บทที่ 292 มหายานธรรม (2) - 2

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 292 มหายานธรรม (2)

ใต้ต้นโพธิ์ สวี่ชีอันนั่งตรงข้ามภิกษุเฒ่าและสนทนาธรรม เขาพึมพำ “เอ่อ อ่า” พยักหน้าไปด้วยและกล่าว “สิ่งที่ไต้ซือพูดมานั้น ช่างชวนให้สับสนงุนงงโดยแท้”

ขณะเดียวกันก็คิดหาวิธีผ่านด่านที่สาม

ศาสนาพุทธช่างร้ายกาจจริงๆ ด่านนี้ไม่มีโจทย์ นั่นหมายความว่าสิทธิ์ในการตีความว่าเป็นของศาสนาพุทธ พวกภิกษุจะยอมให้ตนพ่ายแพ้หรือ

คำตอบคือไม่

จะทลายแผนการนั้นได้อย่างไร หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว สวี่ชีอันก็ได้มาสองแนวทาง แนวทางแรก โน้มน้าวด้วยเหตุผล แนวทางที่สอง เล่นงานด้วยตรรกะ

ด้วยสภาพของข้าในตอนนี้ ไม่อาจชักดาบได้อีกเป็นครั้งที่สอง แม้แต่พลังปราณที่จะใช้ฟื้นตัวก็ไม่มีอีกต่อไป…ถึงจะขอพรไป ก็ไม่ช่วยทลายกำแพงกั้นนั้นได้อยู่ดี

ภิกษุเฒ่าเบื้องหน้าคือความลุ่มหลงที่พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ตัดขาดก่อนจะตรัสรู้ ดังนั้นการโน้มน้าวด้วยเหตุผลวิธีแรกนั้นอาจต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อน

วิธีที่สองจัดการด้วยตรรกะ หมายความว่าใช้ทุกวิถีทางยกเว้น ‘ทางกายภาพ’ เพื่อเล่นงานภิกษุเฒ่าให้อยู่หมัด

พอจัดการได้แล้ว ด่านนี้ก็จะผ่านฉลุย

เมื่อพูดถึงธรรมะ ข้าคงจะสู้เขาไม่ได้อย่างแน่นอน ภิกษุเฒ่าคือความลุ่มหลงของพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ไม่ใช่ระดับที่คนอย่างสามเณรจิ้งซือจะเทียบได้ มีแต่เขาที่จะปั่นหัวข้า ไม่มีทางที่ข้าจะปั่นหัวเขาได้เลย…เช่นนั้นข้าจะจัดการกับเขาอย่างไรดี

สวี่ชีอันแสร้งทำเป็นฟังเทศนา ขณะคิดหาวิธีรับมือ

“ไต้ซือ ท่านบอกว่าท่านเป็นความลุ่มหลงของพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ท่านหมายความว่าอย่างไร” สวี่ชีอันถามทันที

“ขั้นสูงสุดของพระพุทธเจ้า” ภิกษุเฒ่าตอบกลับ

ขั้นสูงสุดของพระพุทธเจ้า…เริ่มแรกก็ถกปริศนาธรรมลึกซึ้งขั้นนี้เชียว ทีแรกข้ากะว่าจะเริ่มด้วยหัวข้อด้านความลุ่มหลง แต่เห็นทีจะไม่ไหว…เดี๋ยวก่อน รอฟังเขาพูดให้จบก่อน แล้วค่อยรวมข้อมูลให้กับเกรียนคีย์บอร์ดของข้า เพื่อดูว่ามีช่องโหว่ให้จัดการหรือไม่!

สวี่ชีอันถามกลับ “ขั้นสูงสุดของพระพุทธเจ้าคืออะไรหรือขอรับ”

ภิกษุเฒ่าเงียบไปนานก่อนจะกล่าว “อาตมาไม่ทราบ แต่พระมัญชุศรีคิดว่า การเป็นพระศากยมุนีพุทธเจ้า ต้องตัดขาดจากอาตมา จากนั้นก็บังเกิดพุทธจิตดุจแก้วใส หลุดพ้นจากความมัวหมอง ก้าวสู่หนทางแห่งพระโพธิสัตว์”

เมื่อได้ยินดังนั้น สวี่ชีอันก็นิ่งเงียบ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพุทธในโลกนี้ แต่เขาก็พอมีความรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธในภพก่อนบ้างเล็กน้อย อย่างไรก็ตามพุทธศาสนาในภพก่อนต่างจากพุทธศาสนาในโลกนี้อย่างลิบลับ

ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือพุทธศาสนาในโลกนี้ไม่มีพระโคตมพุทธเจ้า มีแต่พระศากยมุนีพุทธเจ้า[1]พระองค์เดียว

“เหตุใดพระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงเป็นขั้นสูงสุดของพระพุทธเจ้าล่ะ พระพุทธเจ้าองค์อื่นไม่ใช่พระพุทธเจ้าหรือ” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว

พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็จำรายละเอียดได้ทันท่วงที ในระบบศาสนาพุทธ พระอรหันต์คือขั้นที่สอง พระโพธิสัตว์คือขั้นที่หนึ่ง ขั้นที่เหนือขึ้นไปจากนั้นก็จะเป็นพระศากยมุนีพุทธเจ้า

ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์อื่นอีกแล้ว

ภิกษุเฒ่าตอบว่า “ในศาสนาพุทธมีการบรรลุเป็นพระอรหันต์ บรรลุเป็นพระโพธิสัตว์ และบรรลุนิพพานเป็นพระพุทธเจ้าอันเป็นนิพพานสูงสุดเท่านั้น ดังนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงเป็นขั้นสูงสุดของพระพุทธเจ้า ดำรงสูงสุดแต่เพียงพระองค์เดียว พระพุทธเจ้าก็คือพระศากยมุนีพุทธเจ้า มีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น”

“พระอรหันต์และพระโพธิสัตว์ ไม่สามารถเข้าสู่นิพพานสูงสุดได้อย่างนั้นรึ” สวี่ชีอันกล่าว

ภิกษุเฒ่าเหลือบมองเขาแล้วส่ายหน้า “เจ้าไม่ใช่ชาวพุทธ ย่อมไม่เข้าใจในนิพพานเป็นธรรมดา”

สวี่ชีอันแสร้งทำท่าทีเลื่อมใส ประนมมือขึ้นมา “วอนไต้ซือโปรดชี้แนะด้วยขอรับ”

วอนไต้ซือช่วยคายข้อมูลของศาสนาพุทธให้ข้าฟรีๆ ด้วยเถิด

“ประสกรู้หรือไม่ว่าเหตุใดพระโพธิสัตว์จึงเป็นพระโพธิสัตว์ และเหตุใดพระอรหันต์จึงเป็นพระอรหันต์ ขั้นที่สี่ของศาสนาพุทธคือ ภิกษุสงฆ์ ผู้ที่อยู่ในขั้นนี้ ต้องตั้งปณิธานอย่างแรงกล้า

“ปณิธานสัมพันธ์กับการบรรลุ ผู้มีปณิธานแรงกล้าจะได้บรรลุเป็นพระโพธิสัตว์ ผู้ที่มีปณิธานน้อยก็จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ทั้งนี้การบรรลุเป็นพระอรหันต์ ก็แบ่งได้อีกเป็นสามขั้น แบ่งเป็นปราบอธรรม อนาคามี[2] และอรหันต์

“เมื่อเห็นพ้องต้องกันถึงผลการบรรลุแล้ว ก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลง หรือเลื่อนขั้นได้”

สวี่ชีอันตกตะลึงและเงียบงันอยู่นาน ข้อมูลที่ได้รับนี้มีขนาดใหญ่เกินไป ต้องใช้เวลาในการตกตะกอนอยู่หลายนาที

ที่แท้พระโพธิสัตว์และพระอรหันต์ก็ไม่เกี่ยวข้องกันโดยแก่นแท้ พวกเขาล้วนมาจากภิกษุสงฆ์ระดับสี่…เดี๋ยวนะ หลังจากขั้นที่สี่ก็เป็นขั้นที่สองไม่ก็ขั้นที่หนึ่ง แล้วขั้นสามระดับเพชรล่ะ

ขั้นที่สี่โดดข้ามขั้นที่สาม แล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์ไม่ก็พระโพธิสัตว์เลย…นี่หมายความว่าขั้นที่สามระดับเพชรเป็นของศาสนาพุทธนิกายอื่นหรือ

สวี่ชีอันเห็นแสงสว่างในจิตใจ และมีการคาดเดาที่สอดคล้องกัน จอมยุทธ์ภิกษุขั้นแปดกับระดับเพชรขั้นสาม!

บ้าเอ๊ย ระดับแปดกระโดดข้ามไประดับสามได้เลยหรือ ระบบศาสนาพุทธนั้นชักจะแปลกประหลาดเกินไปแล้ว นี่มันไม่ใช่การเลื่อนขั้นทีละขั้นเลย

สวี่ชีอันทบทวนระบบศาสนาพุทธอีกครั้ง แล้วก็ได้ค้นพบหลายสิ่งหลายอย่างในทันที

ระดับเก้าถึงระดับหนึ่งของศาสนาพุทธ จอมยุทธ์ภิกษุขั้นแปดสอดคล้องกับระดับเพชรขั้นสาม มิน่าเล่าไต้ซือเหิงหย่วนแข็งแกร่งถึงปานนั้น แต่กลับเป็นเพียงจอมยุทธ์ภิกษุเพียงขั้นแปด เพราะลำดับขั้นถัดไปต่อจากเขาก็คือระดับเพชรขั้นสามนั่นเอง

นอกจากนี้ ยังไม่น่าแปลกใจที่ขั้นที่สองของศาสนาพุทธคือพระอรหันต์ ขั้นที่หนึ่งคือพระโพธิสัตว์ ส่วนพระพุทธเจ้าเป็นลำดับเหนือขั้นสูงสุด สาเหตุที่ทำให้เป็นที่เลื่องลือเช่นนี้ ก็เพราะว่าเมื่อการบรรลุผลถูกกำหนดแล้ว จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก

ศาสนาพุทธในโลกนี้จึงไม่เหมือนภพก่อน ที่มีพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มากมาย ในโลกนี้มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวคือพระศากยมุนีพุทธเจ้า

มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวในโลก…บ้าเอ๊ย นี่มันพุทธนิกายหินยานไม่ใช่หรือ?!

ข้ารู้วิธีที่จะทลายด่านแล้ว!

สวี่ชีอันลุกขึ้นช้าๆ จ้องเขม็งไปยังภิกษุเฒ่า มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ฉีกยิ้มกว้างจนกลายเป็นหัวเราะ จากเสียงหัวเราะก็กลายเป็นการหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“ฮ่าๆๆๆ”

เขาหัวเราะจนตัวโยน ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างเสียสติและจงใจ

“เขาหัวเราะอะไรน่ะ เป็นบ้าไปแล้วหรือ”

ฝูงชนที่อยู่นอกสนามหันไปมองสวี่ชีอันที่นั่งหัวเราะราวกับคนเสียสติอยู่ใต้ต้นโพธิ์ในเขตของศาสนาพุทธอย่างงุนงง

หรือคิดจะยอมแพ้แล้วกัน…บางคนรู้สึกกังวล

คณะภิกษุขมวดคิ้วเล็กน้อย สงสัยว่าเหตุใดสวี่ชีอันจึงหัวเราะเอาเป็นเอาตายถึงเพียงนี้

ในซุ้มไม้นั้น เหล่าขุนนางบู๊บุ๋น ญาติผู้หญิง และทหารรักษาวังทั้งหมดต่างเผยสีหน้าว่างเปล่า

ผู้คนที่คุ้นเคยกับสวี่ชีอันต่างกังวลใจ กลัวว่าเขาจะถูกกระตุ้นโดยสิ่งเร้าบางอย่างจนออกอาการผิดปกติเช่นนี้

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงยืนอยู่ข้างท่านโหราจารย์งยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองสวี่ชีอันที่หัวเราะอย่างเสียสติในม้วนภาพ พระองค์ทรงขมวดคิ้วและเหลือบมองไปยังท่านโหราจารย์ เพียงเพื่อพบว่าท่านโหราจารย์นั้นหยุดดื่มและมองไปที่สวี่ชีอันด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

เว่ยเยวียนเคาะนิ้วโดยไม่รู้ตัว มองไปที่ฝอซานโดยไม่พูดอะไร

“ประสกหัวเราะสิ่งใดหรือ”

ใต้ต้นโพธิ์ ภิกษุเฒ่าถามข้อสงสัยของทุกคน

สวี่ชีอันกุมท้องและพยายามหยุดหัวเราะ ใบหน้าของเขาหยิ่งผยองและกล่าวว่า “ข้าหัวเราะเยาะความคับแคบของศาสนาพุทธ และความหน้าซื่อใจคดของพระพุทธเจ้าอย่างไรล่ะ”

บ้าไปแล้ว!

ภิกษุเฒ่าสีหน้าโกรธจัด ต้นโพธิ์พลันไหวเอนไปเองทั้งที่ไม่มีลม

นอกสนามประลอง พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ผู้ไร้ซึ่งอารมณ์ใดตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น

ขนาดตู้เอ้อร์ยังออกอาการ แล้วภิกษุรูปอื่นไม่ยิ่งออกอาการหรือ

แต่ทว่าคำพูดของสวี่ชีอันกลับดับไฟโทสะของภิกษุเฒ่าใต้ต้นโพธิ์ได้

“ไต้ซือ ท่านไม่รู้ขั้นสูงสุดของศาสนาพุทธงั้นหรือ เช่นนั้นข้าจะบอกให้!” เสียงของเขาดังก้องและทรงพลัง

ดวงตาของภิกษุเฒ่าทอประกายแสงสีทอง

“ข้าเคยคิดว่าพระพุทธธรรมช่างล้ำลึก พระอรหันต์และพระโพธิสัตว์ทั้งปวงล้วนแต่เป็นผู้มีจิตเมตตา แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าพวกนั้นเป็นเพียงคนเห็นแก่ตัว แท้ที่จริงแล้วศาสนาพุทธก็ฝึกตนกันแบบหินยาน[3]” สวี่ชีอันกล่าวดังลั่น

พุทธหินยาน?!

เป็นคำที่แปลกไม่เคยได้ยินมาก่อน นอกจากทำให้ภิกษุที่อยู่นอกสนามประลองขุ่นเคืองแล้ว ยังก่อให้เกิดความสงสัยในใจว่า ในเมื่อมีพุทธหินยานแล้ว จะมีพุทธมหายานหรือไม่

“หึ ศาสนาพุทธหินยานอะไรกัน เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นเรื่องเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมา เพื่อดูหมิ่นศาสนาพุทธของเรา”

“เป็นเพียงทหารจะเข้าใจธรรมะได้อย่างไร ซ้ำยังถือดีมาแยกมหายานกับหินยานอีก พุทโธ่พุธถัง เจ้าคนนี้บังอาจมาเหยียบย่ำศาสนาพุทธของเรา อภัยให้ไม่ได้เด็ดขาด”

แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับ คณะภิกษุต่างโกรธเคืองสวี่ชีอันเป็นฟืนเป็นไฟ

“ไต้ซือ ท่านมาจากที่ใด”

“แดนประจิม”

“เหตุใดุภิกษุสงฆ์จึงต้องปฏิบัติธรรม”

“ก็เพื่อให้บรรลุธรรม หลุดพ้นจากวัฏสงสาร”

“นี่แหละคือพุทธหินยาน ปฏิบัติธรรมเพื่อตนเองเท่านั้น ทำนองเดียวกันกับการบรรลุธรรม ที่เป็นไปเพื่อตนเอง หาใช่เพื่อผู้อื่น” สวี่ชีอันกล่าว

ภิกษุเฒ่าชะงักไป คราวนี้หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ก็ระงับโทสะลงแล้วถามต่อ “ที่ประสกกล่าวว่านี่คือพุทธหินยาน แล้วพุทธมหายานคืออะไร”

“ท่านไม่ใช่ภิกษุสมณศักดิ์สูงจากแดนประจิม ท่านคือภิกษุจากจิ่วโจว เป็นภิกษุใต้หล้าแห่งนี้ การปฏิบัติธรรมของภิกษุไม่ควรมีไว้เพื่อตนเองให้พ้นทุกข์ แต่ควรช่วยให้สรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกได้พ้นจากทุกข์ด้วย

“สี่ร้อยปีที่แล้ว เหตุใดลัทธิขงจื๊อจึงทำลายพระพุทธเจ้า สิ่งที่ถูกทำลายนั้นหาใช่พระพุทธเจ้า หากแต่เป็นศาสนาพุทธหินยาน

“ท้ายที่สุดแล้วพุทธศาสนาหินยานก็จำกัดอยู่ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม มีเพียงศาสนาพุทธมหายานเท่านั้นที่สามารถชุบชูสรรพสิ่งไว้ได้ทั้งปวง เช่นนั้นแล้วศาสนาพุทธมหายานคืออะไร”

ลมหายใจของภิกษุเฒ่าเริ่มกระชั้นถี่ ดวงตาของเขาหาได้คงความสงบเรียบเฉยไร้ความปรารถนาอีกต่อไป น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นเปี่ยมไปด้วยความสั่นไหวอย่างชัดเจน

“ศาสนาพุทธมหายานคืออะไร”

ด้านนอกสนามประลอง คณะภิกษุที่จ้องมองสวี่ชีอันก็หอบหายใจถี่ไปด้วย

“เหตุใดถึงมีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว” สวี่ชีอันตั้งคำถาม

ภิกษุทุกรูปรวมถึงภิกษุเฒ่าต่างก็ลมหายใจขาดช่วง

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ ลุกขึ้นทันทีราวกับรู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร

สวี่ชีอันหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกล่าวออกอย่างช้าๆ “สรรพสัตว์ทั้งหลายในใต้หล้าล้วนเป็นพระพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้ามากมายนับไม่ถ้วนในสามโลกสิบทิศ นี่แหละคือพุทธมหายาน เหตุใดจึงยึดมั่นว่าพระพุทธเจ้ามีพระองค์เดียวในโลกด้วย!”

ราวกับถูกสายฟ้าฟาดในวันฟ้าโปร่ง

สรรพสัตว์ทั้งหลายในใต้หล้าล้วนเป็นพระพุทธเจ้า…ภิกษุเฒ่าตกตะลึงราวกับกลายเป็นหิน

“สรรพสัตว์ทั้งหลายในใต้หล้าล้วนเป็นพระพุทธเจ้า สรรพสัตว์ทั้งหลายในใต้หล้าล้วนเป็นพระพุทธเจ้า…ศาสนาพุทธมหายาน ศาสนาพุทธมหายาน…หากเป็นศาสนาพุทธมหายาน ที่สรรพสัตว์ทั้งหลายในใต้หล้าล้วนเป็นพระพุทธเจ้า เช่นนั้นแล้วลัทธิขงจื๊อยังจะสามารถทำลายพระพุทธเจ้าได้อีกหรือไม่” ภิกษุจิ้งเฉินพึมพำกับตัวเองราวกับว่าชีวิตของตนถูกปฏิเสธ พุทธจิตถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง

“สิ่งที่ข้านับถือคือพุทธหินยาน สิ่งที่ข้านับถือคือพุทธหินยาน ฮะ ฮ่าๆๆๆ…สรรพสัตว์ทั้งหลายในใต้หล้าล้วนเป็นพระพุทธเจ้า ใช่แล้ว สรรพสัตว์ทั้งหลายในใต้หล้าล้วนเป็นพระพุทธเจ้า นี่แหละคือพุทธมหายาน…”

ทันใดนั้น ภิกษุรูปหนึ่งก็เสียสติ วิ่งเข้าหาฝูงชนอย่างคลุ้มคลั่ง จิตวิปลาสไปเสียแล้ว

พุทธจิตแหลกสลายโดยสมบูรณ์

………………………………………………………

[1] พระโคตมพุทธเจ้าและพระศากยมุณีพุทธเจ้า ล้วนเป็นนามของพระพุทธเจ้าสิทธัตถะองค์ปัจจุบัน เพียงแต่พระโคตมพุทธเจ้าเป็นนามในนิกายเถรวาท พระศากยมุณีพุทธเจ้าเป็นนามในนิกายมหายาน

[2] อนาคามี แปลว่า ผู้ไม่มาเกิดอีก หมายความว่าจะไม่กลับมาเกิดในกามาวจรภพอีก แต่จะเกิดใน พรหมโลก อีกเพียงครั้งเดียว แล้วจะบรรลุอรหันต์แล้วนิพพานบนพรหมโลกนั้น

[3] หินยาน หรือ หีนยาน เป็นคำภาษาสันสกฤตแปลตรงตัวว่า “ยานลำเล็ก” หรือ “ยานชั้นเลว” ศาสนาจารย์จีนและทิเบตดั้งเดิมนิยมแปลว่า “ยานที่เล็กกว่า” ซึ่งตรงข้ามกับมหายาน ซึ่งแปลว่า “ยานใหญ่” ในอดีตนักวิชาการใช้คำว่า หินยาน เพื่อเรียกแทนนิกายเถรวาท ที่นับถือกันในลังกา พม่า และไทย เป็นต้น ปัจจุบันเลิกใช้ไปแล้ว