บทที่ 397 เหตุผลที่ตรงไปตรงมาและยุติธรรม!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 397 เหตุผลที่ตรงไปตรงมาและยุติธรรม! โดย Ink Stone_Fantasy

ทันทีที่สิ้นสุดคำพูด ทุกคนรอบตัวหวังเป่าเล่อก็แสดงสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกคนล้วนเบิกตากว้างอย่างพร้อมเพรียง และพากันกลั้นหายใจ แม้กระทั่งคนที่สงบนิ่งกว่าเพื่อนยังรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น ทุกคนคิดว่าการโต้กลับของหวังเป่าเล่อนั้นเหนือความคาดหมายมาก แต่ก็ตรงกับนิสัยที่โหดเหี้ยมอำมหิตของชายหนุ่มเป็นอย่างดี

สิ่งที่หวังเป่าเล่อกล่าวนั้นถูกต้อง ทั้งสามคนเน้นย้ำตลอดถึงความเป็นเอกเทศของเขตที่ตนเองปกครอง และไม่ทิ้งโอกาสที่จะได้บอกทุกคนว่าเขตของพวกเขาทั้งสามขึ้นตรงต่อสหพันธรัฐและเจ้านครดาวอังคาร โดยไม่ต้องรายงานกิจการใดๆ ก็ตามกับนครใหม่ ด้วยเหตุนี้ทั้งสามจึงไม่เกรงกลัวสิ่งใด ไม่สนใจจะไว้หน้าใคร และกล้าแสดงท่าทีต่อต้านอย่างออกหน้าออกตา…

เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งยืนกราน หวังเป่าเล่อก็พร้อมสนองโดยการขังทั้งสามเอาไว้ภายใต้กำแพงสูงที่โอบล้อมทั้งสามเขต ถือเป็นการจองจำพวกเขาให้อยู่แต่ในเขตของตน เพียงเท่านี้ก็ถือว่าส่งผลไม่น้อยแล้ว

สิ่งที่แย่ที่สุดคือการที่เฉินมู่และพรรคพวกไม่มีอำนาจหยุดคำสั่งของหวังเป่าเล่อได้ เนื่องจากหวังเป่าเล่อออกคำสั่งอย่างรัดกุม ชายหนุ่มสั่งหลินเทียนหาวให้สร้างกำแพงภายในอาณาเขตที่เป็นของนครใหม่เท่านั้น จึงไม่ได้ก้าวล้ำเข้าไปในเขตของเฉินมู่และพรรคพวกแม้แต่น้อย ความนักเลงของหวังเป่าเล่อที่กล้าพอประกาศจุดยืนต่อหน้าเฉินมู่และอีกสองคนที่เหลือ ทำให้ทุกคนที่ยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้เข้าใจนิสัยของหวังเป่าเล่อได้ถ่องแท้ยิ่งขึ้น

“นี่มันโหดร้ายเหลือเกิน เกินจินตนาการเลยทีเดียวเชียว!”

“ข้าว่านี่มันใจร้ายแถมยังโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว แต่เฉินมู่กับอีกสองคนนั้นต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เหตุใดจึงกล้าปีนเกลียวกับหวังเป่าเล่อกัน”

“หวังเป่าเล่อนี่ทำให้โกรธไม่ได้เด็ดขาด ในที่สุดข้าก็ได้เห็นตัวตนแท้จริงของเขา หมอนี่เป็นจอมชั่วช้า ในหัวมีแต่ความคิดชั่วร้าย!” ผู้คนรอบหายหวังเป่าเล่อไม่กล้าพูดออกมาดังๆ ทำได้เพียงส่งข้อความไปหาสหายของตนเพื่อพูดคุยเรื่องนี้เท่านั้น

ทันทีที่หลินเทียนหาวและกงเต๋าตอบรับคำสั่งของหวังเป่าเล่อด้วยเสียงดังฟังชัด ทั้งสองก็เข้าใจในทันทีว่าหวังเป่าเล่อกำลังทำอะไร พวกเขาหันมามองหน้าหวังเป่าเล่อสองถึงสามครั้ง และกงเต๋าก็ตัดสินใจในทันทีว่าจะไม่มีวันตั้งตนเป็นศัตรูกับหวังเป่าเล่อเด็ดขาด บทลงโทษอันแสนโหดร้ายนี้ทำให้กงเต๋าเข้าใจอุปนิสัยของหวังเป่าเล่อมากขึ้น…

หลินเทียนหาวเกือบเผลอตัวตบเข่าฉาดและส่งเสียงร้องยินดี ก่อนหน้านี้เขาคิดอยู่นานว่าควรแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร ชายหนุ่มรู้ดีว่าโชคชะตาของตนผูกติดอยู่กับหวังเป่าเล่อ ทั้งสองแบ่งปันสิ่งต่างๆ กันทั้งความเจริญรุ่งเรืองและภัยอันตราย ทันทีที่เขาได้ยินคำสั่งของหวังเป่าเล่อ และได้เห็นสีหน้าของเฉินมู่และพรรคพวกที่เหมือนถูกอาจมสุนัขป้ายหน้า หัวใจที่หนักอึ้งของหลินเทียนหาวก็กลับมาลิงโลดอีกครั้ง

เจ้าเฉินมู่นี่มีกลเม็ดเด็ดๆ อยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้น แค่คิดว่าบิดาข้าเคยบอกให้ดูมันเป็นแบบอย่างแล้วละก็ ดูเหมือนบิดาข้าจะไม่ได้ยอดเยี่ยมเรื่องการตัดสินคนขนาดนั้นขณะที่หลินเทียนหาวกำลังคิดอย่างพึงพอใจ จินตั้วหมิงก็ดูเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มสูดหายใจลึกเข้าปากและยิ้ม ดูก็รู้ว่าจินตั้วหมิงไม่ชอบเฉินมู่และพรรคพวก พวกนั้นไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไรเลย แต่กลับมาแบ่งผลประโยชน์ที่ตนเองไม่สมควรได้รับไปอย่างหน้าด้านๆ แถมยังทำด้วยท่าทีหยิ่งยโสและต่อต้านอีกต่างหาก นี่คือเหตุที่ทำให้จินตั้วหมิงไม่ชอบขี้หน้าคนทั้งสาม

หลี่หว่านเอ๋อร์ตื่นตระหนกเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับปฏิกิริยาของกงเต๋าและคนอื่นๆ นางสองจิตสองใจคิดจะก้าวออกไปเพื่อพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หาช่องโหว่ในคำสั่งของหวังเป่าเล่อไม่ได้เลย หวังเป่าเล่อออกคำสั่งอย่างระมัดระวังเป็นเหตุเป็นผล อย่างไรเสียความโอหังของเฉินมู่และพรรคพวกก็เป็นที่ประจักษ์ให้เห็นในสายตาของทุกคน

*หวังเป่าเล่อวางหลุมพรางดักทั้งสามคนนี้ หมอนี่เป็นพวกชอบวางกับดักอยู่แล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นกับหลี่อี้เป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี!*หลี่หว่านเอ๋อร์ขมวดคิ้ว นางรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่ตนควรพูดหรือเสนอความช่วยเหลือ นางจึงทำได้เพียงเงียบเท่านั้น

คนที่ตกใจที่สุดดูเหมือนจะเป็นเฉินมู่และนายกเทศมนตรีอีกสองคนที่เหลือ เวินไหวและฟางจิ้งหายใจหอบ ทั้งสองตกใจในสิ่งที่ได้ยิน และหันไปมองเฉินมู่ในทันที ในใจเต็มไปด้วยความตกใจกลัวและโทสะ

สีหน้าของเฉินมู่มืดมนและบูดเบี้ยว ชายหนุ่มมองหวังเป่าเล่อ ในสมองเต็มไปด้วยความคิดมากมายนับไม่หมด เขาพยายามคิดหาวิธีโต้กลับ แต่หวังเป่าเล่อออกคำสั่งที่เขาไม่คาดคิด แม้ฟันเฟืองในหัวของเฉินมู่จะทำงานหนัก แต่เขายังคิดทางแก้ไม่ออกในทันที ชายหนุ่มจึงหายใจเข้าลึก และมุ่งหน้าโจมตีน้ำเสียงประสงค์ร้ายของหวังเป่าเล่อแทน

“ท่านเจ้าเมืองหวัง การตัดสินใจของท่านแสดงให้เห็นว่าท่านไม่พอใจในอำนาจการปกครองตนเองของพวกเรา ซึ่งเป็นมติของสหพันธรัฐ ท่านต้องการจองจำพวกเราหรือ ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้สหพันธรัฐรับทราบ จากนั้น…”

คำโต้กลับของเฉินมู่รวดเร็วทันใจ แม้เขาจะยังคิดทางแก้ไม่ออก แต่ก็จับน้ำเสียงขุ่นมัวของหวังเป่าเล่อได้ เขากำลังจะเลิกแสดงละครบังหน้าและเปิดโปงความจริงของเรื่องนี้ แต่ก่อนที่จะพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง และพูดอย่างไร้อารมณ์

“ปากทางเข้าสุสานอาวุธเทพใต้ดินใหม่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ข้าเกรงว่าอาจมีอสูรร้ายที่พวกเรายังกำจัดไม่หมดเพ่นพ่านอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงต้องจัดกำลังพลเข้าคุ้มครองความปลอดภัยของเขตปกครองตนเองทั้งสาม ทางเราใคร่ขอความร่วมมือจากนายกเทศมนตรีเฉิน นายกเทศมนตรีเวิน และนายกเทศมนตรีฟางด้วย!” หวังเป่าเล่อหันหลังกลับทันทีที่พูดจบโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ชายหนุ่มไม่ได้แยแสสีหน้าเหมือนอมยาขมของเฉินมู่และพรรคพวกแม้แต่น้อย และจากไปท่ามกลางใบหน้าประหลาดใจของผู้คนที่รายล้อม

คำพูดทิ้งท้ายของหวังเป่าเล่อทำให้เฉินมู่ต้องกลืนคำโต้แย้งของตนเองลงคอไป แม้เขาจะรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อเพียงโยนเหตุผลมั่วซั่วมาให้ แต่ก็เป็นเหตุผลที่ยากจะตอกกลับ

*เจ้าเก่งด้านการมองทะลุเรื่องไร้สาระและประเมินสถานการณ์จริงหรือ ได้ เช่นนั้นขอข้าโยนเหตุผลไร้สาระให้เจ้าหน่อยก็แล้วกัน มาดูกันว่าจะทำได้ไหม เจ้ามันก็แค่ขุนนางระดับสี่ชั้นสูงที่พยายามจะเอาชนะขุนนางระดับสามชั้นสูง ดูก็รู้ว่ามวยคนละชั้น ไอ้สมองขี้เลื่อย ขอดูให้เห็นกับตาหน่อยเถิดว่าใครจะยอมแพ้และร้องไห้เรียกหาบิดาก่อนกัน!*หวังเป่าเล่อคิดอย่างพึงพอใจในผลงานของตนเองขณะออกมาจากจุดเกิดเหตุ เขาเดินทอดน่องกลับห้องทำงาน ทันทีที่กลับมาถึง ชายหนุ่มก็ได้รับข้อความขอเข้าพบจากหลี่หว่านเอ๋อร์

หวังเป่าเล่อปฏิเสธคำขอเข้าพบของนางทันที เขาเพิกเฉยและเริ่มถือสันโดษต่อ ทั้งยังสืบค้นข้อมูลการหลอมอาวุธเวทเพิ่มเติม หวังเป่าเล่อมั่นใจว่าด้วยความสามารถของหลินเทียนหาว อีกฝ่ายต้องจัดการทำตามคำสั่งของเขาได้อย่างไร้ที่ติแน่นอน

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย หลินเทียนหาวรู้ดีว่าชะตาชีวิตของตนเองผูกติดอยู่กับหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจึงไม่รีรอ รีบรวบรวมกำลังคนเพื่อสร้างกำแพงในทันที เขาใส่ความคิดสร้างสรรค์ของตนเองเข้าไปด้วย และเริ่มสร้างกำแพงสูงหลายสิบเมตรอย่างรวดเร็ว!

ความเร็วในการสร้างกำแพงของผู้ฝึกตนนั้นเร็วจนน่าตกใจ เฉินมู่และพรรคพวกเดือดพล่านด้วยโทสะและความรู้สึกสิ้นไร้ไม้ตอก ขณะมองกำแพงสูงเหมือนภูเขาตระหง่านขึ้นจากพื้น

ความเร็วอันเหลือเชื่อในการก่อสร้างนี้แปลว่ากำแพงน่าจะสร้างเสร็จภายในวันเดียว แม้จะเป็นแค่แม่แบบแรกเริ่ม แต่ก็ยังดูสูงเด่นน่าเกรงขามจากมุมบน กำแพงที่หลินเทียนหาวสร้างนี้ทั้งกว้างขวางและใหญ่โต จนทำให้เกิดเงาปกคลุมเขตทั้งสามเขตที่เฉินมู่และพรรคพวกปกครอง ผู้ที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางคงคิดว่าเบื้องหลังกำแพงนี้คือเรือนจำของดาวอังคาร

นั่นเป็นเพราะ… นอกกำแพงสูงนี้มีกองทัพเฝ้าเวรยามที่จัดโดยกงเต๋ายืนควบคุมอยู่อย่างแน่นหนา กองทัพเฝ้าเวรยามนี้ยืนกันเขตทั้งสามอย่างกระตือรือร้น และมีหน้าที่ห้ามใครก็ตามเข้าหรือออกเขตใหม่

ข่าวเรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วนครเหมือนไฟลามทุ่ม หลายคนที่ทราบเรื่องต่างพากันตกใจกับการตัดสินใจของหวังเป่าเล่อ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นดุเดือดสะพัดไปทั่วนครใหม่บนดาวอังคาร เวินไหวและฟางจิ้งเริ่มกระวนกระวายร้อนอกร้อนใจ ทั้งสองรู้ดีว่าสถานการณ์เช่นนี้จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ เพราะหากปล่อยให้อยู่ในสภาพนี้นานเกินไป เขตของตนจะได้รับผลกระทบใหญ่หลวง ส่วนเฉินมู่ยังคงรักษาความเงียบเอาไว้ได้ เขาคิดว่าจะขอความช่วยเหลือจากตระกูลของตนดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ละทิ้งความคิดนั้นไป

*ข้าเพิ่งมาถึงเอง จะหันหน้ากลับไปพึ่งตระกูลทุกครั้งที่เกิดปัญหาไม่ได้… ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจะเหลือศักดิ์ศรีอะไรอีกเล่า!*สีหน้าของเฉินมู่มืดมนและอมทุกข์ เขาคิดอยู่สักพักก่อนหยิบแผ่นหยกของตนออกมา ชายหนุ่มติดต่อสหพันธรัฐเพื่อร้องทุกข์การใช้อำนาจโดยมิชอบของหวังเป่าเล่อ ซึ่งทำให้การดำเนินงานภายในเขตปกครองตนเองต้องหยุดชะงัก และยังบอกเวินไหวและฟางจิ้งให้ติดต่อเจ้านครดาวอังคารด้วย

เฉินมู่ตั้งใจจะแก้ปัญหานี้โดยการใช้อำนาจรัฐ!

ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดเรื่องกำแพง ไม่มีผู้ใดรับรู้ว่าภายนอกนครใหม่ ณ บริเวณที่ปากทางเข้าสุสานใหม่เพิ่งถูกผนึก แม้ซากศพของอสูรร้ายจะถูกกำจัดไปเรียบร้อย และการก่อสร้างฐานที่มั่นก็เดินหน้าตามคำสั่งของหวังเป่าเล่อ ทว่าก้อนเนื้อก้อนหนึ่งเริ่มสั่นไหวอย่างช้าๆ มันค่อยๆ ขยายขนาดใหญ่ขึ้นใต้ผืนดิน จนกระทั่งกลายเป็นรูปร่างของมนุษย์ จากนั้นมือของร่างที่อยู่ใต้ดินก็ค่อยๆ ทะลวงออกมาเหนือพื้นดิน

มือนั้นปลดปล่อยพลังประหลาดออกมา ที่ทำให้ทุกคนซึ่งอยู่รายรอบสัมผัสไม่ได้และมองไม่เห็น มันตะครุบพื้นดินเอาไว้ และค่อยๆ ลากร่างที่อยู่ใต้ดินของตนขึ้นมาเหนือพื้น

ร่างนั้นดูยังไม่คุ้นชินกับกายใหม่ของตนเอง มันยืนอยู่ตรงนั้นหลังจากปีนออกจากพื้นดินเรียบร้อย และขยับร่างกายของตนเองในท่วงท่าแสนประหลาด หลังจากผ่านไปสักพัก ชายผู้นั้นก็เริ่มเคยชินกับร่างใหม่ ชุดคลุมสีดำปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าเพื่อห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้ ริมฝีปากที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลังชุดคลุม ค่อยๆ ขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง

“ในที่สุดข้าก็เป็นอิสระ” เสียงแหบหยาบดังลอดออกจากริมฝีปาก ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พร้อมประกายประหลาดในดวงตาขณะมองไปยังนครใหม่

ในตอนที่แสงอาทิตย์อัสดงกำลังลาลับโลก ใบหน้าของชายผู้นั้นก็เผยออกเล็กน้อยจากภายใต้ผ้าคลุม ใบหน้านั้นเหี่ยวย่นด้วยริ้วรอย… ผ่านไปพักใหญ่ชายผู้นั้นก็ก้มหน้าลง ร่างของเขาสั่นเทาก่อนจะหายวับไป ดูเหมือนว่าชายผู้หน้ากำลังมุ่งหน้าไปที่นครใหม่…