“ข้าคือนักบุญหญิงตัวจริง!”

อีเบลลีน่าแผดเสียงร้องออกมาต่อหน้าสายตาที่เย็นชาเหล่านั้น

“ก็บอกว่าจริงอย่างไรเล่า! พวกเจ้าโดนนางตัวปลอมนั่นหลอกแล้ว!”

แม้ว่าเสียงร้องตะโกนของนางยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่กลับไม่มีผู้ใดฟัง ทุกคนเพียงยืนมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการดูแคลนเท่านั้น

นี่เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว อีเบลลีน่าคือใครน่ะหรือ นางคือนักบุญหญิงคนที่สี่สิบเก้า เป็นผู้ที่ทำให้วิหารหลวงเสื่อมเสียเพราะลุ่มหลงในความหรูหราและมัวเมาในกิเลส มิเพียงเท่านั้น นางยังนำทรัพย์สินของวิหารหลวงไปแจกจ่ายให้ผู้อื่นราวกับของพวกนั้นเป็นของตน ผู้ที่ได้รับของเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกที่คอยประจบสอพลอหรือไม่ก็เป็นชายหนุ่มที่นางลักลอบพาขึ้นเตียง

บัดนี้ไม่มีใครให้การยกย่องนักบุญหญิงผู้นี้อีกต่อไป หากได้กล่าวถึงอีเบลลีน่า พวกเขาจะถ่มน้ำลายทิ้งราวมีของสกปรกติดที่ปาก จากนั้นจะไปสวดภาวนาขอให้นางรีบไปชดใช้บาปกับพระเจ้าเสียที

ในที่สุดก็มาถึงวันที่ทุกคนเฝ้าคอย ไม้ฟืนกองสูงเยี่ยงภูเขาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของอีเบลลีน่า นั่นคือไม้ที่จะใช้ในพิธีเผาเพื่อประหารชีวิตวันนี้

ขอเพียงจุดไฟ อีเบลลีน่า นักบุญหญิงตัวปลอม แม่มดแห่งประวัติการณ์ก็จะพบกับจุดจบของชีวิต

***

 หนึ่งปีก่อน มีข่าวลือเรื่องหนึ่งเป็นที่พูดถึงทั่วทุกหนแห่งบนแผ่นดิน

“มีนักบุญหญิงตัวจริงปรากฏตัวขึ้น”

ข่าวลือนี้แพร่สะพัดไปทั่วแผ่นดินอย่างรวดเร็ว สตรีผู้มีพลังศักดิ์สิทธิ์อันแกร่งกล้าจนนักบุญหญิงจากวิหารหลวงยังมิอาจเทียบปรากฏตัวขึ้นที่เขตชายแดน สตรีผู้นั้นต่อสู้กับปีศาจและช่วยรักษาคนเจ็บก่อนจะหายตัวไป

ในช่วงแรก ฝั่งวิหารหลวงเพิกเฉยต่อข่าวลือนี้ ด้วยคิดว่าเป็นข่าวที่ถูกกุขึ้นมาเพราะชาวบ้านผิดหวังในตัวนักบุญหญิง ทว่าข่าวลือนั้นกลับแพร่กระจายออกไปและมีแนวโน้มว่าจะเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ

“ท่านนักบุญหญิงตัวจริงมีนามว่าอีริสอย่างนั้นหรือ”

“ได้ยินว่าพอได้เห็นท่านนักบุญหญิง พวกปีศาจที่ปกติเห็นคนก็พุ่งเข้าใส่กลับวิ่งหนีไปเสียเฉยๆ แถมท่านยังช่วยรักษาคนบาดเจ็บหลายสิบคนได้ในครั้งเดียว!”

น้ำเสียงของชาวบ้านที่เล่าเรื่องอย่างตื่นเต้นค่อยๆ เบาลง พวกเขากล่าวเสียงค่อยว่า

“แต่ไหนว่าท่านนักบุญหญิงมีได้เพียงคนเดียวมิใช่หรือ”

“ถ้าอย่างนั้น นักบุญหญิงอีเบลลีน่าของวิหารหลวง…”

เป็นนักบุญหญิงตัวปลอม

ชาวบ้านต่างแลกเปลี่ยนคำที่พูดออกมาไม่ได้ผ่านทางสายตา

ข่าวลือที่ว่านั้นกระจายไปเรื่อย จนในที่สุดก็ได้ยินไปถึงหูของอีเบลลีน่า

“ไปจับนางมาเดี๋ยวนี้!”

อัศวินของวิหารหลวงจำต้องรับคำสั่งจากอีเบลลีน่าอย่างมิอาจเลี่ยงจึงได้พบกับอีริส ในตอนนั้นอีริสกำลังรักษาบาดแผลให้ชาวบ้านอยู่ นางกล่าวกับเหล่าอัศวินว่า

“ไม่จำเป็นต้องคุมตัวข้า ข้าไม่ได้จะหนีไปไหน แต่ท่านช่วยรอจนข้ารักษาคนเจ็บที่นี่เสร็จก่อนได้หรือไม่…? ราธบัน”

ผู้บัญชาการอัศวินราธบันซึ่งรู้จักอีริสอยู่ก่อนแล้วกล่าวรับคำก่อนจะสั่งให้เหล่าอัศวินถอยออกไป หลังจากรักษาเสร็จ ชาวบ้านเข้ามาขวางหน้าอีริสที่กำลังจะเดินไปหาอัศวินที่รออยู่

“ได้โปรดหนีไปเถิดท่านนักบุญหญิง! นักบุญหญิงตัวปลอมนั่นจะฆ่าท่าน!”

“ใช่แล้ว! พวกข้าจะช่วยขวางเอาไว้เอง ท่านรีบหนีไปเสียเถิด!”

อีริสยิ้มพลางส่ายหน้าให้ชาวบ้านที่มายืนขวางทาง

“ข้าได้ให้คำสัญญากับพวกเขาไว้แล้วว่าจะกลับไปด้วย ย่อมต้องรักษาคำสัญญานั้น”

สิ้นคำกล่าว นางโน้มตัวลงไปจุมพิตหน้าผากของเด็กน้อยที่ยืนร้องไห้เกาะชายกระโปรงของนางอยู่

“อย่าร้องไปเลย พวกเราจะได้พบกันใหม่แน่นอน”

แม้ว่านางจะเป็นคนที่ทุกข์ใจมากที่สุดแต่ก็ยังปลอบโยนผู้คนรอบกาย เมื่อได้เห็นท่าทางเช่นนั้นของอีริส ชาวบ้านก็กลั้นน้ำตา

ชาวบ้านรู้ว่าถึงพวกเขาจะขวางไว้อย่างไร อีริสก็ยืนยันจะตามเหล่าอัศวินกลับไปยังวิหารหลวง จึงได้คว้าตัวอัศวินมาและร้องขอ

“ท่านอีริสเป็นนักบุญหญิงตัวจริงนะคะ!”

“เมื่อครู่ท่านก็เห็นมิใช่หรือ ท่านอีริสใช้พลังศักดิ์สิทธิ์รักษาให้พวกเรา!”

“ถ้าพวกท่านเป็นอัศวินที่มีหน้าที่คุ้มครองท่านนักบุญหญิงจริงก็ควรคุ้มครองท่านอีริสสิ คนที่อยู่วิหารหลวงเป็นนักบุญหญิงตัวปลอม!”

อัศวินรู้สึกหนักใจกับการกระทำของชาวบ้าน ก่อนมาที่นี่พวกเขาเชื่อสนิทใจว่าหญิงสาวนามว่าอีริสเป็นนักบุญหญิงตัวปลอม นั่นเพราะในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา หากมีนักบุญหญิงดำรงอยู่แล้วก็ไม่เคยมีนักบุญหญิงอื่นปรากฏตัวขึ้นมาก่อน แม้มีคนอ้างว่าตนเป็นนักบุญหญิงอยู่บ้าง แต่คนเหล่านั้นล้วนแต่เป็นพวกต้มตุ๋น ดังนั้นพวกเขาจึงได้คิดว่าอีริสก็เป็นหนึ่งในคนจำพวกนั้น

อัศวินนำทางให้อีริสด้วยท่าทีนอบน้อม พลังที่อีริสใช้รักษาให้ชาวบ้านก่อนหน้านี้เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ผิดแน่ พวกเขาสัมผัสได้ชัดกว่าใครเพราะพวกเขาคืออัศวินแห่งวิหารหลวง ยิ่งไปกว่านั้น ราธบันผู้ซึ่งเป็นผู้บัญชาการอัศวินยังปฏิบัติตัวกับอีริสอย่างมีมารยาทเสมือนว่ากำลังพูดคุยกับนักบุญหญิงตัวจริง

ทันทีที่อีริสมาถึงวิหารหลวง อีเบลลีน่ารีบมาพบนางก่อนใคร

อีเบลลีน่าเดินเข้าไปพิจารณาอีริสที่นั่งก้มหัวอยู่เงียบๆ แล้วออกคำสั่ง

“เงยหน้าขึ้น”

ได้ยินดังนั้น อีริสก็เงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นบนใบหน้าของอีเบลลีน่าก็ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน เพียะ หน้าของอีริสหันไปพร้อมกับเสียงดังกระทบ

รอยมือสีแดงถูกทิ้งไว้บนผิวสีขาว

“เจ้าพร้อมจะรับโทษที่กล้าอ้างตนเป็นนักบุญหญิงและหลอกลวงผู้คนแล้วใช่หรือไม่”

“ท่านนักบุญหญิง!”

ราธบันผู้นำตัวอีริสมาตกใจกับการกระทำของอีเบลลีน่าจนโพล่งออกไป ทว่าอีเบลลีน่าไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น นางยังคงตบหน้าอีริสต่อไป อีริสทนความเจ็บปวดไม่ไหวจึงสลบไป อีเบลลีน่ากลับยิ่งเกรี้ยวกราดมากขึ้น จนถึงขั้นเริ่มเตะอีริส

“นางนี่! นักบุญหญิงตัวจริงอย่างนั้นหรือ คิดว่าข้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าได้มาจากพวกนอกรีต!”

อีเบลลีน่าเตะเข้าที่ท้องของอีริสอย่างมิอาจระงับโทสะ เหล่านักบวชต่างก็ตกใจกับการกระทำนี้และพยายามห้ามปราม แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ความโกรธของนางมากขึ้น

“นำตัวนางไปบั่นคอเดี๋ยวนี้! โทษของการแอบอ้างว่าเป็นนักบุญหญิงจะต้องชดใช้ด้วยความตาย!

เพียงแต่ในวันนั้น อีริสไม่ตาย เป็นเพราะราธบันผู้คุมตัวอีริสมาได้เสี่ยงชีวิตขัดขืนคำสั่ง เหล่านักบวชก็สนับสนุนเขาอย่างเงียบๆ

“เซนต์อีเบลลีน่าได้โปรดใจเย็นก่อน ข้าคิดว่าควรตรวจสอบที่มาที่ไปของเรื่องนี้ก่อนจะดีกว่าขอรับ”

“แล้วจะให้ทำอย่างไรอีก! ทุกคนเอาแต่บอกว่าข้าเป็นตัวปลอม…!”

“แต่หากว่านี่เป็นวิธีของพวกลัทธินอกรีตจริงก็อาจจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกได้ ข้าจึงคิดว่าควรตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนจึงจะดีที่สุดขอรับ”

เมื่อได้ยินว่าอาจจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก สีหน้าของอีเบลลีน่าพลันบูดบึ้ง นางออกคำสั่งอย่างไม่เต็มใจ

“ได้ งั้นไว้ชีวิตนางก่อน แต่นำตัวนางไปขังไว้ที่คุกใต้ดินชั้นล่างสุดของวิหารหลวงเสีย”

คุกใต้ดินของวิหารหลวง นั่นคือสถานที่ที่ใช้คุมขังปีศาจที่เหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์จับมา เป็นสถานที่ที่กระทั่งแมลงหรือแสงแดดยังมิอาจเล็ดลอดเข้ามาได้ ทั้งยังเต็มไปด้วยความชื้นจนทำให้หายใจไม่ออก เมื่อข่าวว่าอีริสจะถูกนำไปขังไว้ที่นั่นแพร่กระจายออกไป ชาวบ้านก็แตกตื่นทันที

“ข้าเห็นกับตา ท่านอีริสใช้พลังศักดิ์สิทธิ์จริงๆ”

“ใช่ เทียบกันแล้ว… ช่วงนี้มีใครเห็นนักบุญหญิงอีเบลลีน่าใช้พลังศักดิ์สิทธิ์บ้างไหม”

ทุกคนต่างก็รู้สึกถึงความผิดปกติเมื่อได้ยินคำถาม ทุกคนล้วนเห็นพลังศักดิ์สิทธิ์ของอีริส ทว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ไม่มีผู้ใดเห็นอีเบลลีน่าใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เลย ความสงสัยกลายเป็นความมั่นใจ ไม่เพียงแต่ชาวบ้านเท่านั้น กระทั่งนักบวชของวิหารหลวงเองก็เกิดความสงสัยแล้ว

สงสัยในพลังศักดิ์สิทธิ์ของอีเบลลีน่า

สีหน้าของอีเบลลีน่าที่ได้ยินข่าวเหล่านั้นพลันเปลี่ยนเป็นซีดขาว นางลงไปยังคุกใต้ดิน อีเบลลีน่าหยิบกริชที่ซ่อนไว้ในอกออกมาและพยายามจะฆ่าอีริสที่ถูกล่ามโซ่ไว้ หากมิใช่เพราะผู้บัญชาการอัศวินราธบันแอบตามมาเพราะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ อีริสอาจตายด้วยเงื้อมมือของอีเบลลีน่าไปแล้ว

อีเบลลีน่าตะโกนลั่นหลังจากความพยายามของนางล้มเหลว

“อีนางนั่น! มันขโมยพลังศักดิ์สิทธิ์ของข้าไป! ถ้าไม่ใช่เพราะนาง พลังศักดิ์สิทธิ์ของข้าจะหายไปได้อย่างไร…!”

นักบวชที่ตามเข้ามาหลังจากได้ยินเสียงตะโกนของอีเบลลีน่าต่างก็ได้ยินคำพูดนี้ พวกเขาถามอีเบลลีน่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เป็นความจริงอย่างนั้นหรือ หมายความว่าเจ้าไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปแล้ว? ตั้งแต่เมื่อใดกัน!”

บัดนี้ เหล่านักบวชต่างก็เรียกอีเบลลีน่าว่า ‘เจ้า’ ไม่ใช่ ‘นักบุญหญิง’ อีกแล้ว เมื่อได้เห็นท่าทางเช่นนั้นอีเบลลีน่าโกรธจนตัวสั่นก่อนจะผลักนักบวชแล้วหุนหันวิ่งหนีไป อีเบลลีน่าที่วิ่งหนีออกมาจากวิหารหลวงด้วยสภาพเช่นนั้นไปขอความช่วยเหลือจากผู้คนที่นางเคยโปรดปราน ทว่ากลับไม่มีผู้ใดช่วยเหลือนางเลย

ท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านั้น ทางวิหารหลวงก็ได้จัดพิธีแต่งตั้งนักบุญหญิงคนใหม่

บัดนี้ ไม่มีนักบุญหญิงคนที่สี่สิบเก้านามว่าอีเบลลีน่าอีกต่อไป

ชื่อนั้นได้ถูกลืมเลือนและชื่อของอีริส นักบุญหญิงคนที่สี่สิบเก้า ก็โด่งดังไปทั่วแผ่นดิน

วันนี้ คือวันทำพิธีเผาอีเบลลีน่าผู้ที่ยังพยายามเอาชีวิตของอีริสแม้อยู่ในขณะหลบหนี

“ฆ่านางตัวปลอมเสีย!”

ชาวบ้านที่มามุงดูต่างก็หันไปถ่มน้ำลายใส่อีเบลลีน่าที่ยังคงเอาแต่กรีดร้องว่านางเป็นนักบุญหญิงตัวจริง แม้จะถูกมัดติดอยู่กับเสาก็ตาม

“ข้าโล่งใจจริงๆ ที่ท่านนักบุญหญิงตัวจริงปลอดภัย นี่เป็นเพราะท่านราธบันให้การคุ้มครองท่านนักบุญหญิงอีริสน่ะสิ”

“ใช่ ข้าเองก็ได้ยินมาเช่นกัน ยังว่ากันว่าองค์รัชทายาทเลออนก็ช่วยเหลือท่านนักบุญหญิงอีริสมานานแล้ว ได้ยินว่าท่านผู้นั้นนับถือในความเมตตาที่ท่านอีริสมีต่อชาวบ้านจึงได้พักแรมและให้ความช่วยเหลืออยู่ที่วิหารหลวงมาโดยตลอด”

“ยังไม่หมดแค่นั้นนะ จักรพรรดิเวทมนตร์ที่ได้ยินเพียงแค่ข่าวลือมาโดยตลอดก็มาเข้าร่วมพิธีแต่งตั้งในครั้งนี้ แล้วยังคอยคุ้มครองท่านอีริสอยู่ไม่ห่างด้วย”

ไม่นาน เหล่านักบวชและเพชฌฆาตก็ปรากฏตัวขึ้น นักบวชตรงหน้าเริ่มกล่าวถึงเรื่องชั่วร้ายที่อีเบลลีน่าเคยกระทำ เสียงเรียกร้องให้ฆ่านักบุญหญิงตัวปลอมดังกระหึ่มขึ้นมาทันที สิ้นเสียงของนักบวช ในที่สุดเพชฌฆาตก็เดินเข้าไปหาอีเบลลีน่าแล้วจุดไฟที่ฟืนใต้เท้าของนาง ไฟลุกท่วมไม้ฟืนที่ราดน้ำมันไว้อย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องว่าข้าคือนักบุญหญิงตัวจริงของอีเบลลีน่าจางหายไปท่ามกลางเปลวเพลิง

นั่นคือช่วงเวลาสุดท้ายของนักบุญหญิงตัวปลอม

***

นักบุญหญิงตัวปลอมที่เอาแต่ก่อเรื่องชั่วร้ายตายแล้ว ฉันควรจะรู้สึกยินดีและปรบมือให้กับเรื่องราวนี้ แต่ฉันกลับทำไม่ได้

อีเบลลีน่า ผู้ที่ถูกเปิดโปงว่าเป็นตัวปลอม และถูกเผาทั้งเป็นเนื่องจากความชั่วร้ายที่กระทำมา

เรื่องราวเหล่านั้นคืออนาคตที่ฉันผู้ซึ่งเข้ามาอยู่ในร่างของอีเบลลีน่าต้องพบเจอ