ตอนที่ 162 อาตมาไม่เคยมุสา (4)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

นี่มุสาชัดๆ!

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ตาวาว นางชอบคนที่มีจุดอ่อนแล้วถูกควบคุมได้ง่ายเช่นนี้

 

 

และนางชังที่สุดคือคนเช่นไป๋หลี่ชูที่เป็นบุรุษชัดๆ แต่ปลอมตัวเป็นสตรี ทั้งยังมีจิตวิตถารจนนางคาดเดาไม่ถูกและไม่รู้จะทำอย่างไร

 

 

แม้หลินชงลั่งจะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เขาก็สรุปเองได้อย่างรวดเร็วว่าพฤติกรรมของหลวงจีนจัดอยู่ในความหมายของเซน[1] ในเมื่อเป็นเซน คนธรรมดาสามัญอย่างพวกตนย่อมไม่มีวันเข้าใจ

 

 

หลินชงลั่งจึงรีบจัดแจงให้ชิวเยี่ยไป๋กับไต้ซือเมิ่งอี๋และพวกไปพักในห้องที่ดีที่สุด เช็ดหน้าเช็ดตาแล้วค่อยไปที่ห้องโถงรับรอง

 

 

ระหว่างทางไปที่พัก โจวอวี่ค่อยยังชั่วขึ้น เห็นชิวเยี่ยไป๋เดินนำหน้าตน หลวงจีนเดินตามติดๆ อยู่ข้างกาย พลันบังเกิดโทสะ หรี่ตาแค่นเสียงแล้วก้าวยาวๆ หลายก้าว กระแทกไหล่ใส่หลวงจีนอย่างแรง

 

 

“ใต้เท้า อินชวนกงผู้นั้นมีฐานะอย่างไร คนถ่อเรือแท้ๆ ทำไมพวกผีน้ำจึงให้ความเคารพอย่างสูง” เขาแค่หาหัวข้อมาพูด แล้วเขม้นใส่หลวงจีนที่เกือบคะมำด้วยสายตาดุดัน

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มิได้ห้ามปรามที่เขาถือโอกาสรังแกคนอื่น ก็ใครใช้ให้เจ้าหลวงจีนไปกระแทกโจวอวี่จนสมองเกือบพังแต่ตัวเองไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อยเล่า

 

 

นางกล่าวช้าๆ “อินชวนกงมีฐานะพิเศษมาก เมื่อเยาว์วัยเป็นศิษย์สำนักเส้าหลิน ต่อมาอยากบรรลุพลังยุทธ์ขั้นสูง จึงทำอะไรบางอย่างที่ขัดกับกฎของสำนักจึงถูกขับออกมา นับแต่นั้นเขาก็เข้าสู่เส้นทางอธรรม กลายเป็นยอดฝีมือสายอธรรม และเคยก่อคดีใหญ่หลายคดี ชื่อเสียงสะท้านไปทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรม แต่ทำอย่างไรย่อมได้ผลอย่างนั้น ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่ายกครัวเพื่อปล้นทรัพย์ ทำให้มารดาเฒ่าและทารกชายหญิงของตนเสียชีวิตทางอ้อมโดยไร้เจตนา ภรรยาที่เขารักมากจึงเป็นบ้า ลอบใส่ยาพิษร้ายแรงในสุราที่ใช้เซ่นไหว้ทารก แต่เขารอดมาได้ ส่วนภรรยาของเขาเสียชีวิตด้วยพิษร้าย”

 

 

“เขาบาดเจ็บสาหัสและหมดกำลังใจ กอปรกับมีศัตรูคู่อาฆาตมากมาย ถูกไล่ล่าหัวซุกหัวซุน บรรดาโจรอธรรมสามสิบหกสายน้ำเคยติดค้างบุญคุณเขา หัวหน้าใหญ่สมัยนั้นจึงรับเขาไว้เป็นศิษย์ แต่เขาไม่อยากรับใช้โจร จึงขอเป็นเพียงคนถ่อเรือธรรมดา บางครั้งก็ช่วยพาคนในสามสิบหกสายน้ำข้ามฟากบ้าง ส่วนมากมักเป็นคนที่ขอร้องให้เขาช่วยเหลือ เพราะถ้าได้ลงเรือของเขาก็เข้าถึงหัวหน้าใหญ่ของสามสิบหกสายน้ำได้โดยไม่ต้องผ่านด่านยิบย่อยมากมาย แน่นอนการจะโดยสารเรือของเขาต้องจ่าย ‘ค่าโดยสาร’”

 

 

โจวอวี่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ “แต่ท่านเป็นแขกที่หัวหน้าใหญ่เชิญมา เขายังกล้าลงมือต่อพวกเรา”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ยักไหล่อย่างจนใจ “นั่นเป็นความรักชอบเล็กๆ น้อยๆ ของเขา ถ้าไม่ลงเรือของเขา เกรงว่าพวกเราคงไม่อาจถึงค่ายสุ่ยเจ๋อรังใหญ่ของหัวหน้าในสองวัน”

 

 

ค่ายสุ่ยเจ๋ออาจมิใช่ค่ายใหญ่ที่สุดของไหวหนาน แต่เนื่องจากหัวหน้าหลินแห่งค่ายสุ่ยเจ๋อเป็นพี่น้องร่วมสาบานของหัวหน้าใหญ่มู่หรง หัวหน้าหลินเป็นหัวหน้าค่ายที่นี่ ย่อมไม่ยอมให้ใครผ่านกระแสใต้น้ำและกับดักอันตรายเจ็ดแปดแห่งมาถึงที่นี่โดยง่ายเป็นธรรมดา ไม่เช่นนั้นอาจถูกทางการกวาดล้างหรือถูกศัตรูคู่แค้นมาราวี ดังนั้นจึงมีแต่เรืออินชวนกงเจ้าเดียวที่สามารถนำคนผ่านกับดักอันตรายใต้น้ำได้

 

 

แน่นอน ตัวเขาเองก็เกือบถูกกับดักที่ถึงแก่ชีวิตเช่นกัน

 

 

โจวอวี่พึมพำในใจอย่างกลัดกลุ้ม

 

 

ประโยคต่อไปของชิวเยี่ยไป๋ทำให้เขาสะท้านและเกิดความสะทกสะท้อนโดยไม่ทราบสาเหตุ

 

 

“แต่ที่อินชวนกงพยายามฝึกปรือวิชาถ่อเรือ ก็มิใช่เพราะอยากเอาตัวรอด เขาเพียงหวังว่าหากพากเพียรพาคนข้ามฟากสิบปี หลังตายไปแล้วจะได้ไปรับใช้พญายม การเป็นคนถ่อเรือจะได้มีโอกาสพาวิญญาณของมารดา ภรรยา และบุตรธิดาข้ามฟากไปเกิดใหม่ จะได้ชดใช้เวรกรรมที่ตนเคยก่อไว้”

 

 

โจวอวี่ฟังแล้วก็ใจหาย สีหน้าสับสน เขานึกไม่ถึงว่าคนแก่ที่เหมือนผีตายซากนี้จะมีชีวิตที่ยอกย้อนถึงเพียงนี้ มีน้ำใจความรักถึงเพียงนี้ และน่าเศร้าถึงเพียงนี้ ช่างทำให้ผู้คน…อดทอดถอนใจมิได้

 

 

“หวังว่าเมื่อถึงเวลามารดา ภรรยา และบุตรธิดาของเขาจะมาโดยสารเรือของเขาอีก”

 

 

อีกด้านหนึ่งหลวงจีนที่ไม่รู้ว่าตามมาทันตั้งแต่เมื่อใด จู่ๆ ก็โพล่งออกมา “สรรพสิ่งล้วนลวงตา กรรมย่อมตามสนอง ผู้ที่มีบาปหนักจะต้องตกนรกหมกไหม้ชดใช้กรรม ผู้ไร้บุญญามิอาจรับใช้ปรภพ ดังนั้นอินชวนกงน่าจะไม่มีโอกาสพบครอบครัวแล้ว”

 

 

โจวอวี่กัดฟันกรอด “เมิ่งอี๋ มารดาเจ้าเถิด ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก!”

 

 

ไอ้หลวงจีนงี่เง่าคนนี้ไม่เหลือช่องให้ใครคิดดีงามเลย

 

 

หลวงจีนสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย “มารดาของอาตมาสิ้นไปหลายปีแล้ว ย่อมไม่มีชีวิตถึงตอนนี้ อมิตตาพุทธ”

 

 

โจวอวี่โกรธจนควันออกหู “ไอ้ลาโล้น ไม่ขัดคอข้าจะตายหรือไม่”

 

 

หลวงจีนมองโจวอวี่อย่างไม่เข้าใจ “อาตมาบำเพ็ญธรรมโดยมิได้โกนผม ประสกเรียกอาตมาว่าลาโล้นไม่เหมาะสม ต้องเรียกว่าลามีผมถึงจะถูก”

 

 

โจวอวี่รู้สึกเลือดขึ้นหน้า ทำอย่างไรดี เขาอยากอัด…ไอ้ลาโง่ตัวนี้จริงๆ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋อดหัวร่อคิกคักเบาๆ อย่างขบขันมิได้ จึงแตะเบาๆ ที่มือโจวอวี่เปลี่ยนเรื่องพูด “อินชวนกงฝึกฝนการหมักสุรารสดีตั้งแต่สมัยอยู่สำนักเส้าหลิน แม้ทองคำพันตำลึงก็ซื้อไม่ได้ แล้วเจ้ารู้ไหมว่าทำไมอินชวนกงจึงยอมใช้สุราหนึ่งกระปุกแลกกับห่านย่างหนึ่งตัว”

 

 

โจวอวี่รู้สึกถึงความนุ่มนิ่มของมือที่เย็นน้อยๆ แตะที่หลังมือตน ความเย็นเล็กน้อยนี้ซ่านไปทั้งกาย ดูเหมือนเพลิงโทสะจะลดทอนลงไม่น้อย

 

 

“ทำไมหรือ” โจวอวี่เปลี่ยนความสนใจ เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาแปลกใจตั้งแต่อยู่บนเรือ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถอนใจ “เพราะยาพิษนั่นไม่เพียงทำลายพลังยุทธ์ส่วนใหญ่ของเขา ที่สำคัญที่สุดคือกระเพาะของเขาถูกยาพิษทำลายไปหมด นับแต่นั้นเขาต้องกินแต่ยาเพื่อประทังชีวิต ห้ามกินธัญพืช หรือเป็ดไก่ปูปลาตลอดกาล ไม่เช่นนั้นจะเจ็บปวดจนแทบเป็นแทบตาย”

 

 

แต่ถึงอย่างไรคนก็คือคน เรื่องใหญ่ในชีวิตของคนเราก็คือการกิน การนุ่งห่ม การอยู่อาศัยและการสัญจรเท่านั้น ดังนั้นอินชวนกงจึงกระหายใคร่อยากต่ออาหารเป็นที่สุด แต่เพียงแค่บำเรอความอยากของปากและเขาก็จะให้ใครรู้จุดอ่อนนี้ไม่ได้ เพราะศัตรูของเขามีมากเกินไป คนในสามสิบหกลำน้ำย่อมมิอาจคุ้มกันเขาได้ตลอดเวลาเช่นคุ้มครองฮ่องเต้ แต่อาจารย์ของชิวเยี่ยไป๋…เซียนเฒ่าเทียนจีเป็นหนึ่งในคนส่วนน้อยที่เขาเชื่อถือ ดังนั้นชิวเยี่ยไป๋จึงรู้จุดอ่อนนี้ด้วย

 

 

โจวอวี่ผงกศีรษะเอ่ยเสียงเบาลงถามว่า “ใต้เท้า ท่านเองอยู่สำนักใดในยุทธจักรกันแน่”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ยังไม่ทันตอบ เสี่ยวชีกลับประชดว่า “ใต้เท้าบ้านข้าคือผู้นำสำนักหอซ่อนกระบี่ ในเมื่อเจ้าติดตามใต้เท้า ย่อมถือว่าเป็นคนของหอซ่อนกระบี่ จงอย่าเอาแต่กินเหล้าเคล้านารีไปวันๆ ให้สำนักของเราเสียชื่อนะ”

 

 

โจวอวี่ไม่รู้สึกโมโห เอาแต่คิดว่าสำนักหอซ่อนกระบี่อยู่ที่ใด

 

 

พวกเขาเดินถึงห้องพักสำหรับแขกอย่างรวดเร็ว ชิวเยี่ยไป๋เห็นผีน้ำนำทางสองคนเดินมา จึงไม่พูดอะไรอีก

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] เซ็น คือ นิกายหนึ่งในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน แพร่หลายในญี่ปุ่น เป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุความรู้แจ้งอย่างฉับพลัน โดยการทำสมาธิและใช้ปัญญาขบคิดปริศนาธรรม.