ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 321 ทูตจากวิหารเทพแมงมุม

จอมศาสตราพลิกดารา

นับจากที่พวกอู๋เป่ยเฉินกลับมายังด่านชายแดน ก็ผ่านไปกว่าครึ่งปีแล้ว

เหตุการณ์การเดินทางไปสุสานทหาร เหล่าทหารชายแดนไม่เคยพูดกับใคร แม่เฒ่าไช่กับหลานก็ถูกจัดให้มาอยู่ที่ด่านเมืองมังกร ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุข

และเนื่องจากได้รับคู่มือกระบี่ ‘กระบี่สวรรค์สามสิบหกท่า’ ที่หลี่มู่มอบให้ พลังของทหารชายแดนหลายนาย รุดหน้าทะยานขึ้นภายในเวลากว่าครึ่งปีนี้

โดยเฉพาะอู่เป๋ยเฉิน

พรสวรรค์ด้านกระบี่ของเขายอดเยี่ยมมาก บูรณาการกระบี่สวรรค์สามสิบหกท่าในขั้นแรกได้แล้ว และฝึกฝนได้รวดเร็วยิ่ง ในศึกใหญ่ชายแดนหลายครั้ง เขาช่วยคลี่คลายสถานการณ์อันตราย สร้างคุณูปการครั้งใหญ่ ตอนนี้ได้เป็นขุนพลรักษาการณ์ประตูบูรพาของด่านเมืองมังกรแล้ว หากเทียบกับเมื่อวันวาน ก็เลื่อนขึ้นมาถึงสี่ขั้น

ส่วนนายทหารชายแดนคนอื่น นอกจากคนหนึ่งที่โชคร้ายตายไปในศึกสงคราม คนที่เหลือได้เลื่อนขั้นกันทั้งสิ้น นับว่าเป็นคลื่นลูกใหม่ในหมู่ทหารชายแดนทีเดียว

พูดได้ว่า การพบกันที่สุสานทหารเมืองฉางอันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา

ด้วยเหตุนี้นายทหารชายแดนหลายคนจึงเคารพและซาบซึ้งใจหลี่มู่มาก

ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงนี้ข่าวคราวที่หลี่มู่สังหารองค์ชายสอง เอาชนะ ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ ท้ายสุดยังได้รับแต่งตั้งเป็นไท่ไป๋อ๋องแพร่กระจายไปทั่ว พวกอู๋เป่ยเฉินทหารชายแดนล้วนรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่คิดเลยว่ากลับไปไหว้เพื่อนร่วมรบที่จากไปครั้งหนึ่ง จะได้พบเจอกับบุคคลที่สั่นฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้

ปฐมเทวะเชียวนะ

สำหรับจอมยุทธ์มากมาย สองคำนี้คิดอย่างไรก็รู้สึกว่าช่างสูงส่งเหลือประมาณ ทำเอาคนเวียนหัวตาลาย

พวกเขาหลายคนฝังประสบการณ์ส่วนนี้ลงลึกในใจ ให้เป็นภาพอันงดงามในชีวิต ไม่ป่าวประกาศให้ใครฟัง

ไม่คิดเลยว่าวันนี้ที่ด่านเมืองมังกร จะได้มาพบกับหลี่มู่อีกครั้ง

อู๋เป่ยเฉินรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากสนทนาง่ายๆ เขาพาหลี่มู่มายังนอกประตูเรือนเล็กที่แม่เฒ่าไช่และหลานสาวพักอยู่

“ไช่ไช่ ไช่ไช่ มาดูเร็วว่าใครมา” อู๋เป่ยเฉินผลักประตูเข้าไป

แม่เฒ่าไช่ที่กำลังซักผ้าอยู่ในเรือนเมื่อได้ยินก็รู้ทันทีว่าใครมา นางเอ่ยกลั้วยิ้มขณะบิดผ้าเปียก “เป่ยเฉินเอ๊ย วันนี้ทำไมกลับมาตอนนี้ ไช่ไช่ไปฝึกที่โรงฝึกกระบี่เหล็กแล้ว เอ๋ นี่…อา ใต้เท้าหลี่มู่ ท่าน…”

เมื่อนางเงยหน้าขึ้นถึงเห็นหลี่มู่ที่ยืนอยู่ข้างกายอู๋เป่ยเฉิน ก็ลุกขึ้นอย่างยินดีทันที

“แม่เฒ่าไช่” หลี่มู่ทักทายด้วยรอยยิ้ม

กำลังวังชาของท่านย่ายังดีอยู่ ร่างกายก็ดูแข็งแรงขึ้นมาก

“ใต้เท้าหลี่ ท่านมาได้อย่างไรกัน” แม่เฒ่าไช่ดีใจมาก เป็นถึงผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตไว้ ถ้าตอนนั้นไม่ใช่เพราะหลี่มู่ นางกับไช่ไช่ตายอยู่ที่ประตูสุสานทหารนั่นแล้ว

“ข้ามีธุระผ่านมาทางด่านเมืองมังกร ไปเจอกับพี่อู๋บนถนนเข้าพอดี ดังนั้นจึงแวะมาหาท่านกับไช่ไช่” หลี่มู่เอ่ย “ดูร่างกายท่านสิ คงใช้ชีวิตที่ชายแดนนี่สบายดีสินะ”

“ดีเจ้าค่ะ ดีมาก” คนเราเมื่อเจอเรื่องดีจิตใจก็ดีตาม แม่เฒ่าไช่รีบชวนหลี่มู่ให้นั่งลง แล้วยกอาหารส่วนหนึ่งเข้ามา เป็นของเฉพาะที่ด่านชายแดนทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ทำจากเนื้อแพะ ด้านนอกด่านเมืองมังกรไปคือที่ราบทุ่งหญ้าแล้ว อาชีพปศุสัตว์จึงค่อนข้างพัฒนา

เพียงครู่เดียว ทหารชายแดนคนอื่นๆ ทยอยเข้ามาจากการแจ้งของอู๋เป่ยเฉิน เมื่อเห็นหลี่มู่ก็พากันทำความเคารพ ท่าทางนอบน้อม

“พี่ใหญ่บ้าบอ…”

ไช่ไช่ก็รีบกลับมาเช่นกัน

เด็กสาวอยู่ในชุดจอมยุทธ์กระบี่ ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อกันหนาวขนแกะหนังกลับ มือกำกระบี่เหล็กเล่มหนึ่ง ยังไม่ทันเห็นตัวก็ได้ยินเสียงก่อนแล้ว นางวิ่งตึงตังเข้ามาจากด้านนอกขณะแก้มแดงเรื่อ เมื่อเห็นหลี่มู่ก็โถมตัวเข้าอ้อมอกทันทีด้วยอาการตื่นเต้นอย่างมาก

นางกำลังฝึกกระบี่อยู่ที่โรงฝึกกระบี่เหล็ก พอดีมีทหารเข้ามาแจ้งว่าที่บ้านมีแขกพิเศษมาหา ให้นางรีบกลับบ้าน ในใจยังรู้สึกงงอยู่เลย นอกจากท่านอาไม่กี่คนแล้ว นางก็ไม่มีญาติที่ไหนแล้วนี่

ผลลัพธ์คือระหว่างทางกลับมาพบอู๋เป่ยเฉินที่กำลังซื้อสุราผักและเนื้ออยู่ จึงถามเขาเล็กน้อย และได้รู้ว่าคนที่มาคือหลี่มู่ เพียงครู่เดียวเด็กสาวก็รีบพุ่งทะยานมาตลอดทางด้วยจิตใจที่เบิกบาน วิ่งกระหืดกระหอบกลับมา

หลี่มู่คลึงๆ ใบหน้ากลมของเสี่ยวไช่ไช่ “อืม โตแล้ว งามขึ้นด้วย พลังก็มากขึ้นอีก…”

อากาศที่ชายแดนเลวร้ายกว่าที่เมืองฉางอันมากแน่นอน แต่เสี่ยวไช่ไช่ที่มีเนื้อกินก็ยังเติบโตแข็งแรง สูงขึ้นกว่าเมื่อครึ่งปีที่แล้วหนึ่งศีรษะ แก้มก็อวบอิ่มขึ้นมาก รูปร่างเริ่มเจริญเติบโต เปลี่ยนเป็นผอมสูง โตเป็นสาวงามที่เปี่ยมด้วยความเยาว์วัย

อีกทั้งนิสัยของเด็กสาวก็ดูสดใสร่าเริงขึ้นมาก

ไม่นานแม่เฒ่าไช่ก็จัดสำรับร้อนๆ โต๊ะใหญ่ออกมาต้อนรับขับสู้

หลี่มู่เดิมทีกินจากแผงข้างทางมาพอควรแล้ว แต่เมื่อได้กลิ่นหอมของอาหารก็อดน้ำลายสออย่างไม่ได้ ถึงอย่างไรวันนี้ก็ต้องรอชิวอิ่น ยังไปจากด่านเมืองมังกรไม่ได้ จึงนั่งลงและกินเข้าไปอย่างไม่จำกัด

“พี่ใหญ่บ้าบอ ท่านจะอยู่ที่ด่านเมืองมังกรนานหน่อยใช่หรือไม่?” เสี่ยวไช่ไช่กะพริบตาโตปริบๆ ทำหน้าเฝ้ารอคอย

หลี่มู่ลูบหน้าผากไปมา

เปลี่ยนชื่อเรียกหน่อยได้ไหมเล่า

ฉายาที่แต่งขึ้นลวกๆ ในตอนแรก เหมือนกับขุดหลุมฝังตัวเองจริงๆ

“เดิมทีวันนี้จะออกไปแล้ว แต่สหายที่นัดเอาไว้ยังมาไม่ถึง ประมาณพรุ่งนี้น่าจะออกเดินทาง”

ประกายในดวงตาไช่ไช่ส่วนหนึ่งหมองลงทันที

“โอ้” นางก้มหน้าก้มตาเขี่ยอาหารที่อยู่ในชาม

ความคิดในใจของเด็กสาว ทุกคนล้วนรู้ดี

สำหรับนางแล้ว นอกจากแม่เฒ่าไช่ หลี่มู่อาจจะเป็นคนที่นางรู้สึกสนิทเหมือนญาติมากที่สุดในโลก กระทั่งตำแหน่งยังอยู่เหนือกว่าพวกอู๋เป่ยเฉินด้วยซ้ำ ดังนั้นทุกการกระทำของหลี่มู่จึงส่งผลกระทบกับตัวนางมาก เป็นตรานาบที่ประทับอยู่ลึกในใจนาง

ช่วงไม่กี่วันนี้ ทุกครั้งขณะพวกอู๋เป่ยเฉินมาร่วมกินข้าวที่บ้านแม่เฒ่าไช่ตามปกติ ยามพูดถึงผลงานราวเทพนิยายที่สะเทือนฉินตะวันตกของหลี่มู่ เด็กสาวจะตั้งใจฟังอย่างภาคภูมิใจอยู่ด้านหนึ่งรอบแล้วรอบเล่า และคอยถามจ้อกแจ้กอย่างไม่หยุด  

หลี่มู่ลูบผมของเด็กสาว เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าไม่ชินกับด่านชายแดน ก็กลับไปที่เมืองฉางอันได้ ตอนนี้ทั้งพื้นที่เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์เป็นของพี่ชายหมดแล้ว…”

ถึงอย่างไรด่านชายแดนก็ยังเป็นพื้นที่สงคราม

นอกจากนั้น จักรวรรดิฉินตะวันตกตอนนี้ยังอยู่ในช่วงสถานการณ์ไม่มั่นคง

เกิดความขัดแย้งภายในขึ้นแล้ว การรุกรานจากภายนอกจะยังอีกไกลหรือ?

น่ากลัวว่าจากการแพร่กระจายข่าวเจิ้นซีอ๋องก่อความวุ่นวาย ซ่งเหนือและที่ราบทุ่งหญ้าจะเริ่มเคลื่อนไหว ในเวลาไม่นานนัก ระดับการศึกเขตชายแดนจะสูงขึ้นและน่าเศร้ากว่าเดิม

พวกของอู๋เป่ยเฉินอีกด้านก็ผงกศีรษะ

ในฐานะทหาร พวกเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความตึงเครียดของสถานการณ์ชายแดนในช่วงหลายวันมานี้

แต่ว่าไช่ไช่กลับตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “นี่เป็นพื้นที่ที่บิดาข้าเคยสู้รบ ข้าจะอยู่ที่นี่ พากเพียรฝึกกระบี่ และจะป้องกันรักษาเมืองแห่งนี้เช่นเดียวกับบิดาข้า”

หลี่มู่ผงกศีรษะ ไม่พูดอะไรต่อ

คนที่มีความศรัทธา คือผู้มีความสุข

เด็กสาวอายุยังน้อย แต่มีปณิธานเด็ดเดี่ยว เพียงแค่ครึ่งปีก็สามารถอยู่ในขั้นรวมจิตสูงสุดแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีความตั้งใจอย่างมาก นางมีความคิดเห็นของตนเองได้ นั่นก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว

ระหว่างคุยสัพเพเหระ เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หลี่มู่ชี้แนะวรยุทธ์บางส่วนให้กับพวกอู๋เป่ยเฉินหลังทานข้าวแล้ว จึงเตรียมตัวกลับ

ตอนนี้เอง จู่ๆ นอกประตูมีเสียงเอะอะลอยมา

ประตูใหญ่เรือนถูกคนผลักเปิด จอมยุทธ์สวมเกราะหนังสองสามคนเดินเข้ามาก่อน จากนั้นตามด้วยชายวัยกลางคนอ้วนเตี้ยที่มีรูปร่างหน้าตาเฉพาะของคนเถื่อนจากทุ่งหญ้าอีกคน ข้างหลังเขาคือขุนพลสวมเกราะทหารชายแดนตจำนวนหนึ่ง

“พวกท่านมาได้อย่างไร?” ไช่ไช่หน้าเปลี่ยนสี

พวกของอู๋เป่ยเฉินก็ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

อู๋เป่ยเฉินมีสีหน้าโกรธเล็กน้อย จ้องมองขุนพลผอมสูงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังชายอ้วนเตี้ยวัยกลางคน ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ขุนพลโจว ท่านพาคนที่ราบทุ่งหญ้าบุกเข้ามาเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร?”

ขุนพลผอมสูงคนนั้นยิ้มเล็กน้อย เอ่ยตอบ “ขุนพลอู๋ก็อยู่หรือ…เหอะๆ ท่านทูตอูเห็นไช่ไช่ที่โรงฝึกกระบี่เหล็กแล้วก็ยากจะลืมลง คิดถึงลูกสาวคนเล็กของตนที่จากไปตั้งแต่ยังเล็ก ดังนั้นก่อนจะกลับจึงอยากมาพบไช่ไช่อีก”

“ข้าไม่พบเขา พวกท่านกลับไปเถอะ” ไช่ไช่ลุกขึ้นยืน ในมือกำกระบี่เหล็ก เอ่ยปฏิเสธไปตรงๆ

ใบหน้าของขุนพลโจวปรากฏอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

และชายอ้วนเตี้ยรูปร่างหน้าตาแบบคนทุ่งหญ้าที่ถูกเรียกว่าทูตอูนั้น นับตั้งแต่เดินเข้ามาในเขตเรือน สายตาทั้งคู่ก็จับจ้องอยู่ที่ไช่ไช่โดยตลอด สายตาเช่นนั้นไม่ใช่สายตาของพ่อที่สูญเสียลูกสาวไปแล้วมาพบกับเด็กที่คล้ายกับลูกตนยิ่ง แต่เต็มไปด้วยความปรารถนาจะครอบครองอย่างแรงกล้า คล้ายหมาป่าชั่วร้ายที่จับจ้องก้อนเนื้ออยู่เสียมากกว่า

ส่วนคนอื่นๆ ล้วนถูกทูตอูมองข้ามไปทั้งหมด

กระทั่งอู๋เป่ยเฉินที่มีฐานะเป็นขุนพลรักษาการณ์ประตูทิศบูรพา ก็ยังไม่อยู่ในสายตาของชายอ้วนเตี้ยวัยกลางคนคนนี้

ส่วนหลี่มู่น่ะหรือ?

แค่หนุ่มน้อยที่อายุราวสิบกว่าขวบเท่านั้น แต่งกายก็แสนจะธรรมดา เป็นใครก็คงไม่คิดไปถึงไท่ไป๋อ๋องที่ชื่อสะท้านฉินตะวันตกอยู่ตอนนี้ ยังคิดว่าเป็นเพื่อนบ้านคนหนึ่งซึ่งไม่มีทางขัดขืนอะไรได้ด้วยซ้ำ

สีหน้าอู๋เป่ยเฉินเต็มไปด้วยความรังเกียจ เอ่ยขึ้นว่า “ขุนพลโจว ในเมื่อเจ้าบ้านเอ่ยมาเช่นนี้ ท่านก็พาท่านทูตอูกลับไปเถิด ที่นี่คือด่านเมืองมังกร ไม่ใช่ที่ราบทุ่งหญ้า ไม่ใช่สถานที่ที่คนจากทุ่งหญ้าจะทำอะไรก็ได้”

ขุนพลโจวหัวเราะ ตอบกลับว่า “ฉินตะวันตกเป็นแดนแห่งพิธีการ ผู้มาล้วนเป็นแขก ยิ่งกว่านั้นทูตอูยังมาพร้อมเจตนาดีจากวิหารเทพแมงมุมแห่งที่ราบทุ่งหญ้า ตอนนี้สถานการณ์ชายแดนตึงเครียด ผู้บัญชาการชิวสั่งการลงมาว่าห้ามเมินเฉยต่อทูตอู”

ทหารชายแดนนายหนึ่งทางด้านอู๋เป่ยเฉินพูดขึ้นอย่างทนไม่ไหว “หรือจะบอกว่าห้ามเมินเฉย ก็คือการส่งเด็กสาวชาวฉินไปประจบปรนนิบัติพวกที่ราบทุ่งหญ้า?”

“บังอาจ” ขุนพลโจวจ้องเขม็งไปที่นายทหารคนนั้น “เจ้ายศอะไร? ที่นี่ไม่มีที่ให้เจ้าสอดปาก”

อีกด้านหนึ่ง หลี่มู่กระซิบเรียกไช่ไช่มาอยู่ข้างๆ “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

ไช่ไช่โน้มไปกระซิบบอก เล่าให้ฟังรอบหนึ่ง

ช่วงที่ผ่านมานี้วิหารเทพแมงมุมแห่งที่ราบทุ่งหญ้าส่งทูตมา ยินยอมที่จะเป็นพันธมิตรกับทหารชายแดนฉินตะวันตก เพื่อร่วมรับมือกับวิหารเทพหมาป่าจากที่ราบทุ่งหญ้า เมื่อข่าวแพร่ไปภายในเมือง ทหารชายแดนฉินตะวันตกบางส่วนรู้สึกว่าการร่วมมือครั้งนี้ค่อนข้างน่าสนใจ ทูตชื่ออูลาปู้ตัวจึงเป็นตัวแทนของวิหารเทพแมงมุมเข้ามายังด่านเมืองมังกร ครั้งแรกที่ได้พบไช่ไช่ก็เอ่ยปากพูดจาลวนลาม ต่อมายังบอกว่าไช่ไช่นั้นหน้าตาเหมือนลูกสาวของเขาที่ตายไปตั้งแต่ยังเล็ก อยากจะรับเลี้ยงไช่ไช่ไว้และพากลับวิหารเทพแมงมุมไปชุบเลี้ยง…แต่ว่าไช่ไช่ปฏิเสธ จากนั้นเขายังมาก่อกวนอีกหลายครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของขุนพลรักษาการณ์ประตูอู๋เป่ยเฉิน ไช่ไช่คงโดนคนจากที่ราบทุ่งหญ้าชิงตัวไปแล้ว

ไม่คิดเลยว่าเงียบหายไปแค่ไม่กี่วัน อูลาปู้ตัวจากที่ราบทุ่งหญ้าคนนี้จะบุกเข้ามาบ้านของไช่ไช่ตรงๆ

ยิ่งไปกว่านั้น ดูจากที่ขุนพลหลักโจวอันแห่ง ‘กองกำลังกระบี่เหล็ก’ เป็นผู้พามาเองเช่นนี้ ดูท่าจะมาด้วยเจตนาไม่ดีเสียแล้ว

…………………………………