บทที่ 128 ผู้ซื่อสัตย์ที่จริงใจ

ท่องภพสยบหล้า

บทที่ 128 ผู้ซื่อสัตย์ที่จริงใจ
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน เจียงวั่งยืนขึ้นมา

ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร เขาก็ไม่สามารถปลอบประโลมวิญญาณแท้ชีพจรเต๋าของตนเองได้ เทียนดำที่ไม่รู้ที่มาที่ไปแท่งนั้นก็ไม่อาจทำอะไรกับมันได้เลย

ความไม่สงบในใจลบทิ้งไปไม่ได้ แต่อีกด้านหนึ่ง คำมั่นสัญญาของต่งเออก็ประคับประคองตัวเขาอยู่

กวาดตามองใต้หล้าแห่งนี้ รัฐจวงแม้จะเป็นรัฐเล็กๆ แต่พลังแห่งรัฐก็มิอาจมองข้ามได้

หากต้องเข้ารับมือกันจริงๆ ลัทธิชั่วร้ายที่เงียบสงบมาหลายร้อยปีอย่างสำนักกระดูกขาวคงจะสร้างคลื่นความวุ่นวายอะไรไม่ได้มากนัก

ไหนจะเรื่องที่ตอนสถาปนารัฐจวงขึ้นครั้งแรก ทำศึกอันโหดร้ายกับรัฐยงซ้ำยังคว้าชัยมาได้อีก หลายปีมานี้ภายใต้สายตาอริที่เพ่งเล็งมาจากรัฐยงแต่โชคชะตารัฐก็ยังคงมั่นคงอยู่ พลังยังไม่ควรที่จะถูกมองข้าม

“มาตรแม้นภัยพิบัติล้มล้างกำลังจะมาถึงแล้วก็ตาม…แต่ต่งเออกับเจ้าเมืองเว่ยล้วนเป็นผู้แข็งแกร่ง จี้เสวียนหัวหน้ากรมอาญาเขตปกครองแม่น้ำชิงก็อยู่ใกล้ๆ และห่างออกไปไม่ไกล พันธสัญญานับร้อยปี เจ้าแห่งนครวารีแม่น้ำชิงไม่มีทางนั่งมองรัฐจวงถูกล้มล้างไปแน่นอน”

“แล้วก็ คราวที่แล้วไป๋เหลียนเคยพูดไว้บนยอดเขาสมดุลหยก รัฐจวงมีผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่มีพลังวิเศษร่นขอบฟ้า ถ้าเมืองเฟิงหลินเกิดเรื่อง เขาจะมาถึงในชั่วพริบตา ไหนจะบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างเมืองวั่งเจียงกับเมืองซานซานอีก…”

“ใช่ เจ้าเมืองโต้วเยวี่ยเหมยมีพลังวิเศษเคลื่อนคีรี พลังต่อสู้แข็งแกร่ง ไม่มีทางนั่งมองบ้านใกล้เรือนเคียงมีอันตรายโดยไม่ช่วยเหลือแน่นอน”

เจียงวั่งวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล จัดการสะสางเรียบเรียงปัจจัยทั้งหมดที่มีประโยชน์

ดูจากบทสรุป เจียงวั่งก็เหมือนตีตนไปก่อนไข้เท่านั้น

แต่ความรู้สึกไม่สงบนั่นยังคงดื้อรั้น หลุดพ้นจากมันไม่ได้เสียที

เขาจึงเลิกที่จะสนใจ เดินออกจากสำนักไป

ไปคุยกับเจ้าหรู่เฉิงเสียหน่อย แวะซื้อของอร่อยให้อันอัน จากนั้นก็กลับบ้านแล้วกัน เขาคิด

จากนั้นเขาก็เห็นถังตุนยืนอยุ่ที่ประตูสำนักเต๋า

“ถังตุน!” เจียงวั่งตะโกนเรียก

ถังตุนเวลานี้สวมเสื้อสั้นกางเกงผ้าฝ้าย จ้องเขม็งไปที่ราชสีห์หยกคู่นั้นอย่างละเอียด

พอได้ยินก็ตกใจสะดุ้งโหยง หันซ้ายแลขวาอยุ่นานสองนาน ถึงมองเห็นเจียงวั่ง

“อาจารย์เจียง…” เขาเอ่ยทักทาย

เจียงวั่งบอกไปแล้วหลายครั้ง ว่าไม่ต้องเรียกเขาว่าอาจารย์ เขายังไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นอาจารย์ได้ แต่ถังตุนก็ดูจะดื้อรั้นกับเรื่องนี้พอควร

ทว่าในช่วงเวลาส่วนตัวปกติจะเรียกอย่างไรก็ไม่เป็นไรหรอก แต่มาเรียกเช่นนี้ใกล้ๆ กับประตูใหญ่สำนักเต๋า ถ้าหากอาจารย์คนไหนได้ยิน คงถูกหัวเราะเยาะเป็นแน่ แล้วยิ่งหากอาจารย์คนนั้นเป็นเซียวหน้าเหล็กล่ะก็…

เจียงวั่งลั่นคำสาบานไว้แล้วว่าจะไม่คัดคัมภีร์เต๋าอีกเป็นอันขาด

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ” เจียงวั่งรีบถามขึ้น

ถังตุนยิ้มทื่อๆ “ปีหน้าก็จะมาฝึกบำเพ็ญที่นี่แล้ว ตูข้าจึงแวะมาดูเฉยๆ”

อาจจะเพราะตัวเขาเองก็เคอะเขินที่พูดเช่นนี้ จึงเอ่ยคำว่า ‘ตูข้า’ ออกมาอีกครั้งด้วยสัญชาตญาณ

“เจ้ารู้ว่าปีหน้าเจ้าจะสอบได้แน่นอนหรือ” เจียงวั่งจงใจแหย่เขา

“จะไม่ได้ได้อย่างไร” ตุนหวงรีบเอ่ยขึ้น “อาจารย์เป็นคนที่เก่งที่สุดของที่นี่เลยนะ! เป็นอันดับหนึ่งอะไรนั่นน่ะ! ตูข้าเล่าเรียนกับท่าน แล้วจะสอบไม่เข้าได้อย่างไรกัน”

ยังดีที่อากาศหนาวเย็น และไม่มีใครมามองราชสีห์หยกที่หน้าประตูสำนักเต๋าเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นเจียงวั่งคงอุดปากเขาไปแล้ว

ในสำนักเต๋ามีศิษย์พี่น้องอยู่ตั้งมากมาย ศิษย์สำนักสายในหน้าใหม่ที่เพิ่งบรรลุพลังไม่ถึงหนึ่งปีอย่างเขา จะกล้าพูดว่าตนเองร้ายกาจขนาดนี้ได้อย่างไร คำพูดนี้ถ้าเผยแพร่ออกไปล่ะก็ เกรงว่าคงเกิดข้อพิพาทขึ้นไม่น้อยแน่

แต่ถังตุนก็อยู่ในท่าทีเอาจริงเอาจัง ไม่ได้ล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

“เอาล่ะๆๆ ไม่ต้องดูแล้ว กลับไปกับข้าเถอะ” เจียงวั่งขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน

อันที่จริงเขารู้ ด้วยพลังของถังตุนตอนนี้ การจะสอบเข้าเป็นศิษย์สายนอกเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ปีหน้าท้ายปีจะขยับเป็นศิษย์สำนักสายในก็ไม่ใช่ไม่มีโอกาส

ชายคนนี้พื้นฐานแน่น แล้วยังมีน้ำอดน้ำทน ไม่เคยหย่อนยานต่อการฝึกบำเพ็ญที่เจียงวั่งถ่ายทอดให้เลย

“อาจารย์วันนี้จะกินอะไร ข้าจะไปซื้อกับข้าวที่ตลาดให้” ระหว่างทาง ถังตุนดูกระตือรือร้นด้วยไมตรีจิต

ร้านดอกกุ้ยจรุงกลิ่นที่อันอันชอบก็ห่างจากประตูสำนักเต๋าไม่ไกลนัก เจียงวั่งพลางซื้อของหวานมาเล็กน้อย พลางพูดไปด้วยว่า “วันนี้เจ้าไม่ต้องเข้าครัวแล้ว รออันอันเลิกเรียน พวกเราไปโรงเตี๊ยมดีๆ หาอะไรกินกันสักมื้อดีกว่า”

พอไม่ต้องเหนื่อยเข้าครัว ถังตุนก็เหมือนจะหดหู่เล็กน้อย “นั่นมันเปลืองเงินนะ”

เจียงวังหุบรอยยิ้ม “อีกหน่อยเจ้าก็จะกลายเป็นผู้ฝึกตน มีพลังแห่งการบรรลุพลัง เป็นผู้บรรลุพลัง หลุดพ้นจากประเพณีเก่าๆ ไม่จำเป็นต้องไปยึดติดกับเงินอีกแล้ว”

“ผู้ฝึกตนบรรลุพลังก็ต้องกินต้องใช้นี่” ถังตุนบ่นพึมพำขึ้นมาอย่างไม่ยอม

คนซื่อๆ ก็มีความดื้อรั้นของคนซื่อ แต่เขาไม่รู้ว่าพอถึงระดับหนึ่ง ผู้ฝึกตนไม่ต้องกินข้าวจริงๆ แล้ว ต่อให้เจียงวั่งที่เป็นผู้ฝึกตนระดับโจวเทียนเท่านั้น ตอนนี้ก็แทบจะไม่ได้ต้องการอาหารการกินเท่าไรแล้ว ตอนที่วงจรฟ้าดินเล็กสร้างเสร็จ พลังรากเต๋าสร้างขึ้นเองอย่างต่อเนื่อง เพียงพอที่จะประคับประคองความต้องการของกายเนื้อได้ เขาตอนนี้ที่ยังกินสามมื้อไม่ขาด หลักๆ ก็เพียงเพื่อสนองความอยากเท่านั้น และเป็นเพราะความเคยชินที่เกิดขึ้นจากระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาด้วย

“ทำไมเจ้าถึงอยากฝึกบำเพ็ญ” พอคิดว่าถังตุนปีหน้าจะเข้าสำนักเต๋าแล้ว ในฐานะที่เป็น ‘อาจารย์’ ในนาม เจียงวั่งจึงถามขึ้น

ถังตุนตอบอย่างซื่อๆ “ตอนแรกที่ข้าเป็นมือปราบ เพราะคิดอยากจะปกป้องความสงบให้กับทุกคน ข้าเองก็ไม่ได้คิดจะไปทำเรื่องอื่น เรื่องอื่นข้าทำไม่เป็น เป็นอยู่แค่ใช้สองมือเข้าต่อสู้ แต่ว่านิวเอ๋อร์….เรื่องนั้นของนิวเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าข้าทำอะไรไม่ได้เลย…ข้าทำได้แค่จับขโมยในตำบล แต่ปกป้องความสงบสุขให้กับทุกคนไม่ได้เลย”

เขาเอ่ยต่อ “รอให้ข้าเก่งกาจอย่างอาจารย์เจียงก่อน ข้าจะกลับไปที่ตำบลเป็นมือปราบอีกครั้ง!”

การฝึกตนไม่ใช่เรื่องที่สูงส่งอะไร มันเป็นแค่คำกลางๆ คำหนึ่ง ที่เป็นตัวแทนขั้นตอนการสืบค้นขีดจำกัดของร่างกายผู้ฝึกตน

มีคนที่ฝึกบำเพ็ญเพื่ออยากแข็งแกร่ง มีคนเพื่อที่จะได้เป็นคนระดับสูง สำแดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าผู้คน มีคนที่ฝึกเพื่อล้างแค้น ความละโมบ รีดไถ และมีคนที่มีความใฝ่ฝันอยู่จริงๆ

เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์มีอยู่ หากว่าจากคุณสมบัติด้านความปรารถนา อาจจะไม่มีการแบ่งสูงหรือต่ำเลยก็ได้

ในตอนแรกสุด ‘ความฝัน’ เป็นคำที่อยู่สูงสุดเหนือทุกสิ่งมวล

แต่ไม่รู้เริ่มตั้งแต่เมื่อไร มันในตอนนี้ กลับตกต่ำจนกลายเป็นสิ่งที่ถูกเหล่าคนรุ่นก่อนเย้ยหยัน

มันแทบจะเขียนจุดมหัพภาคลงบนความไม่จริง กลายเป็นพวกเดียวกันกับความเลื่อนลอย

แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาที่มาจากความฝัน เพียงแต่ความฝันมักจะกลายเป็นเสื้อผ้าภายนอกของเหล่าคนรุ่นก่อน

พอสวมจนเหม็นแล้วก็เลยโยนทิ้งขว้างไป

เจียงวั่งนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่กำชับขึ้นว่า “เจ้าไปที่หอพักสำนักเต๋าเรียกหลิงเหอเสียหน่อย เมื่อครู่ข้าก็คิดไม่ถึง ในเมื่อพวกเราจะไปโรงเตี๊ยมแล้ว ก็เรียกทุกคนไปด้วยกันดีกว่า ครื้นเครงกันเสียหน่อยก่อนปีใหม่”

“ได้เลย!” ถังตุนพอมีเรื่องให้ทำก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที ยกเท้าตั้งท่าวิ่งไปสำนักเต๋า

ส่วนเจียงวั่งหันหลังกลับ เตรียมที่จะไปเรียกเจ้าหรู่เฉิง

ตอนนี้เอง เขาสัมผัสได้ว่าท้องฟ้าเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง

เปรี๊ยะ!

พื้นดินด้านหลังเขา แตกออกเป็นร่องขนาดยักษ์! ใต้พื้นร่องมีหินหนืดอันร้อนแรงหลั่งทะลักอยู่

ผู้คนบนท้องถนนกรีดร้องพรั่นพรึง คนที่ตกลงไปก็ไม่ทันได้ช่วยเหลือตัวเอง บ้างก็วิ่งหนีกันไม่รู้ทิศรู้ทาง

เจียงวั่งหันตัวฉับพลัน มองเห็นถังตุนที่กำลังร่วงหล่นมือไม้พัลวัน!

ร่างของเขากลายเป็นหมอกมงคลพัดโถมออกไป พุ่งผ่านร่างของถังตุน คลี่คลายสถานการณ์มาได้สองอึดใจ แทงกระบี่เข้าไปในกำแพงหิน พลิกมือสะบัดเถาวัลย์ออกมาเส้นหนึ่ง พันตัวถังตุนก่อนที่จะถูกหินหนืดกลืนกินเอาไว้

ตูม! โครม!

ทั้งสองคนอยู่ในร่องแตกของพสุธา มองไม่เห็นสถานการณ์ภายนอก แต่สามารถเข้าใจความจริงเรื่องหนึ่งได้อย่างชัดเจน…รอยแยกพสุธากระจายตัวออกไปมากขึ้นทุกทีแล้ว!

ถังตุนถูกแขวนไว้เหนือแม่น้ำหินหนืด ร้องจ้าออกมาเป็นเสียงแรก

เสียงของเขาถูกเสียงพื้นดินถล่มโครมครามกลบ แต่เจียงวั่งก็ยังมองออกถึงรูปปากของเขา

เขากำลังตะโกนว่า

“ศิษย์พี่อันอัน”

ทั้งสองคนได้รับการชี้แนะวิทยายุทธ์จากเจียงวั่งด้วยกัน อันอันเอาแต่บอกว่าตนเองเป็นศิษย์พี่ ถังตุนก็ว่าตามนาง

ถึงแม้ ‘ศิษย์พี่’ คนนี้ ยังต้องให้เขาพาไปรับไปส่งอยู่

วินาทีนี้เวลานี้ การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เขาให้เจียงวั่งปล่อยตนเองไว้ รีบไปช่วยอันอัน

อันที่จริงนี่ก็เป็นการตัดสินใจของเจียงวั่ง ถังตุนเพียงแค่พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่กลายเป็นความรู้สึกผิดบาปของเขา

ถ้าหากพสุธาแยกเพียงร่องเดียว เจียงวั่งยังพอคุ้มกันถังตุนได้ แต่แผ่นดินไหวนี้มันแผ่ซ่านออกไปทั่วเมือง สิ่งแรกที่เขาคิดถึงคือเจียงอันอัน

เจียงวั่งใช้แรงจากมือเหวี่ยงถังตุนออกจากรอยแยก จากนั้นจึงพุ่งทะยานออกไปโดยไม่สนใจเขาอีก

ร่างกลายเป็นแสงขาวสายหนึ่ง เพียงพริบตาก็ข้ามผ่านเมืองทั้งเมือง ตรงเข้าไปในสถานธรรมกระจ่าง!

นี่คือวิชาลับที่เขาได้มาจากเทียนดำ วิชาล่องหนกระดูกขาว ใช้พลังชีวิตประเคนเอาใจต่อเทพกระดูกขาว พุ่งผ่านหยินหยางได้ชั่วขณะ!

รัชศกจวงอันสงบสุขปีที่สิบสี่ เมืองเฟิงหลินเขตปกครองแม่น้ำชิง

มังกรพสุธาพลิกตัว ผืนพสุธาแตกแยก

บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ภาพอนาถแห่งโลกมนุษย์

……………………………………….