงไป เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้งก็ค่อยๆ ลอยเข้าฝั่ง ถูกน้ำทะเลผลักสู่ริมชายหาด ครึ่งหนึ่งอยู่บนหาดทราย อีกครึ่งหนึ่งจมอยู่ในน้ำทะเล 

 

 

เด็กหนุ่มสองสามคนเดินกรูเข้ามา

 

 

เด็กหนุ่มเหล่านี้อายุท่าทางไม่เกินสิบสามสิบสี่ปี แต่ส่วนสูงแทบจะตามผู้ใหญ่ทันแล้ว ใบหน้าดำหมอง แต่งตัวด้วยชุดสั้นๆ บนหน้ามีรอยแดงไหม้ เพียงมองก้รู้ว่าเป็นเด็กหนุ่มชาวประมง

 

 

“ตู้รั่ว ตกลงแล้วนะ คราวนี้ข้าจะต้องชนะเจ้า เสี่ยวยาต่อไปจะเป็นเมียข้า เจ้าห้ามไปพบพูดคุยกับนางอีก” เด็กหนุ่มผู้พูดคิ้วหนาตาโต พาเหล่าเด็กหนุ่มเข้ามาทีท่าองอาจ

 

 

เด็กหนุ่มสองสามคนมองไปยังเด็กหนุ่มอีกคน

 

 

เด็กหนุ่มผู้นั้นดูน่ารักกว่ามาก ใบหน้าดูขาวกว่าเด็กหนุ่มคนอื่นเล็กน้อย หลิ่วตาหงส์คู่นั้น ทั้งที่เม้มปากอยู่ แต่ดูเหมือนกำลังส่งยิ้ม “ข้าเคยเป็นฝ่ายไปหาเสี่ยวยาตั้งแต่เมื่อไร จางหยาง หากเจ้าจะประลอง เช่นนั้นก็เข้ามาเลย จะอ้างเรื่องพวกนี้เพื่ออะไรกัน”

 

 

“ฮ่าๆๆ” เหล่าเด็กหนุ่มร้องฮือกันขึ้นมา เร่งให้ทั้งสองเริ่ม

 

 

เด็กหนุ่มชื่อตู้รั่วและจางหยางประลองยุทธ์กัน มองอีกฝ่ายเงียบๆ แม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด แต่บรรยากาศอันคร่ำเคร่งกลับทำให้เด็กหนุ่มผู้มุงดูอยู่ไม่กล้าออกเสียง เฝ้ารออยู่อย่างตื่นเต้น

 

 

ยืนอยู่เช่นนี้เกือบครึ่งชั่วยาม เมื่อเหล่าเด็กหนุ่มเริ่มทนไม่ได้ เด็กหนุ่มจางหยางในที่สุดก็เริ่มขยับ เห็นเพียงเขาชักดาบใหญ่ออกจากหลังรวดเร็วดุจดาวตก แล้วฟันผ่าอากาศไปยังเด็กหนุ่มตู้รั่ว แสงวิญญาณสายหนึ่งฟันไปยังตู้รั่ว

 

 

เด็กหนุ่มตู้รั่วหัวเราะเบาๆ สะบัดมือหนึ่งทีคมดาบสายลมปรากฏขึ้น ออกไปรับการโจมตี

 

 

คมดาบสายลมปะทะกับแสงดาบ แสงสว่างส่องวาบอย่างแรง เสียงร้องโห่ให้กำลังใจของเหล่าเด็กหนุ่มแว่วเข้ามา

 

 

เด็กหนุ่มเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียร!

 

 

เป็นเช่นนี้กลับไปกลับมา แสงวิญญาณบนตัวตู้รั่วกะพริบ หลบหลีกแสงดาบ ยกมือขึ้นปล่อยคมดาบสายลมฟันดาบใหญ่ในมือจางหยางร่วงลง

 

 

จางหยางหน้าแดงก่ำ ถลึงตามองตู้รั่ว แล้วหันกายเดินไป

 

 

เด็กหนุ่มตู้รั่วกอดแขน เขายิ้มร้ายหนึ่งที “จางหยาง เสี่ยวยาก็คือเมียเจ้า ข้าไม่แย่งกับเจ้าหรอก”

 

 

จางหยางหยุดฝีเท้าทันที แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง

 

 

“ตู้รั่ว เจ้าเก่งกาจจริงๆ” เหล่าเด็กหนุ่มล้อมกันเข้ามา สีหน้าเลื่อมใส

 

 

ดวงตาหงส์คู่นั้นของตู้รั่วกวาดมองผู้คน ขณะที่ดวงตาขยับดูงามราวสวรรค์สร้าง เหล่าเด็กชายอดไม่ได้ที่จะหน้าแดง

 

 

ตู้รั่วเลิกคิ้ว “พอได้แล้ว พวกเจ้ากลับบ้านเถอะ”

 

 

“แล้วเจ้าล่ะ” เด็กหนุ่มผู้หนึ่งถามขึ้น

 

 

“ข้าหรือ” ตู้รั่วยิ้ม เผยให้เห็นฟันอันขาวสะอาด “ข้าจะอาบแดด พอใจแล้วค่อยกลับ”

 

 

เหล่าเด็กหนุ่มล้วนแต่รู้ว่าเวลาที่ตู่รั่วอาบแดดไม่ชอบให้ใครมากวน พวกเขามองกัน แล้วก็หันกายเดินกลับไป

 

 

ตู้รั่วยิ้ม ถอดรองเท้าออก เดินไปบนหาดทรายอย่างสบายอารมณ์ รอยเท้าประทับตื้นๆ ลึกๆ ทิ้งรอยไว้เบื้องหลัง ดูเรียบง่ายสบายเหมือนกับตัวเขา

 

 

“เอ๊ะ ทำไมที่นั่นมีซากไม้อยู่ท่อนหนึ่ง” ตู้รั่วเห็นหาดทรายซึ่งไม่ไกลจากจากตรงนั้น มีวัตถุสีดำทะมึนก้อนหนึ่งอยู่รำไร เขาเดินช้าๆ พลางวิเคราะห์อย่างละเอียด

 

 

เมื่อดูแล้ว เขาก็คิดว่านี่คือซากท่อนไม้ที่มีตะไคร่ขึ้นจับจนทั่ว บางที อาจจะเป็นซากที่เหลือจากเรืออับปางบางลำก็ได้

 

 

เมื่อนึกถึงการฝึกแกะสลักไม้ ตู้รั่วก็เผยอปากอย่างระอา แต่ก็ยังยื่นมือไปแบกซากท่อนไม้นั้นขึ้นมา

 

 

“หนักอะไรขนาดนี้” ตู้รั่ววางซากท่อนไม้ลงไปอีกครั้ง ย่อเข่าลงนั่งเอามือเท้าคาง พินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด

 

 

เด็กหนุ่มแม้จะอายุน้อย แต่สติปัญญาแก่กล้า คิดได้ทันทีว่าหากนี่คือท่อนไม้ เช่นนั้นก็ไม่ควรหนักถึงเพียงนี้อย่างแน่นอน ถ้าเช่นนั้น สิ่งนี้มันคืออะไรกันแน่ 

 

 

ตู้รั่วคิดใคร่ครวญ แล้วตัดสินใจลากสิ่งนี้กลับบ้านไป