ในชานเมืองอวี๋หยางของรัฐเยียนมีพื้นที่ว่างขนาดสามสิบหมู่ที่แทบจะแยกตัวออกมาอย่างโดดเดี่ยวระหว่างเนินเขาเขียวชอุ่ม ลำธารหกสายไหลคดเคี้ยวจากภูเขาลึก เมื่อผ่านพื้นที่ราบนี้ก็ถูกผู้คนขุดเป็นแควสายเล็กอีกจำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับตาข่ายครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกสิบเจ็ดสิบแปดหมู่ทางตอนใต้ นอกจากที่นี่มีอาหารแล้วยังมีผลไม้และลูกท้อต่างๆ อีกด้านหนึ่งมีทุ่งหญ้ารอบล้อม สัตว์ส่วนใหญ่ที่ถูกเลี้ยงอยู่ในนั้นคือม้า
กลางทุ่งหญ้าและสวนผลไม้ มีคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่สร้างจากหิน ในทุ่งนามีผู้ชายแข็งแรงในชุดเรียบง่ายกำลังทำงานอยู่ ควันลอยคลุ้งอยู่กลางคฤหาสน์ ชายชรากำลังอาบแดดยามเช้าตรู่บนหลังคาพลางดูเด็กผมเปียที่กำลังเล่นซน
ลานนี้ใหญ่ที่สุดในคฤหาสน์ แสงอาทิตย์อบอุ่นหลอมละลายกับยามเช้าของฤดูร้อน มันรั่วไหลผ่านกิ่งใบเขียวชอุ่มบนชั้นวางองุ่นก่อให้เกิดแสงเป็นจุดๆ บนพื้น
ซ่งชูอีหยิบตะกร้าองุ่นแช่น้ำแล้วล้างอย่างพิถีพิถัน เว่ยเต้าจื่อเป็นคนมอบพืชชนิดนี้ให้นาง ผลที่ออกมามีรสเปรี้ยวหวานกลมกล่อม มีรสชาติเข้มข้นกว่าลูกสาลี่ แต่ว่าของสิ่งนี้จัดเก็บได้ยาก ดังนั้นในคฤหาสน์จึงเปิดพื้นที่เพียงหนึ่งหมู่สำหรับการเพาะปลูกเท่านั้น ทุกครั้งเมื่อถึงฤดูร้อน ทั้งหมู่บ้านร้อยกว่าชีวิตก็จะมาเที่ยวเล่นและกินกัน
ซ่งชูอีคิดว่าหากไม่ใช้ประโยชน์ของอาหารอร่อยเช่นนี้ก็จะสูญเปล่า ดังนั้นเมื่อปีกลายจึงพิจารณาที่จะใช้มันบ่มสุรา
ซ่งชูอีเป็นคนสร้างคฤหาสน์หลังนี้ ผู้อยู่อาศัยทั้งหมดที่อยู่ข้างในถูกนางและเจ้าอี่โหลวรับมาอยู่ด้วยระหว่างการเดินทาง
นอกจากคนในคฤหาสน์จะทำการเกษตรแบบพอเพียงแล้ว พวกเขายังสามารถจัดหาสุรารสเลิศให้สกุลฉือได้ นอกจากนี้ยังมีทุ่งปศุสัตว์อีกแห่งที่ตั้งขึ้นโดยเจ้าอี่โหลว
หลังจากที่ซ่งชูอีค้นค้นสูตรสุราใหม่และจนได้ลองชิมแล้วก็เริ่มบ่มในปริมาณน้อยๆ ก่อน หากประสบความสำเร็จปีหน้าค่อยเพิ่มปริมาณ
นางเชี่ยวชาญด้านการบ่มสุรา บัดนี้ได้ลองมาหลายวิธีแล้วและได้ทำลายองุ่นเยอะมากก่อนที่จะเห็นผล นางมอบสุราของปีที่แล้วให้ชาวบ้านและพ่อบ้านของสกุลฉือที่มารับสุราได้ดื่มซึ่งต่างคิดว่ามันไม่เลว อย่างไรก็ดีนางกลับคิดว่าแม้รสชาติพอไปวัดไปวาได้แต่ยังห่างไกลจกคำว่ารสเลิศนัก ไม่สามารถเปรียบเทียบได้แม้แต่กับสุราสนของสกุลฉือที่ยังไม่สุกดีในตอนแรก
“ในฐานะอาจารย์ ไม่ควรสอนข้าให้รู้หนังสือหรอกหรือ?” หลิงหยานั่งยองๆ อย่างคล่องแคล่ว เผยขาขาวเนียนอ่อนนุ่มตรงหน้าซ่งชูอี หยิบองุ่นลูกหนึ่งเข้าปาก มันเปรี้ยวจนเขาแสยะฟัน
เมื่อซ่งชูอีเห็นเขาเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะหยิบองุ่นสีม่วงครึ่งลูกใส่ปากพลางกัดฟัน “เลิกเสแสร้งได้แล้ว เจ้าไม่รู้กระมังว่าในใจเจ้ามีความสุขเพียงใด”
หลิงหยาลุกขึ้นนั่งลงบนที่นั่งตรงข้าม ยกขาขึ้นมาพร้อมถอนหายใจเอ่ย “ครั้งนี้ข้ามิได้เสแสร้ง ไป๋เริ่นออกจากบ้านไปแล้ว ไม่มีใครต้อนแกะในทุ่งหญ้า อาจาย์รองกดให้ข้าทำงานหนักเป็นเวลาหลายวัน สู้ข้าเรียนอ่านหนังสือยังจะดีเสียกว่า”
“อืม ข้าเห็นใจเจ้า” ซ่งชูอีใส่องุ่นที่ล้างแล้วลงในโถเครื่องปั้นดินเผา กดน้ำผลไม้ด้วยสากไม้ ขาของหลิงหยาที่อยู่ตรงข้ามแกว่งไปแก่งมา นางพูดอย่างหมดความอดทน “ไปเล่นที่อื่น ไม่เห็นรึว่าข้ากำลังยุ่ง”
“อาจารย์ ช่วยข้าด้วย” หลิงหยาพูดด้วยความจริงจัง
ซ่งชูอีหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง หันไปเห็นเจ้าอี่โหลวเลิกเถาวัลย์ออกและเดินเข้าไปที่ช่องเก็บองุ่น “หยา ไปเถิด”
“วันนี้อาจารย์ให้ข้าท่องจำยุทธพิชัยซุนจื่อ ข้าจะพยายามอย่างหนักเพื่อเป็นกุนซือให้ได้!” หลิงหยากำมือน้อยๆ พร้อมทำแก้มป่อง ราวกับกำลังจะสู้ตาย
เจ้าอี่โหลวมองซ่งชูอี พยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ก็ได้” ก่อนที่หลิงหยาจะมีความสุขเขากล่าวเสริมทันที “เช่นนั้นก็เอาตำราไปต้อนแกะด้วยเถิด”
ซ่งชูอียิ้มเอ่ยชั่วร้าย “ใช่ๆๆ โดยส่วนตัวข้าคิดว่าการต้อนแกะไม่ได้ขัดแย้งกับศิลปะแห่งสงครามเลย ข้าจะทดสอบเจ้าก่อนอาหารเย็น ถ้าเจ้าจำไม่ได้ก็อย่าโทษว่าข้าเป็นคนโหดร้ายแล้วกัน”
“งือๆ! ชีวิตข้าอาภัพนัก! ท่านกล่าวว่ามีหญ้าทุกหนทุกแห่งจำเป็นต้องส่งคนไปต้อนแกะด้วยหรือ? อาจารย์ลุงใหญ่กับอาจารย์รองก็มีแต่รังแกข้า” หลิงหยาคร่ำครวญและเช็ดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงด้วยแขนเสื้อ
เจ้าอี่โหลวไม่พูดเรื่องไร้สาระ มือข้างหนึ่งหนีบหลิงหยาไว้ใต้รักแร้ เสียงร้องของเขาหนักหน่วงกว่าเดิม
“วันนี้ศิษย์พี่ใหญ่จะมา เจ้าให้หนิงยาไปเก็บกวาดห้องเถิด” เจ้าอี่โหลวกล่าว
เสียงของหลิงหยาหยุดลงทันทีและกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์พี่ใหญ่จะมาหรือ!”
ซ่งชูอีใช้สากไม้เคาะศีรษะของเขาเบาๆ “นั่นคืออาจารย์ลุงใหญ่ของเจ้า! ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกส่งเดช!”
“แต่ว่าทั้งหมู่บ้านต่างเรียกเขาว่าศิษย์พี่ใหญ่ แม้แต่พี่เลี้ยงเด็กที่ทางเข้าหมู่บ้านก็เรียกเขาว่าศิษย์พี่ใหญ่ ข้าไม่ใช่คนที่อายุน้อยที่สุดเสียหน่อย!” หลิงหยาตัดพ้ออย่างไม่พอใจ
“อายุน้อยที่สุดแล้วไม่ดีตรงไหน เจ้ากี้เจ้าการเหลือเกิน” ซ่งชูอีเอ่ย
เจ้าอี่โหลวยังคงหนีบหลิงหยาไปที่ทุ่งเลี้ยงสัตว์
ในความเป็นจริงไม่ใช่ว่าไม่มีคนเลี้ยงแกะ เจ้าอี่โหลวเพียงแค่อยากฝึกกำลังกายของหลิงหยาเท่านั้น
หลิงหยาเป็นเด็กที่พวกเขาเก็บขึ้นมาใต้หน้าผาขณะเดินทาง ในเวลานั้นมีศพหลายสิบศพอยู่ใต้หน้าผาและหลิงหยาเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต
ในกองศพนั้น มีแปดศพถูกเปลื้องผ้าและแขวนอยู่บนต้นไม้ใต้หน้าผา บนตัวพวกเขาไร้บาดแผล ทว่าศพที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่ยกลับถูกสังหารด้วยอาวุธ เลือดไหลเป็นแม่น้ำ ซ่งชูอีคาดเดาว่าขุนนางชั้นผู้น้อยได้พบกับพวกโจรเข้า พวกโจรเหล่านั้นกลัวว่าจะทำให้เสื้อผ้าราคาแพงของพวกเขาสกปรก จึงเลือกที่จะฆ่าโดยไม่เห็นเลือด
ตอนนั้น หลิงหยาถูกปกคลุมไปด้วยเลือดผสมในกองชิ้นส่วนร่างกาย ใส่ชุดผ้าป่านธรรมดา ทั้งยังป่วยมาหลายวันแล้ว หลังจากที่เขาได้รับการช่วยเหลือ สุขภาพของเขาก็ย่ำแย่มาก และจะป่วยหลายครั้งทุกๆ ฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง
ซ่งชูอีเองถูกเจ้าอี่โหลวพาไปฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกๆ สองสามวัน ร่างกายดีขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงสนับสนุนให้เขาแกล้งหลิงหยา ทั้งยังเพลิดเพลินไปกับการดูเรื่องสนุกๆ
พลบค่ำ ซ่งชูอีได้ยินเสียงหัวเราะของหญิงสาวเหมือนกระดิ่งสีเงินมาจากในลาน คิดในใจว่าศิษย์พี่ใหญ่มาแล้ว
เมื่อนางเดินไปที่ประตูก็เห็นเว่ยเต้าจื่อที่ถูกรายล้อมไปด้วยเด็กผู้หญิง
ซ่งชูอีสอดมือไว้ในแขนเสื้อ หัวเราะเอ่ย “ศิษย์พี่ใหญ่ยังคงมีเสน่ห์เช่นเคย!”
เว่ยเต้าจื่อเห็นนางแล้วก็หัวเราะเสียงดัง “ไม่เท่าไรๆ”
“นายท่าน” สาวๆ โค้งคำนับแสดงความเคารพ จู่ๆ ก็ต่างเขินอายและสงวนท่าที
ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ ให้พวกนาง จากนั้นก็เดินเข้าไปในลานพร้อมเว่ยเต้าจื่อ
เว่ยเต้าจื่อร้องจุ๊ๆ ด้วยความประหลาดใจ “หวยจิน เด็กสาวเหล่านี้หวงเนื้อหวงตัวเพื่อเจ้าเชียวนะ!”
ยุคสงครามนี้ ชายหน้าตาดีเป็นที่นิยมมากแต่ผู้หญิงเกือบทั้งหมดเลือกคู่ครองตามความกล้าหาญหรือความสามารถ ซ่งชูอีสร้างสถานที่แห่งนี้ ทำให้ทุกคนที่นี่มีชีวิตที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง นางได้เชิญเจ้าอี่โหลวมาที่นี่ตั้งแต่ต้น ทว่าปกติเจ้าอี่โหลวชอบอยู่เงียบๆ ไม่ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนและไม่เคยปรากฏตัว ความชื่นชมของสาวๆ ที่มีต่อเขานั้นจึงน้อยกว่าซงชูอีมาก
ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านรู้ว่าซ่งชูอีเป็นผู้หญิง ทว่าพวกเขาปิดปากเงียบเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกสาวๆ กลับไม่รู้เรื่อง ด้วยเหตุนี้ซ่งชูอีจึงเกี้ยวพาราสีสาวๆ ได้ง่ายขึ้น “ช่วยไม่ได้ หน้าตาของผู้แซ่เจ้านั้นดีเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นสงวนตัวเพื่อเขา ข้าทำได้เพียงเสียสละเสน่ห์ของตัวเอง”
เว่ยเต้าจื่อแสร้งทำเป็นตกอกตกใจ “ว้าว เจ้านี่มีเสน่ห์ด้วยรึ! มันซ่อนอยู่ตรงไหนกัน? รีบเอาออกมาให้ศิษย์พี่ใหญ่ได้เปิดหูเปิดตาเสียหน่อย”
ซ่งชูอีเอนตัวเข้าใกล้เขาอย่างมีลับลมคมใน ชี้ไปที่หน้าของตัวเองเอ่ยว่า “อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้ ศิษย์พี่ใหญ่รีบเอาตาออกมาดูเถิด!”
“เจ้าเด็กเฮงซวย!” เว่ยเต้าจื่อหัวเราะพลางด่า
ซ่งชูอีหัวเราะฮี่ๆ สะบัดแขนเสื้อแล้วคุกเข่าบนเบาะใต้ชั้นวางองุ่น “ครั้งนี้ศิษย์พี่ใหญ่มาด้วยธุระใด?”
“เจ้าเด็กเฮงซวย ไม่มีธุระมาหาเจ้าไม่ได้รึ!” เว่ยเต้าจื่อก่นด่า
“จวนของข้าไม่มีสาวงาม จะชวนให้ศิษยี่ใหญ่ระลึกถึงได้อย่างไร?” ซ่งชูอีมองไปที่องุ่นเต็มชั้นพลางสูดน้ำลาย เอื้อมมือไปหยิบมาลูกหนึ่งอันแล้วลอกเปลือกออก
“ฮ่าๆ หวยจินเป็นคนที่ข้ารู้จักนี่นา” เว่ยเต้าจื่อมองนางด้วยสายตาแปลกๆ พูดต่อ “ข้ามีธุระจริงๆ ครั้งนี้ข้าติดขัดนิดหน่อย”
ซ่งชูกัดองุ่นรสเปรี้ยวคำหนึ่ง ทำหน้านิ่วพร้อมเอ่ยว่า “ติดอยู่ในหลุมแห่งสาวงามรึ?”
เว่ยเต้าจื่อมองดูการเคลื่อนไหวของนาง พร้อมกับยื่นมือออกไปบีบข้อมือของนาง “ข้าชอบหมี่ปาจื่อ ผู้หญิงคนนั้นน่าสนใจจริงๆ”
ซ่งชูอีตกใจ มองลงไปยังนิ้วของเว่ยเต้าจื่อที่บีบข้อมือของนาง เอ่ยเย้า “หน้าตาของหมี่ปาจื่อมีส่วนคล้ายข้า ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ใช่ว่าพอไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดแล้วจึงคว้าสิ่งของคุณภาพปานกลางดอกกระมัง?”
“ให้ข้าดูหน่อย” เว่ยเต้าจื่อมองไปที่ใบหน้าของนางอย่างใกล้ชิด เอ่ยด้วยความสงสัย “จริงอยู่ที่มีส่วนคล้าย แต่ในแง่ของรูปลักษณ์ เจ้าเอาความมั่นใจมาจากไหนมาต่อว่าหลี่ปาจื่อในครั้งนี้”
ซ่งชูอีจ้องที่นิ้วของเขา ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยอย่างจริงจัง “เพราะว่าเสี่ยวฉงได้ยกระดับรูปลักษณ์โดยรวมของครอบครัวเราแล้ว”
“พูดถึงน้องเขย…” เว่ยเต้าจื่อมุ่ยปาก “ข้ามักจะคิดว่าน้องสาวข้ามีผู้อื่น…ตอนนี้ไม่คุยเรื่องนี้ดีกว่า หลายปีนี้พวกเจ้าไม่มีลูก ไม่เสียใจรึ?”
“นี่เป็นหัวข้อที่หนักหน่วงนัก อืม ท่านปล่อยมือก่อนได้หรือไม่” ซ่งชูอีกินยาบำรุงร่างกายตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทุกวันก็ฝึกร่างกาย ไม่รู้ว่าสุขภาพดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนตั้งกี่เท่า ทว่ากลับไม่เคยมีลูกเลย
เว่ยเต้าจื่อทำตามคำสั่ง กลับไปนั่งที่ของตัวเอง
ดวงตาของซ่งชูอีผุดรอยยิ้ม “เขาทำงานหนักมาก แต่พื้นที่ของข้าแห้งแล้งเกินไป ไม่ว่าเมล็ดพันธุ์ดีแค่ไหนก็ไม่มีต้นกล้างอกขึ้นมาเลย”
เว่ยเต้าจื่อกล่าว “เช่นนั้นข้ายินดีด้วย บัดนี้มีต้นกล้างอกแล้ว”
นับตั้งแต่เว่ยเต้าจื่อบีบชีพจรของนางก็เอ่ยกระตุ้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในใจของนางก่อน นางรู้ว่าตนตั้งครรภ์ ทว่าเมื่อได้ยินอย่างชัดเจนในเวลานี้ ดวงตาของซ่งชูอีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนผ่าว ยกมือลูบท้องน้อยเบาๆ
เว่ยเต้าจื่อยิ้มกว้าง “ซาบซึ้งข้าล่ะสิ”
ซ่งชูอีกุมหน้าท้องพร้อมเหล่มองเขา “เหลวไหล นี่คือผลจากความพยายามของเสี่ยวฉง ไม่เกี่ยวกับท่าน ท่านห้ามใส่ร้ายพรหมจรรย์ของข้าส่งเดช”
“จิ๊” เว่ยเต้าจื่อปวดฟัน “ขืนพูดเรื่องพรหมจรรย์อีก เชื่อไหมว่าข้าจะโบยเจ้า!”
ซ่งชูอียังคงจมอยู่กับความปีติยินดีโดยไม่สนใจคำพูดของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน ซ่งชูอีก็สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ในที่สุด “เรื่องหมี่ปาจื่อน่ะ ข้าหวังว่าท่านจะไม่ได้จริงจังกับนาง”
กษัตริย์ที่เฉลียวฉลาด หยิ่งยโสและสูงส่งเยี่ยงอิ๋งซื่อนั้น หากยังมีชีวิตอยู่จะไม่มีวันยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด! ซ่งชูอียังคงเคารพนับถืออิ๋งซื่อยิ่ง นางไม่ต้องการเห็นเขาถูกทำให้อับอายลับหลังหลังจากที่จากไปหลายปี อีกทั้งเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะต่อต้านด้วยซ้ำ
“หากข้าจริงจังกับนางจะวิ่งมาบอกกับเจ้ารึ?” เว่ยเต้าจื่อยิ้มอย่างมีนัยยะ “ความกังวลมีแต่จะทำให้สับสนกระมัง”
ซ่งชูอีขมวดคิ้วเล็กน้อย
เว่ยเต้าจื่อรู้ว่านางรู้สึกรำคาญจริงๆ จึงละทิ้งความคิดขี้เล่นของเขา “บางทีนางเหมาะสมที่จะเป็นกษัตริย์มากกว่าบรรดาองค์ชายทั้งหมดของฉินฮุ่ยอ๋องเสียอีก”
คิ้วของซ่งชูอีกระตุก “ฉะนั้นเล่า?”
“ฉะนั้นข้าจึงได้เพ้อเจ้อไงเล่า!” เว่ยเต้าจื่อพูดทีเล่นทีจริง “ที่จริงข้าปกครองผู้หญิงมานานหลายปี ความจริงแล้วในใจอยากถูกปกครองโดยผู้หญิงบ้าง แน่นอนว่าข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องพรรค์นั้น”
ซ่งชูอีเงียบงัน ใครกันที่กล่าวว่าสำนักเต๋าไม่ยุ่งเกี่ยวทางโลก? บางทีในบรรดาร้อยสำนักนี้ ไม่มีใครกระหายสันติสุขมากกว่าสำนักเต๋าแล้วกระมัง ที่พวกเขาไม่ได้เคลื่อนไหวเพราะพวกเขาไม่ได้พบกับโอกาสต่างหาก
ซ่งชูอีรู้สึกว่าโอกาสของนางสิ้นสุดลงแล้ว นางรู้สึกดีใจยิ่งที่เว่ยเต้าจื่อได้พบกับโอกาส แต่นางก็สงบนิ่งเช่นกัน “ข้าเชื่อว่าความสามารถของท่านสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับรัฐฉินได้อย่างมาก ข้าเชื่อว่าหากท่านกล่าวว่าจะไม่มีวันแตะต้องหมี่ปาจื่อ ท่านก็จะทำเช่นนั้น แน่นอนว่า…ข้าได้รับบุญคุณอันยิ่งใหญ่จากฉินอ๋องและไม่ต้องการต่อสู้กับอิ๋งฉิน”
ในตอนสุดท้าย นางแสวงหาความรักเพื่อช่วยเหลือเจ้าอี่โหลว แต่ตัวเองกลับมีชีวิตรอดอย่างไม่คาดคิด นางเป็นผู้ชนะ อย่างไรก็ดี…เราจะแยกแยะได้อย่างไรว่าอย่างใดคือชนะและอย่างใดคือแพ้?
“ที่ข้ามา เพียงเพื่อมาเยี่ยมเจ้า และอยากให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง” ท่าทีของเว่ยเต้าจื่อจริงจังอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน “หากยังมีโอกาสได้พบกับอาจารย์ ได้โปรดฝากข้อความถึงเขาด้วย”
ซ่งชูอีหัวเราะ “ศิษย์พี่ใหญ่ไม่เข้าใจอาจารย์ ตัวท่านเองละทิ้งเต๋า ไม่แน่ว่านั่นอาจเป็นหนทางที่อาจารย์แสวงหาก็เป็นได้”
เว่ยเต้าจื่อตกตะลึงและตระหนักได้ในทันใด