กลิ่นหอมของข้าว

อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมของเนื้อ

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!

ผู้ดูแลเจียงตกตะลึง อ้าปากค้างอย่างไม่อาจควบคุมได้

ลูกค้าที่ยืนอยู่ด้านข้างมองไปที่ผู้ดูแลเจียงแล้วพูดออกมาว่า “เจ้าไม่รู้หรือ เมื่อวานร้านอาหารเจวียเซ่อส่งคนไปซื้อข้าวสารกับชาวบ้าน อีกทั้งราคามันยังสูงกว่าร้านเจ้า 1 เหรียญ! ส่วนเนื้อทางร้านได้ทำข้อตกลงกับชาวบ้านที่ฆ่าหมูมาขายในตอนกลางคืน!”

“เจ้า นี่พวกเจ้า… พวกเจ้ารู้กันได้อย่างไร!” ผู้ดูแลเจียงถึงกับอ้าปากค้างอีกครั้ง

“เมื่อวานพวกเราได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาไม่เพียงแต่มาส่งสินค้าที่หน้าประตูร้าน หากแต่โต๊ะไหนที่มากินอาหารมากกว่า 4 คนทางร้านจะมอบอาหารจานใหม่ให้พวกเขาหนึ่งจาน!” ลูกค้าคนหนึ่งพูดขึ้นและก้าวเข้าไปในร้าน ก่อนจะปรายตามองผู้ดูแลเจียงด้วยสายตารังเกียจ

พลันใดผู้ดูแลเจียงก็สะดุดล้มกลิ้งลงกับพื้นและร้อง ‘โอ๊ย!’ ‘โอ๊ย!’ ออกมาอย่างเจ็บปวด

ซูหวานหว่านหัวเราะและพูดว่า “ผู้ดูแลเจียง เจ้าอยากจะเข้าไปดูในร้านของข้าไหมล่ะ?”

“ไม่!” ผู้ดูแลเจียงกำลังขบคิดเกี่ยวกับข้าวบนเกวียนวัวของตน และกำลังจะเคลื่อนเกวียนวัวออกไป แต่วัวกลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ว่าจะพยายามออกแรงลากมันเท่าใดแต่วัวกลับจะดีดขาใส่เขา จนผู้ดูแลเจียงตกใจมากและลงล้มลงไปกับพื้นอีกครั้ง ซูหวานหว่านเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างเริงร่า

“ผู้ดูแลเจียง! วัวของท่านน่านับถือมากกว่าท่านเสียอีก! พวกมันทั้งหมดรู้ว่าเมื่อครู่ท่านจะมอบข้าวสารนี้แก่ข้า แต่ท่านกลับจะลากมันหนีไป” พูดจบซูหวานหว่านก็เดินไปที่เกวียนวัว ผู้ดูแลเจียงตกตะลึงและกล่าวออกมา “เจ้าไม่สิทธิ์ที่จะเคลื่อนย้ายมันออกไป!”

เดิมทีซูหวานหว่านเองก็ไม่ได้อยากได้ข้าวสารนี้ และรู้อยู่แล้วว่าข้าวสารบนเกวียนเป็นของเสีย ผู้ดูแลเจียงลอบคิดว่าซูหวานหว่านจะอ้อนวอนขอความเมตตาจากเขาเพื่อซื้อข้าว จึงนำข้าวสารเหล่านี้มา

คนที่มีจิตใจนึกคิดเช่นนี้ จะมาแบ่งปันของกับผู้อื่นได้อย่างไร?

“ผู้ดูแลเจียง เจ้าจะตื่นตระหนกไปไย?” ซูหวานหว่านหัวเราะออกมาพร้อมดึงปิ่นปักผมบนหัว ใช้มันกรีดลงไปที่กระสอบข้าว เผยให้เมล็ดข้าวสารขึ้นราและปะปนไปด้วยมูลหนูสีดำ ส่งกลิ่นเหม็นคละคละคลุ้งไปทั่ว กลิ่นของมันทำให้ซูหวานหว่านรู้สึกทนไม่ไหว เด็กสาวยกมือขึ้นปิดจมูกและก้าวถอยหลังไป

ลูกค้าที่เดินเข้ามายังร้านเจวียเซ่อเห็นเข้าก็ตกตะลึงและยกมือขึ้นมาปิดปาก ผู้ดูแลเจียงจึงตะโกนออกมาว่า “มันไม่ใช้ข้าวของร้านข้า! นี่เป็นข้าวของร้านเจวียเซ่อ!”

เหล่าแขกที่ยืนอยู่เกิดความลังเลและสงสัย พวกเขาควรกินอาหารที่นี่ดีหรือไม่?

ซูหวานหว่านรับรู้ได้ทันท่วงทีว่าเขาต้องการเอาคืนนาง!

เด็กสาวหัวเราะเยาะออกมาและเอ่ยถาม “เจ้าแน่ใจหรือว่ามันเป็นของข้า?”

“แน่นอนอยู่แล้ว!” หากบอกว่าเป็นข้าวของร้านเขา ชื่อเสียงของร้านจะเกิดมลทิน! ผู้ดูแลเจียงส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ข้าวสารนี้มันเป็นของร้านเจ้า! เหตุใดร้านอาหารเจวียเซ่อถึงเป็นคนเช่นนี้ได้กัน!”

“เฮอะ” ซูหวานหว่านแสยะยิ้ม “หากอย่างนั้นก็…”

ผู้ดูแลเจียงเอียงคอมองดูซูหวานหว่านและคิดกับตัวเองว่าชื่อเสียงของร้านเจวียเซ่อจบสิ้นแล้ว

แล้วเขาก็เห็นซูหวานหว่านเรียกคนแถวนั้นอย่างใจเย็น และเตรียมขนข้าวสารลงจากเกวียนวัว “ข้าวสารนี้เป็นของร้านอาหารเจวียเซ่อ แต่ว่าข้าวสารนี้มาจากร้านของผู้ดูแลเจียง และเป็นเพราะว่าถูกเก็บกักตุนเอาไว้เป็นเวลานาน ข้านำมันมาเพื่อดูว่ามีใครที่นี่เลี้ยงไก่หรือไม่ หากมีผู้ใดเลี้ยงไก่ก็สามารถนำไปเป็นอาหารไก่ได้เลย”

ความคิดของซูหวานหว่านช่างวิเศษนัก! เป็นการป่าวประกาศว่าไม่ได้เอามาทำให้คนกิน แต่ยังบอกให้คนอื่น ๆ ทราบว่าพวกเขาสามารถนำข้าวสารให้แก่คนที่ต้องการเอาไปได้เลย!

ร้านอาหารเจวียเซ่อเป็นคนที่มีจิตใจงดงามนัก! เหล่าลูกค้าที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมซูหวานหว่านและเข้าไปอุดหนุนร้านอาหารของนาง

เหตุใดเขาถึงคิดไม่ถึงเรื่องนี้เลย

สีหน้าของผู้ดูแลเจียงพลันเปลี่ยนสี

ผู้ดูแลเจียงโกรธมากจนอยากจะลากเกวียนวัวออกไป แต่ซูหวานหว่านได้ให้คนงานลากเกวียนวัวไปที่สวนหลังร้านแล้ว ชายวัยกลางคนตกใจ เขาอยากจะเอ่ยห้ามแต่ถูกซูหวานหว่านขัดเสียก่อน “ผู้ดูแลเจียง เจ้าเพิ่งจะพูดไปว่านี่เป็นของร้านเจวียเซ่อ หากไม่อยากขายหน้าไปมากกว่านี้ก็รีบไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!”

ผู้ดูแลเจียงได้ยินดังนั้นจึงไม่กล้าเอ่ยทวงคืนเกวียนวัว และต้องจำใจกลับไป

เหล่าสมาชิกหอการค้าที่กำลังรอเวลา เมื่อพวกเขาได้ฟังเรื่องที่ผู้ดูแลเจียงเล่าในวันนี้และพบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาก็โกรธมากกว่าเดิม

พลันใดหนึ่งในสมาชิกของหอการค้าก็คิดอะไรบางอย่างได้ และเอ่ยถึงแผนการออกมา ทุกคนในห้องโถงก็ปรบมืออย่างเห็นด้วย

กระทั่งผ่านไปหลายวัน เมื่อซูหวานหว่านได้กักตุนข้าวสารและเนื้อสัตว์เอาไว้ที่ร้านอาหารเจวียเซ่อได้พอประมาณแล้ว เหล่าสมาชิกหอการค้าก็ไม่ได้มาก่อกวนอะไรนางอีก

ซูหวานหว่านพักอยู่บ้านของฮวงเหล่าและผู้ดูแลหลิวก็ได้ส่งคนมาถามเกี่ยวกับพริก

ซูหวานหว่านคิดว่าพริกในหมู่บ้านของนางกำลังจะแก่เต็มที่ นางควรจะกลับไปที่หมู่บ้านและแนะนำทุกคนเกี่ยวกับการเก็บเม็ดพริก นางจึงออกเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านทันที

ณ ทางเข้าหมู่บ้าน นางพบชายวัยกลางคนอายุราว 40 ปี เดินไปเดินมาพร้อมกับถือถังสองใบในมือ พร้อมกับตะโกนขายของ และเห็นหลี่ฉือโทวกำลังซื้อจากชายคนนั้นอยู่

เมื่อชายคนนั้นเห็นซูหวานหว่านก็ตะโกนออกมาว่า “นี่สาวน้อย บ้านของเจ้าปลูกพริกหรือเปล่า? เหตุใดเจ้าไม่ลองซื้อไปสักหน่อยล่ะ”

“ท่านขายอะไร?” ซูหวานหว่านเลิกคิ้วขึ้นและถามออกมา

หลี่ฉือโทวจึงกล่าวแทนชายคนนั้น “แม่นางซู ข้าจะบอกอะไรให้ฟัง คนนี้คือลุงซื่อกังที่ขายของในหมู่บ้านมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว สิ่งที่เขาขายนั้นมีราคาถูกและใช้ดีมาก ๆ! ปีก่อนข้าได้ซื้อมาใช้ใส่มันลงไปในทุ่งนา วัชพืชแปลกปลอมก็ไม่ขึ้นมาอีกเลย มันประหยัดมาก อีกทั้งยังไม่แพง ใช้ดีมาก ๆ!”

“จริงหรือ?” ซูหวานหว่านสงสัยเล็กน้อย ซื่อกังจึงเปิดถังไม้ของเขา เผยให้เห็นสิ่งของข้างในที่เป็นผงสีเทาทั้งหมด นางคิดว่ามันน่าจะเป็นส่วนผสมของขี้เถ้าพืช หากพวกชาวบ้านซื้อไปใส่ที่แปลงพริก คงไม่เป็นอันตรายอะไรและควรรดน้ำพรวนดินอยู่อย่าสม่ำเสมอมันคงจะส่งผลดีต่อต้นพริก

ซูหวานหว่านไม่ได้พูดอะไร นางกำลังจะเบือนหน้าหนี จู่ ๆ นางก็เหลือบไปมองเห็นดอกไม้ที่ตาย จึงถามด้วยความสงสัย ซึ่งซื่อกังจึงพูดออกมาอีกว่า “ดอกไม้พวกนี้ข้าขุดมันขึ้นมาเพื่อที่จะเอาไปปลูก แต่ว่าวันนี้มันคงร้อนเกินไป มันเลยเฉาตายน่ะ”

ซูหวานหว่านรู้สึกสงสัย รากของดอกไม้นั้นดูแปลกไปและมันก็เหี่ยวไปแบบผิดปกติโดยสิ้นเชิง! มันไม่เหมือนตายเอง!

เป็นไปได้หรือไม่ว่าผงนี้จะมีพิษ?

ความคิดที่น่ากลัวก็ผุดขึ้นมาในหัวของนาง ซูหวานหว่านอยากจะถามต่อแต่ชายคนนั้นก็แบกถังและพูดเสียงแหบห้าวดังขึ้นมาว่า “ตอนนี้มันเย็นแล้ว เมียของข้าป่วย ข้าจะต้องกลับบ้านและไปทำอาหารให้กับนาง พรุ่งนี้ข้าจะมาอีกนะ!”

“ตกลง! พรุ่งนี้เจ้าก็เอามาอีกเยอะ ๆ นะ!” หลี่ฉือโทวตอบออกมาและมองไปที่ชายคนนั้นอย่างมีความหวัง

ซูหวานหว่านขอแบ่งผงนี้กับหลี่ฉือโทวเพื่อนำกลับไปศึกษา แต่แม่เจิ้นกลับใช้มันผสมกับน้ำแล้วรดใส่แปลงพริกที่สวนบ้านของนาง

พอรุ่งเช้า ซูหวานหว่านเห็นว่าใบพริกที่สวนของนางนั้นเป็นสีเหลืองและนางก็รู้สึกสงสัย เมื่อเดินเข้าไปมองใกล้ ๆ กิ่งของต้นพริกนั้นกำลังเหี่ยวแห้ง

นั่นหมายความว่าต้นพริกตายแล้ว!

เมื่อวานก็ยังดี ๆ อยู่เลย!

ซูหวานหว่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและนางก็ตกใจทันที!

ผงนั้นมีพิษ หากชาวบ้านใช้ผสมกับน้ำแล้วรดมันล่ะก็…

ผลที่ตามมาคือหายนะ!

นางจะต้องลำบากอีกครั้งเพื่อจัดการเรื่องพริกที่ชาวบ้านปลูกไม่ให้ถูกทำลาย!