อสูรคลื่นทมิฬ

 

 

 

 

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มแซ่จู้และหญิงสาวผู้งดงามพลันเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่รอบๆ พลันรู้สึกดีอกดีใจเป็นอย่างมาก 

 

 

ถึงแม้ว่าจากพลังยุทธ์ของพวกเขาต่อกรกับฝูงมดโลหิตดำแล้วจะเป็นเหมือนกับการฆ่าไก่แต่ใช้มีดฆ่าวัว แต่การทำภารกิจสำเร็จอย่างราบรื่นตั้งแต่ขั้นแรก ก็เป็นลางบอกเหตุที่ไม่เลว 

 

 

ชายหนุ่มแซ่จู้ยกมือขึ้นกวักไปทางกระถางธูป ธูปไม้จันทน์สีเขียวมรกตในกระถางธูปดับลงโดยไม่มีเค้าลางมาก่อน กลายเป็นลำแสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งร่อนลงในฝ่ามือของเขา พลิกฝ่ามืออีกครั้งก็หายวับไป แต่ทันใดนั้นลำแสงก็สว่างวาบธงสีเงินชุดหนึ่งปรากฏขึ้นแทน 

 

 

ธงทุกด้านมีความยาวแค่สองสามชุ่น ด้านบนมีอักขระสีม่วงและลวดลายอัสนีปักอยู่จำนวนมาก ให้ความรู้สึกที่ลึกลับเป็นอย่างมาก! 

 

 

“ครานี้ไม่มีมดโลหิตดำมาคุกคามแล้ว จากนี้พวกเราก็จะเข้าไปในรังของอสูรคางคกเที่ยงแท้ ธงอัสนีสวรรค์ชำระทมิฬชุดนี้จะมอบให้เหล่าสหายคนละด้ามก็แล้วกัน” ชายหนุ่มผมสีเงินกวาดสายตาไปที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า 

 

 

ทันใดนั้นหลังจากที่ทุกคนมองสบตากันแวบหนึ่งก็เหาะมาเบื้องหน้ารับธงจากมือของเขาไปคนละด้าม หนึ่งในนั้นก็มีชายชราแซ่หลี่ว์รวมอยู่ด้วย 

 

 

“เอาล่ะ นอกจากสหายจ้าวและสวินที่จะคอยดูลาดเลาอยู่ด้านนอกแล้ว คนที่เหลือก็ตามพวกเราเข้ามาเถิด” ชายหนุ่มออกคำสั่งกับชายชราคนหนึ่งและชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งเสร็จแล้วก็กลายเป็นสายรุ้งสองสายพร้อมกับหญิงงามตรงเข้าไปที่ภูเขายักษ์ 

 

 

คนอื่นๆ เองก็ไม่ลังเลควบคุมลำแสงหลีกหนีไปตามๆ กัน 

 

 

มีเพียงชายชราและชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกชื่อที่มองสบตากันแวบหนึ่งแล้วหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ร่ายอาคมร่างกายหายวับไปอีกครั้ง 

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ เองก็ตามสองสามีภรรยาแซ่จู้เข้าไปในเนินเขาผ่านถ้ำที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง 

 

 

หลังจากผ่านไปหนึ่งกาน้ำชาหานลี่และพวกก็ปรากฏตัวบนทางเดินใต้ดินที่เปียกชื้นแห่งหนึ่ง 

 

 

ในทางเดินต่างเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย กำแพงรอบด้านมีไข่มุกวารีแขวนอยู่เต็มไปหมด บนพื้นดินมีตะไคร่สีเขียวนิรนามหนาสองสามชุ่นเกาะอยู่จนทำให้พื้นลื่นเป็นอย่างมาก ทั้งทางเดินทั้งคดเคี้ยวและขรุขระและยังทอดตัวลงไปใต้ดินไม่หยุด 

 

 

โชคดีที่ทางเดินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินี้กว้างพอ จึงทำให้ทุกคนบินห่างจากพื้นไปสองสามฉื่อได้อย่างช้าๆ ไม่ถึงกับต้องลงไปเดินบนพื้น 

 

 

หานลี่มองไปด้านล่างไม่หยุด บางครั้งก็มีแมลงพิษขนาดใหญ่บินออกจากรอยแยกตรงมาหาเขา ล้วนถูกเส้นไหมสีแดงที่พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเขาทะลุผ่านร่าง แล้วกลายเป็นผุยผง 

 

 

ด้านข้างของเขานั่นคือเซียนเสี้ยวผู้นั้น 

 

 

สตรีผู้นี้มีสีหน้าระแวดระวัง รอบกายมีลำแสงสีขาวกะพริบเรืองๆ ชั้นหนึ่ง ไม่ว่าแมลงพิษชนิดใดจะบินเข้ามา ก็จะกลายเป็นผนึกแวววาวแล้วร่อนลงบนพื้นเป็นกลุ่มๆ 

 

 

ไม่ใช่แค่หานลี่และสตรีผู้นี้ ผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลือก็สำแดงความสามารถต่างๆ ออกมา สังหารแมลงพิษใดๆ ที่เข้ามาประชิดตัวเช่นกัน 

 

 

อย่ามองว่าแมลงเหล่านี้มีรูปร่างไม่สะดุดตา แต่ผู้ใดก็ไม่กล้าปล่อยให้พวกมันกัดดูสักคำ 

 

 

ถึงอย่างไรเสียสิ่งแปลกประหลาดในแดนป่าเถื่อนก็มีอยู่อย่างมากมายจนนับไม่ถ้วน ถึงแม้จะเป็นแมลงพิษที่ดูธรรมดาๆ แต่ก็อาจจะทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงคนหนึ่งติดพิษจนสิ้นชีพได้ 

 

 

เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนมุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และยิ่งไปกว่านั้นในกลุ่มก็มีคนเปิดปากคุยกันน้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายทั้งกลุ่มก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด นอกจากเสียง “ฟู่ๆ” ของแมลงพิษที่ถูกสังหารแล้ว ก็ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ อีก 

 

 

ในทางเดินไม่ถือว่ามืดมนนัก บางครั้งกำแพงรอบด้านก็มีลำแสงเรืองๆ จากหินนิรนามส่องออกมารำไร ดูคล้ายกับศิลาลำแสงจันทราที่มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรชอบใช้ 

 

 

เช่นนั้นจึงยิ่งเพิ่มความสะดวกให้พวกของหานลี่ที่กำลังตรงไปข้างหน้า 

 

 

หลังจากลงไปได้อีกชั่วครู่ หานลี่ก็หน้ากระตุก มองไปยังกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างมีเลศนัย ดูเหมือนจะพบอะไรเข้า  

 

 

แทบจะในเวลาเดียวกันชายหนุ่มผมเงินที่อยู่หน้าสุดพลันขมวดคิ้วมุ่น ฉับพลันนั้นก็หยุดร่างกายลงพร้อมกับหญิงงาม 

 

 

จากนั้นข้างหูของหานลี่และพวกก็มีเสียงถ่ายทอดเสียงของชายหนุ่มแซ่จู้ดังขึ้น 

 

 

“ทุกคนระวังหน่อย ข้าสัมผัสได้ว่าเบื้องหน้ามีอสูรแมลงสองตัวปรากฏขึ้น กลิ่นอายใกล้เคียงกับระดับเทพแปลง กำลังขวางทางพวกเราอยู่ รอบๆ อาจจะมีอสูรแมลงชนิดอื่น ข้าไม่สะดวกที่จะแผ่จิตสัมผัสออกไปตรวจสอบมากนัก จำต้องให้คนล่วงหน้าไปดูเพื่อยืนยันว่าเป็นอสูรแมลงชนิดใดกับตาแล้วค่อยว่ากัน ระวังหน่อย อย่าเพิ่งลงมือ!”  

 

 

ทุกคนพลันตะลึงงัน แต่ทันใดนั้นก็มีคนหนึ่งก้าวออกมา เอ่ยปากว่า 

 

 

“ให้ข้าน้อยไปดูเถิด ข้าน้อยไม่มีความสามารถอื่น มีแค่เคล็ดวิชาหลีกหนีที่พอมั่นใจอยู่หลายส่วน ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสจะเชื่อมั่นในตัวข้าน้อยหรือไม่” 

 

 

“หึๆ ที่แท้ก็พี่โหยวนี่เอง เคล็ดวิชาวายุหลีกหนีของสหายมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก ผู้แซ่จู้ยังอยากมีเลย” ชั่วขณะที่ชายหนุ่มผมสีเงินมองเห็นคนผู้นั้นอย่างชัดแจ้งแล้ว ใบหน้าก็ประดับไปด้วยรอยยิ้ม 

 

 

คนผู้นี้คือคนชายชราสวมงอบที่เคยเอ่ยถามในวิหารน้ำแข็งก่อนที่จะออกเดินทาง  

 

 

ชายชราได้ยินแล้วพลันหัวเราะหึๆ ชั่วขณะนั้นข้างกายพลันมีลมพายุหัดมาหอบหนึ่ง คนก็หายวับไป 

 

 

เป็นเคล็ดวิชาวายุหลีกหนีที่อัศจรรย์ดังคาด 

 

 

คนอื่นๆ เองก็หยุดรออยู่ที่เดิม คนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกสนใจอสูรแมลงที่มาขวางอยู่เบื้องหน้า 

 

 

 ผ่านไปแค่หนึ่งมื้ออาหาร ร่างของชายชราก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางสายลมอ่อนๆ ตรงตำแหน่งเดิมที่เขาหายไป หากไม่ใช่เพราะผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดกำลังจับจ้องอยู่ ก็แทบจะคิดว่าชายชราไม่ได้จากไปเลยสักนิด 

 

 

หลังจากที่ชายชรารอจนร่างกายปรากฏตัวทั้งเรือนร่างแล้ว ทันใดนั้นก็ค้อมตัวให้กับชายหนุ่มแซ่จู้และภรรยาพลางเอ่ยว่า 

 

 

“ผู้แซ่โหยวไปตรวจสอบมาแล้ว เบื้องหน้ามีอสูรคลื่นทมิฬสองตัว เกรงว่าจะรับมือยากไปหน่อย” 

 

 

“อสูรคลื่นทมิฬ!” เมื่อได้ยินคำนี้ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในทางเดินพลันเกิดเสียงอื้ออึงขึ้น 

 

 

คนจำนวนไม่น้อยเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ถึงแม้จะเป็นชายหนุ่มแซ่จู้เองก็ยังอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ 

 

 

หานลี่มีข้อมูลเกี่ยวกับอสูรคลื่นทมิฬปรากฏขึ้นในหัวทันที 

 

 

อสูรคลื่นทมิฬคืออสูรแมลงชนิดหนึ่ง อสูรชนิดนี้ไม่ได้น่ากลัวนัก แต่จุดที่ปรากฏตัวกลับยุ่งยากมาก 

 

 

เพราะว่าอสูรชนิดนี้ไม่ได้มีกำลังอื่น แต่มีความสามารถด้านเคล็ดวิชาหลีกหนีธาตุน้ำและอสนี ยิ่งไปกว่านั้นยังขี้ขลาด แค่ลมพัดก็หนีเตลิดไป สิ่งที่น่าปวดหัวยิ่งกว่าก็คืออสูรแมลงตัวนี้ยังมีอีกชื่อนามว่า ‘อสูรเสียงกลอง’ เมื่อพบศัตรู ร่างกายจะเปล่งเสียงร้องประหลาดๆ คล้ายกลองดังขึ้น น้ำเสียงดังกังวาน จนแทบจะกระจายไปในระยะสองสามร้อยลี้ 

 

 

ดังนั้นสำนักและผู้ที่มีความสามารถต่างๆ ในเผ่ามนุษย์และปีศาจจึงนำอสูรชนิดนี้มาเลี้ยงดูเพื่อใช้ระวังภัยเสียเลย 

 

 

หากไม่ทันได้สังหารมัน จะต้องทำให้อสูรแมลงอื่นๆ ในภูเขายักษ์ตกใจแน่ ถึงครานั้นจะเกิดอะไรขึ้น ก็มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ 

 

 

“ยุ่งยากเสียแล้ว! แม้นว่าข้าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา แต่ความสามารถที่ฝึกฝนมาทั้งหมดก็ไม่ได้เชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาการอำพรางตัวเลย ไม่ว่าจมูกหรือจิตสัมผัสของอสูรคลื่นทมิฬก็ไม่ธรรมดา เคล็ดวิชาหลีกหนีของพวกเราสองสามีภรรยานั้นไม่ธรรมดา มั่นใจได้ว่าจะจัดการได้ตัวหนึ่ง แต่อีกตัวนั้น จำต้องให้สหายอีกคนหนึ่งลงมือจัดการ” ชายหนุ่มแซ่จู้ขบคิดเล็กน้อย แล้วถึงได้เอ่ยกับทุกคน สุดท้ายสายตาก็ตกลงบนเรือนร่างของชายชราแซ่โหยว 

 

 

“ข้าน้อยไม่ไหวแน่ จากเคล็ดวิชาวายุหลีกหนีของตาเฒ่านั้นเข้าใกล้พวกมันนั้นไม่เป็นปัญหา แต่ผิวของอสูรคลื่นทมิฬหนามาก ความสามารถที่ข้าน้อยฝึกฝนไม่พอที่จะสังหารมัน จะเกิดความผิดพลาดเอาได้” ชายชราโบกมืออย่างต่อเนื่อง 

 

 

ชายหนุ่มผมเงินเห็นเช่นนั้น พลันหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา แล้วมองไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นปลายคนอื่นๆ  

 

 

คนเหล่านั้นพลันขมวดคิ้ว ล้วนไม่มีความมั่นใจเท่าใดนัก เรื่องที่เกี่ยวข้องกับแผนการทั้งหมดนั้น หากไม่มั่นใจเต็มเปี่ยม ผู้ใดก็ไม่กล้าตอบรับง่ายๆ และผู้ที่เชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาหลีกหนีและสังหารในคนเดียวกัน ก็หายากไปหน่อย  

 

 

ชายหนุ่มแซ่จู้เห็นเช่นนั้น สีหน้าก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น 

 

 

แผนที่วางมาหลายปี จะพังไม่เป็นท่าเพียงเพราะอสูรแมลงตัวเดียวหรือ? 

 

 

“หรือว่าไม่อาจสำแดงเคล็ดวิชาลี้ธรณีอ้อมผ่านมันไป?” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจนัก 

 

 

“หากอ้อมมันไปได้ละก็ ข้าน้อยจะปวดหัวเช่นนี้หรือ ไม่รู้ว่าภูเขาลูกนี้มีชีพจรศิลาแม่เหล็กยักษ์อยู่ตรงไหน เมื่อหลีกหนีเข้าไปในภูเขาศิลา พลังลมปราณทั้งหมดก็จะถูกมันดูดซับไป มีเพียงต้องสำแดงเคล็ดวิชาหลีกหนี จึงจะไม่เป็นไร” 

 

 

“ชีพจรศิลาแม่เหล็ก!” คนจำนวนไม่น้อยได้ยินคำนี้ ต่างสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง แล้วหน้าเปลี่ยนสี 

 

 

คนที่เอ่ยถามยิ่งมีสีหน้าดูไม่ได้เป็นพิเศษ 

 

 

“ท่านอาวุโสจู้ หากข้าน้อยจัดการอีกตัวได้ จะแบ่งโลหิตคางคกเที่ยงแท้ให้ข้าเพิ่มอีกส่วนหนึ่งหรือไม่” เสียงเฉยชาพลันดังขึ้นในเหล่าผู้บำเพ็ญเพียร 

 

 

ผู้พูดก็คือหานลี่ที่อยู่รั้งท้ายแถว หญิงสาวหน้าตาหมดจดที่อยู่ด้านข้างได้ยิน พลันรู้สึกตะลึงงัน 

 

 

“อันใด สหายหานมั่นใจว่าจะจัดการอสูรตัวนี้ได้หรือ? หากทำได้ละก็ แบ่งโลหิตคางคกเที่ยงแท้เพิ่มให้สหายอีกส่วนหนึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่หากล้มเหลวละก็…” ชายหนุ่มแซ่จู้เห็นหานลี่ก็รู้สึกประหลาดใจ แล้วตอบกลับด้วยความคลางแคลงใจเล็กน้อย 

 

 

เห็นได้ชัดว่าเขายังดูถูกที่หานลี่เป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นกลางคนหนึ่ง 

 

 

“หึๆ ท่านอาวุโปรดวางใจ หากข้าน้อยทำพลาด ทำให้ส่วนใดเสียหาย ข้าน้อยยินดีจะชดใช้” หานลี่หัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา 

 

 

“ดูท่าสหายหานคงมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก เยี่ยม อสูรแมลงอีกตัวก็มอบให้สหายก็แล้วกัน” ชายหนุ่มแซ่จู้นั้นเป็นผู้ที่ตัดสินใจเด็ดขาด แค่ขบคิดเล็กน้อยก็พยักหน้าตอบตกลงจริงๆ  

 

 

กลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่เริ่มซุบซิบนินทา พิจารณาหานลี่ด้วยสีหน้าแตกต่างกันไม่หยุด บางคนถึงกับปกปิดสีหน้าระแวงออกมาอย่างปิดไม่มิด 

 

 

“ทว่าเพื่อเป็นการป้องกัน สหายโหยว ท่านเคยอำพรางกายมาแล้ว คอยช่วยสหายหานอยู่ด้านข้างก็แล้วกัน!” ชายหนุ่มแซ่จู้เปลี่ยนน้ำเสียง หันไปเอ่ยกับชายชราสวมงอบ 

 

 

“ขอรับ เรื่องนี้มอบให้ตาเฒ่าเถิด” ครั้งนี้ตาเฒ่ากลับตอบตกลง 

 

 

ดังนั้นจากนี้ชายหนุ่มแซ่จู้ก็ขยับมุมปากถ่ายทอดเสียงอะไรสักอย่างไปหาหญิงงาม สองมือของหญิงงามผู้นั้นพลันร่ายอาคม ฉับพลันนั้นผิวก็มีลำแสงสีแดงปรากฏขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากที่เดิม 

 

 

ส่วนหานลี่กลับควักยันต์สีม่วงออกมาตบไปที่บนร่าง ชั่วขณะนั้นอักขระสีเงินพลันลอยหมุนวนแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน 

 

 

ชายชราพลันสำแดงเคล็ดวิชาวายุหลีกหนีพุ่งตรงไป 

 

 

ภายใต้การนำทางของชายชรา หานลี่และหญิงงามตรงไปได้แค่ชั่วครู่ก็มาถึงที่หมาย 

 

 

เบื้องหน้าเป็นทางเดินกว้างๆ แมลงตัวอ้วนสีขาวสองตัวกำลังเกาะอยู่บนกำแพงหินด้านหนึ่ง กำลังกัดแทะตะไคร่สีเขียวนิรนามชนิดหนึ่ง