เล่ม 1 เล่มที่ 1 ตอนที่ 11 ความลับสวนหลังจวนถูกเปิดเผย

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ห้องมืดในจวนโยวอ๋อง ซูเมิ่งเหยายังคงสลบไสลไม่ได้สติและถูกขังไว้อย่างนั้นทั้งคืน

        กระทั่งเมื่อท้องฟ้าเริ่มขาวราวท้องปลา [1] เมื่อเยี่ยโยวเหยาเปิดประตูแล้วเดินออกมาได้ยินคำรายงานขององครักษ์เงา จึงออกคำสั่งให้พาซูเมิ่งเหยาไปที่เรือนชิงโยว

        บรรยากาศในตำหนักฝูอวิ๋นทั้งหดหู่และแปลกประหลาด จนแทบจะต้องหยุดหายใจ เยี่ยโยวเหยาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีหยกดำ ผมยาวสลวย นั่งสงบเงียบอยู่บนบัลลังก์สูง ลูบหยกกิเลนในมือของตนอย่างแผ่วเบา

        รูปลักษณ์ที่สง่างามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในโลกใบนี้ ทว่ากลับมืดมนน่าสะพรึงกลัวอีกทั้งเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ทำให้ตำหนักมีบรรยากาศมืดทึมน่ากลัวและเงียบสงบอย่างน่าประหลาดโดยไม่มีสาเหตุ

        ซูเมิ่งเหยาคุกเข่าลงบนพื้นด้านล่างตรงขั้นบันไดระดับยศอย่างเงียบๆ ภายในใจของนางลิงโลดอย่างดีอกดีใจเพราะเดิมทีไม่เคยได้อยู่ใกล้เยี่ยโยวเหยามาก่อน ทว่าในบรรยากาศเช่นนี้ขนทั้งแขนและขากลับตั้งชูชันด้วยความหวาดกลัว

        ความรู้สึกภายในใจทั้งสองกำลังขัดแย้งกันอย่างยุ่งเหยิง นางไม่มีทางทราบได้เลยว่าเยี่ยโยวเหยาสั่งให้คนพานางมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด

        หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เยี่ยโยวเหยาก็พูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม

        “หยกก้อนนี้เป็นของเจ้า? ”

        เสียงของท่านอ๋องผู้นี้ราวกับด้ายสีแดงที่พันรอบตัวนาง ภายในใจของซูเมิ่งเหยาสั่นสะท้านอย่างหนักหน่วงทันที

        ทว่าไม่ว่านางจะสงบใจอย่างไรก็ไม่อาจยับยั้งจังหวะการเต้นของหัวใจให้คงที่ได้ ยากเหลือเกินที่จะควบคุมความรู้สึกจังหวะตึกตักในอก ชั่วพริบตาเดียวแก้มของนางก็แดงระเรื่อขึ้นทันที สมองของนางไม่สามารถแยกแยะว่าตนเองเอ่ยสิ่งใดออกไป

        “เพคะ! ”

        รูม่านตาของเยี่ยโยวเหยาเบิกกว้างขึ้นทันที บีบจี้หยกในมืออย่างแรง รัศมีโกรธเกรี้ยวในกายรุนแรงขึ้น แม้แต่เงามืดที่ประตูก็สั่นสะท้านด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาดที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน

        “เจ้าจำได้หรือไม่ว่าเมื่อสามวันก่อนเจ้ากระทำเรื่องอันใดไว้ที่สวนหลังจวนสกุลซู? ”

        ซูเมิ่งเหยาไม่ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นใต้ต้นดอกเหมยที่เยี่ยโยวเหยาถามนั่น นางนึกเพียงว่าที่เขาถามคือเรื่องที่ตนเองเก็บเข็มขัดหยกของเยี่ยโยวเหยาได้  แก้มของซูเมิ่งเหยาก็เห่อร้อนขึ้นอย่างฉับพลัน ก้มศีรษะลง มือก็กำเข็มขัดหยกที่แขนเสื้อไว้แน่น

        “เมิ่งเหยา… เมิ่งเหยาจำได้เพคะ… ”

        เยี่ยโยวเหยาโกรธขึ้นมาในทันที “ปัง! ” พนักแขนที่แกะสลักด้วยไม้เนื้อทองหนานมู่ถูกบดขยี้เป็นชิ้นๆ ขี้เลื่อยและเศษไม้ปลิวว่อนเพราะความโกรธของเขา

        ซูเมิ่งเหยาตกใจตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมองสบกับบุคคลที่นั่งอยู่สูงเหนือหัวอย่างไม่เข้าใจเหตุผล

        เมื่อมองขึ้นไปครานี้ ชั่วพริบตาเดียวใบหน้าของซูเมิ่งเหยาก็ซีดเซียวลงในทันที นางถูกใบหน้าที่ถมึงทึงของเยี่ยโยวเหยาทำให้รู้สึกราวกับว่าเขาจะฉุดนางให้ลงไปในนรกโลกันตร์ใต้พิภพชั้นเก้าที่เงียบสงัด นางกลัวจนทรุดตัวลงกับพื้น

        “ลากออกไปฆ่า แล้วหั่นมันเป็นหมื่นๆ ชิ้น! ”

        ยิ่งนึกถึงเรื่องวันนั้นที่เกิดขึ้นใต้ต้นดอกเหมยหลังสวนจวนสกุลซู เยี่ยโยวเหยาผู้ซึ่งเดิมทีเกลียดชังสตรีมาก เขาแทบจะหักกระดูกของซูเมิ่งเหยาออกเป็นท่อนๆ แม้จะหั่นศพออกเป็นหมื่นๆ ชิ้นก็ล้วนไม่อาจบรรเทาความเกลียดชังของเขาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเขาจะชายตามองซูเมิ่งเหยาแม้แต่น้อย

        เหล่าองครักษ์ที่มีฝีมือต่างทราบดีว่า ท่านอ๋องของพวกเขาในยามนี้อารมณ์ไม่คงที่เท่าไรนักจึงไม่กล้าทำอะไรล่าช้า ทุกคนรีบคุมตัวซูเมิ่งเหยาผ่านประตูออกไปทันที

        ซูเมิ่งเหยาที่ยังเรียกสติจากความรู้สึกชื่นชมยินดีที่ได้เห็นเยี่ยโยวเหยากลับมาไม่ได้ ยิ่งไม่เข้าใจว่าเยี่ยโยวเหยาที่ ‘เปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตาเดียว’ เช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร ทว่ามีหนึ่งประโยคที่ได้ยินอย่างชัดเจนนั่นก็คือ เยี่ยโยวเหยาสั่งให้หั่นนางเป็นหมื่นๆ ชิ้น

        หั่นเป็นหมื่นชิ้น!

        นั่นเป็นโทษอาญาที่โหดร้ายที่สุดในเวลานี้ ชำแหละคนออกเป็นหมื่นๆ ชิ้น โดยที่เหยื่อไม่สามารถตายได้ในทันที เหยื่อจะถูกปล่อยให้ทรมานจนกว่าการเฉือนครั้งสุดท้ายจะเสร็จสิ้นจึงจะสิ้นลมหายใจ

        ในใจซูเมิ่งเหยารู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก นางดิ้นรนอย่างหนัก “ท่านอ๋อง เหตุใดกัน เมิ่งเหยาทำอันใดผิดกันแน่ ทำไมกัน? ”

        เยี่ยโยวเหยานั่งอยู่ข้างบนช่างไร้ความรู้สึก ความโกรธทั่วร่างไม่ลดน้อยลงแม้เพียงนิด

        เมื่อซูเมิ่งเหยากำลังจะถูกนำตัวออกจากประตูตำหนักฝูอวิ๋น ไม่ทราบว่านางเอาความกล้าหาญมาจากที่ใด นางตะโกนกลับไปอย่างสิ้นหวัง “เยี่ยโยวเหยา เหตุใดกัน เหตุใดท่านถึงต้องการซูจิ่นซีโง่เง่านั่น เหตุใดไม่เป็นข้าซูเมิ่งเหยาผู้นี้ ข้ามีตรงไหนที่สู้ซูจิ่นซีไม่ได้หรือ? ทำไมกันเล่า”

        เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วทันที ในเวลาเดียวกันก็จับใจความสำคัญที่สุดในคำพูดของซูเมิ่งเหยาได้อย่างว่องไว

        เยี่ยโยวเหยายกมือสั่งให้องครักษ์พาซูเมิ่งเหยากลับเข้ามาอีกครั้ง

        “เจ้าพูดว่ากระไร? ”

        ซูเมิ่งเหยานึกว่าคำพูดของนางสามารถกระตุ้นเยี่ยโยวเหยาได้สำเร็จ จึงเงยหน้าขึ้นและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง นางหัวเราะจนน้ำตาไหลลงมาจากหางตา

        “ไม่ใช่ว่าท่านอ๋องนอนกับหญิงชั่วซูจิ่นซีแล้วหารู้ไม่ว่าหญิงชั่วนั่นเป็นคนโง่เง่าหรือ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ”

        บ่าวรับใช้และองครักษ์ในตำหนักฝูอวิ๋นต่างก็ตกตะลึงอ้าปากค้างในคำพูดของซูเมิ่งเหยา

        สวรรค์!

        ไม่ใช่หรอกกระมัง?

        โยวอ๋องที่ไม่ชอบเข้าใกล้สตรีและมักจะเฉยเมยไม่แยแสกับสิ่งที่ตนเองไม่สนใจ… คาดไม่ถึง… คาดไม่ถึงว่าจะร่วมหลับนอนกับสตรีได้?

        นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นหรอกหรือ?

        ทว่าไม่นานพวกเขาก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ

        ดวงตาที่โกรธเกรี้ยวของเยี่ยโยวเหยาไม่เพียงแค่โกรธอีกต่อไป ทว่ากลับแสดงความคลุ้มคลั่งออกมา ดวงตาแดงฉานด้วยความโกรธาเสมือนว่าจะสามารถพ่นไฟออกมาได้อย่างไรอย่างนั้น ไม่ทันตั้งตัวซูเมิ่งเหยาก็ถูกบีบเข้าที่ลำคอ

        “เจ้าพูดว่ากระไรนะ? ”

        ซูเมิ่งเหยาคิดว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ทราบมาก่อนว่าแท้จริงแล้วซูจิ่นซีเป็นคนโง่เง่า นางคิดว่าที่เยี่ยโยวเหยาโกรธมากถึงเพียงนี้เพราะเพิ่งรู้สถานะของซูจิ่นซี ทันใดนั้นความภาคภูมิใจก็ผุดขึ้นในใจของนาง ซูเมิ่งเหยาคิดจะกระตุ้นความโกรธของเยี่ยโยวเหยาต่อไป

        “ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะไม่ทราบจริงๆ สินะเพคะ วันนั้นที่เมิ่งเหยาเก็บเข็มขัดหยกของท่านได้ ข้าบังเอิญเห็นท่านอ๋องกับเจ้าโง่ซูจิ่นซีนั่นอยู่ใต้ต้นดอกเหมยในสวนหลังจวนสกุลซูทำอะไรบางอย่างอยู่ หรือว่าท่านอ๋องลืมแล้วหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนพบกางเกงเปื้อนเลือดอยู่ใต้เตียงของซูจิ่นซีอีก! นางเป็นคนโง่ ไม่เพียงเท่านั้นนางยังเป็นคนโง่ที่ถูกพิษบนใบหน้าจนเสียโฉม นางเป็นคนที่แม้แต่ขอทานพบเจอยังพากันขยะแขยง รังเกียจเดียดฉันท์ ท่านอ๋อง ท่านถูกนางหลอกแล้วเพคะ! ”

        ในเมื่อทำให้โยวอ๋องรักไม่ได้ นางก็จะกระชากหน้ากากหญิงในใจของเยี่ยโยวเหยาให้ขาดสิ้น บางทีไม่แน่ว่าท่านอ๋องจะหันกลับมารักนางบ้าง

        ซูเมิ่งเหยาพูดไปด้วยความสาแก่ใจ ทว่าไม่ทราบว่าเหตุใดบางสิ่งในหัวใจของนางจึงได้รู้สึกเจ็บชํ้าจนน้ำตาไหลอาบใบหน้าได้เพียงนี้

        เดิมทีเยี่ยโยวเหยาไม่ได้ฟังคำพูดทั้งหมดของซูเมิ่งเหยาที่พูดถึงซูจิ่นซีว่าเป็นคนโง่เขลา เขาเพียงเลือกฟังเฉพาะข้อมูลที่ตนเองต้องการเท่านั้น

        วันนั้นผู้ที่ทำ ‘มิดีมิร้าย’ ตนใต้ต้นดอกเหมยหลังจวนสกุลซูนั่นก็คือซูจิ่นซี!

        ด้วยความโกรธ เยี่ยโยวเหยาบีบคอของซูเมิ่งเหยาจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น ทันใดนั้นก็เหวี่ยงซูเมิ่งเหยาออกไปชนกับกำแพงจนร่างของนางกระแทกลงกับพื้น ไม่อาจทราบได้ว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว เพราะร่างของนางไม่ขยับแม้แต่น้อย

        องครักษ์เงาที่พาซูเมิ่งเหยามาก่อนหน้านี้ ได้ตระหนักถึงความผิดพลาดในการกระทำของตน ทันใดนั้นก็คุกเข่าลงบนพื้น “ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยทำภารกิจไม่สำเร็จ สมควรรับโทษ! ”

        ความโกรธของเยี่ยโยวเหยายังคงไม่ลดลง เยี่ยโยวเหยารู้สึกว่าชื่อซูจิ่นซีนี้ค่อนข้างคุ้นเคย ราวกับว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ใดสักแห่ง

        “ซูจิ่นซีผู้นี้เป็นผู้ใดกัน? ”

        “รายงานท่านอ๋อง นางเป็นบุตรสาวคนที่เจ็ดของสกุลซู และยังเป็นผู้ที่ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้กับท่านอ๋อง และในวันนี้ก็มีกำหนดการแต่งตั้งนางเป็นพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

        ฝ่าบาทพระราชทานซูจิ่นซีให้กับท่านอ๋อง และวันนี้ต้องดำเนินการอภิเษกสมรสให้แล้วเสร็จ เนื่องจากราชโองการมีมาตั้งแต่สามวันก่อนแล้ว

        ทว่าในความเป็นจริง ท่านอ๋องไม่เพียงจำเรื่องนี้ไม่ได้เท่านั้น กระทั่งชื่อของพระชายาคนใหม่ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าพระชายาผู้นี้เป็นสตรีมือสองที่ไท่จื่อไม่ต้องการ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเกิดมาเป็นคนโง่เขลาและน่ารังเกียจอีกด้วย

        เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้ แท้จริงแล้วองครักษ์เงาไม่กล้าที่จะเอ่ยเล่าให้เยี่ยโยวเหยาฟัง

        เพียงแต่ว่าถึงแม้รวบรวมความกล้าไม่กลัวตายได้ องครักษ์เงาก็ไม่มีเวลาทันได้เล่า

        ทันทีที่องครักษ์เงาพูดจบก็เห็นเพียงแสงวาบผ่านนัยน์ตาของเยี่ยโยวเหยาในชั่วพริบตา ไม่อาจทราบได้ว่าความคิดในตอนนั้นส่องกระทบไปยังที่ใด

        ไม่แน่ว่า… อาจส่องไปถึงซูจิ่นซี ณ จวนสกุลซูแล้วกระมัง?

……