บทที่ 294 ถามคำถามนาย

บัญชามังกรเดือด

บัญชามังกรเดือด บทที่ 294 ถามคำถามนาย
เมื่อออกจากคฤหาสน์ เหลิ่งน่ายจื่อก็เปลี่ยนเป็นนิ่งเงียบขึ้นมา

ก้มหน้า เดินอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันงดงามในต่างแดน ราวกับเดินอยู่ในภาพวาด

ฉินเทียนต้องยอมรับเลยว่า ตัวเธอ คือลายพู่กันเส้นวิจิตรตรึงตาในภาพวาดภาพนี้

ทว่า เขาไม่มีแก่ใจมาชื่นชมสิ่งเหล่านี้เลย

ยิ่งเหลิ่งน่ายจื่อไม่พูดจา จิตใจของเขายิ่งว้าวุ่น

ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะทำเรื่องเหนือความคาดหมายอะไรหรือเปล่า

ตอนนี้เขานึกเสียใจจริงๆ หากรู้ก่อนว่าจะเป็นภารกิจนี้ จะไม่ให้เธอมาทำเลย

ในบรรดาสิบสองราชา ยังมีคนว่างอีกมากมาย จะให้ใครทำก็ได้

ตอนนี้ ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว

จุดอ่อนเรื่องนั้นที่เหลิ่งน่ายจื่อกุมไว้ในมือ ฉินเทียนไม่เชื่อฟังไม่ได้

เขานึกภาพออกเลยว่า หากเหลิ่งน่ายจื่อไปฟ้องเรื่องของตนกับตาเฒ่าด้วยท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วจงใจราดน้ำมันกับไฟหึงลงไปอีก

เดาว่าตาเฒ่าต้องตบะแตก แหกคุกออกมาจับตนเป็นแน่

ตาเฒ่าครองความโสดมาชั่วชีวิต สำหรับลูกสาวบุญธรรมคนนี้ คงต้องทุกข์ใจเหลือแสนทีเดียว

ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ที่เอาแต่ปฏิเสธไม่ให้เธอเข้าสู่วิหารพญายม เพื่อปกป้องเธอก็รู้แล้ว

ต่อมา เหลิ่งหยุนต้องการเข้าร่วมวิหารเทพ หลังตาเฒ่าสืบดูแล้ว รู้ว่ากิจการส่วนมากที่ฉินเทียนทำล้วนเป็นสิ่งถูกทำนองคลองธรรม ถึงพยักหน้ายินยอม

จนถึงตอนนี้ ฉินเทียนยังไม่ได้บอกตาเฒ่าเลยว่า ลูกสาวบุญธรรมของเขาคนนี้ ทำงานเป็นมือสังหารในสายธุรกิจอันเก่าแก่ของเขา

“นี่ เธอตั้งใจจะไปที่ไหนล่ะ?”

“ถ้างั้น เราไปนั่งเล่นริมทะเลกันดีไหม?”

“ไปอาบแดดบนชายหาดก็ไม่เลวเหมือนกันนะ”

เห็นเหลิ่งหยุนก้มศีรษะเดินไปข้างหน้า ไม่พูดไม่จา เหมือนมีอะไรในใจ ฉินเทียนเลยทำลายบรรยากาศชวนอึดอัดด้วยอดทนไม่ไหว

เหลิ่งหยุนเอ่ยหน้านิ่ง: “เหมือนเจ้าศิษย์น้องซื่อบื้อกลุ่มนั้นของนายที่นึกอยากไปชายหาดไม่มีผิด”

“ริมทะเลของเกาะมลายูมีแต่โขดหิน มีชายหาดที่ไหนกัน”

“แบบนี้เองเหรอ” ฉินเทียนนึกภาพพวกถงชวนกับเถียปี้ แต่ละคนใส่กางเกงขาสั้นลายดอก ตั้งใจจะไปดูสาวสวยบนชายหาด

พอหลังจากไปถึง เห็นแต่โขดหินใหญ่ เขาจึงอดระเบิดหัวเราะออกมาไม่ได้

เดิมนึกว่า สถานที่ที่เหลิ่งน่ายจื่อจะไป ต้องน่าตื่นตาตื่นใจแน่ๆ

ไม่คิดเลยว่า เธอจะมาย่านศิลปะจิตรกรรมชื่อดังมากแห่งหนึ่งในเมือง

อุ่นหนาฝาคลั่งไปด้วยนักท่องเที่ยว แต่ทุกคนต่างเงียบสงบมาก

มองชมประตูหน้าต่างแต่ละบาน รอยขีดเขียนบนโขดหินแต่และก้อนอยู่ในใจ

ที่นี่ เป็นศูนย์รวมร้านกาแฟและร้านอาหารเล็กๆ ด้วย ดูไปได้สักพัก เหลิ่งน่ายจื่อก็นั่งลงตรงร้านกาแฟริมทางร้านหนึ่ง

เธอที่กำลังสูดลมทะเล จิบกาแฟ ชวนให้ฉินเทียนตกอยู่ในภวังค์

เหมือนนี่ไม่ใช่ราชินีงูมือสังหารที่ทำให้พวกเจ้าพ่อแต่ละคนขยาดกลัวผู้นั้น แต่เป็นสาวออฟฟิศงามล้ำประจำเมืองที่กำลังพักเที่ยงคนหนึ่ง

ผู้หญิงนี่ ช่างเป็นจอมมารยาโดยกำเนิดจริงๆ

เขาไม่กล้าพูดจาซี้ซั้ว ได้แต่สั่งกาแฟหนึ่งแก้ว แล้วนั่งลงข้างๆ เป็นเพื่อน

หลังดื่มกาแฟไปครึ่งแก้ว ในที่สุดเหลิ่งน่ายจื่อก็ทนไม่ไหว

เธอขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า: “ความจริงที่ฉันชวนนายออกมา เพราะมีเรื่องอยากจะถามนายเรื่องหนึ่ง”

“หือ?” เห็นท่าทางเคร่งเครียดของเธอ ฉินเทียนก็ใจเต้นตุ้บๆ อย่างบอกไม่ถูก

“เอ่อ เรื่องอะไรเหรอ?”

“ศิษย์น้องไม่ต้องเกรงใจหรอก” เขาแกล้งพูดสบายๆ

เหลิ่งน่ายจื่อลังเล เหมือนไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดอย่างไร

ขณะนั้น มีชายชาวยุโรปตัวสูงคนหนึ่งเดินเข้ามาแต่ไกล

ใส่สูทผูกไท สาบเสื้อเชิ้ตแหวกเปิด เผยให้เห็นขนหน้าอกที่ตนคิดว่าเซ็กซี่ขยี้ใจ

บนข้อมือสวมนาฬิกาปาเต๊ะ ฟิลลิป

“คุณผู้หญิงครับ ตรงนั้นมีคนนั่งแล้ว ผมขอนั่งตรงนี้ได้ไหมครับ?” เขาถามเหลิ่งน่ายจื่อด้วยท่าทางสุภาพ

ฉินเทียนอดนิ่วหน้าไม่ได้

แม้บนตัวจะมีกลิ่นน้ำหอมฟุ้ง แต่ก็ยังกลบกลิ่นเต่าแรงๆ ของไอ้หมอนี่ไม่ได้

แถมกลิ่นเต่ารวมกับกลิ่นน้ำหอม ยังทำให้กลิ่นแรงขึ้นไปอีก ฉินเทียนพลันรู้สึกดื่มกาแฟในมือไม่ลงทันที

เขาดูออก ว่าไอ้หมอนี่ตั้งใจมาเกาะที่นั่งด้วย

สายตาที่มองเหลิ่งน่ายจื่อ แสดงความเจ้าเล่ห์ของเขาอย่างเปิดเผย

หนำซ้ำ ข้านั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้แท้ๆ เอ็งยังไม่มองข้าเลยสักนิด

นี่มันคิดจะมาหยอดสาวของข้า แถมยังไม่เห็นข้าในสายตาอีกต่างหาก

ความเก่งกาจไม่เท่าไร แต่หยามหน้ากันสุดๆ

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังเก็บอาการอยู่

เพราะเขารู้ดีว่า การที่ไอ้ฝรั่งคนนี้กล้ามาหน้าหม้อใส่เหลิ่งน่ายจื่อ ก็เท่ากับขุดหลุมฝังศพตัวเอง

แต่เหนือความคาดหมาย เหลิ่งน่ายจื่อกลับไม่โกรธเสียอย่างนั้น

เธอเอ่ยเสียงเบา: “คุณคนนี้ ตรงนั้นยังว่างอยู่ไม่ใช่เหรอคะ?”

“ทำไมถึงอยากมานั่งตรงนี้ล่ะ”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว แล้วเอ่ยคำที่ตนคิดว่ามันตลก: “ที่นั่งตรงนั้น ผมไม่ชอบ”

“เพราะตรงนั้นไม่มีสาวสวยแบบนี้เหมือนคุณ”

พูดจบ เขาก็ดึงเก้าอี้มานั่งอย่างไม่เกรงใจ: “ผมชื่อชาร์ลีครับ”

“สาวสวยท่านนี้ เรามาทำความรู้จักกันหน่อยได้ไหมครับ?”

เขายื่นมือใหญ่ที่เต็มไปด้วยขนสีทองให้เหลิ่งน่ายจื่อ

เหลิ่งน่ายจื่อก้มหน้า ก่อนเอ่ยอย่างสุภาพระคนเอียงอายเล็กน้อย: “ขออภัยค่ะคุณผู้ชาย”

“สามีของฉันไม่ให้ฉันแตะเนื้อต้องตัวกัยผู้ชายคนอื่น เดี๋ยวเขาจะโกรธเอา”

พูดจบ เธอก็ยืนขึ้น พูดกับฉินเทียนว่า: “เราไปนั่งที่อื่นกันเถอะค่ะ”

แล้วก้มศีรษะเดินเข้ามา คล้องแขนฉินเทียนอย่างรู้งาน

ดูกิริยาท่าทาง เหมือนสาวเมืองซากุระที่เป็นกุลสตรีหัวอนุรักษ์เปี่ยมคุณธรรมคนหนึ่ง

ชาร์ลีอึ้งไป ก่อนจะฉุนขาดทันที

“ไอ้หมอนั่น หยุดเดี๋ยวนี้เลย!”

“ทุกคนมีอิสระเป็นของตัวเอง แกจะมาจำกัดการเข้าสังคมในชีวิตประจำวันของเมียแกได้ยังไง?”

“แกทำแบบนี้ไม่ถูก!”

“แกหยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ วันนี้ฉันไม่ปล่อยแกไปแน่!”

เหลิ่งน่ายจื่อเหมือนมีเรื่องในใจ คร้านจะสนใจชาร์ลีที่กำลังเห่าหอน

ในเมื่อเธอมีท่าทีแบบนี้ ฉินเทียนก็พูดอะไรไม่ได้ อีกอย่าง เขาอยากรู้ว่าเหลิ่งน่ายจื่อมีเรื่องสำคัญอะไรจะถามตน

นี่สิถึงเป็นเรื่องสำคัญ

เหลิ่งน่ายจื่อโบกแท็กซี่คันหนึ่ง บอกคนขับว่า ไปที่สวนซานตาแคทรีนา

ที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในเกาะมลายู อยู่ใกล้ริมทะเล มีพืชพรรณเขตร้อนมากมาย

และที่อื่นๆ ยังมีดอกไม้ใบหญ้าหายากที่พบเห็นไม่ได้บ่อยๆ อีกด้วย

เหลิ่งน่ายจื่อกลับมาเงียบขรึมอีกครั้ง ก้มหน้า เดินนำไปเงียบๆ

พอเดินจนเหนื่อย ก็นั่งลงบนม้านั่งใกล้น้ำพุ เหม่อมองหงส์บนผิวทะเลสาบใจลอย

ฉินเทียนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เขากัดฟันเอ่ยว่า: “เธออยากพูดเรื่องนั้นใช่ไหม?”

“ฉันเคยพูดกับเธอไปแล้ว ความจริงตอนนั้น ฉันแค่อยากได้รับความไว้วางใจจากผู้นำหุ่นเชิดเท่านั้น”

“เธอก็รู้ ถ้าฉันใสสะอาดเกินไป พวกมันต้องสงสัยว่าฉันไม่ใช่พวกเดียวกันแน่”

“ฉันก็เลย….”

“นายก็เลยไม่ปฏิเสธเด็กเสิร์ฟที่เขาจัดมาให้เลยอย่างนั้นใช่ไหม?”

ฉินเทียนยิ้มพูดอย่างลำบากใจ: “เธอก็รู้นี่ รสนิยมคนแบบฉันสูงมาก ผู้หญิงธรรมดา ฉันไม่ชอบหรอก”

“นี่ไม่ใช่เพราะศิษย์น้องสวยเกินไปหรอกเหรอ….”

เหลิ่งน่ายจื่อถุยน้ำลายหนึ่งที ใบหน้าแดงเล็กน้อย

เธอเงยหน้ามองฉินเทียน เอ่ยว่า: “ที่ฉันอยากถามนาย ไม่ใช่เรื่องนี้”

“แต่เป็นเรื่องที่ได้ยินว่านายกลับไปหลงเจียง เพื่อไปหาผู้หญิงคนหนึ่ง”

“เธอเป็นเมียนายเหรอ?”