บทที่ 52 ทะเลหลีเฮิ่นทลาย (ตอนต้น)

บุหลันเคียงรัก

งานเลี้ยงของเหล่าทวยเทพยังคงดำเนินต่อไป เสียงบรรเลงที่นุ่มนวลและซับซ้อนดังมาจากหลังฉากกั้นลมขนาดยักษ์เสียงดีดจากพิณทำให้ใจแทบจะตกอยู่ในภวังค์ เหล่าเซียนสาวนักระบำเอวบางร่างน้อยมีเพียงผ้าผืนบางปกปิดร่างกำลังเต้นระบำโยกย้ายราวกับงูกำลังเลื้อย เต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนน่าหลงใหล

 

 

การระบำที่งดงามหยาดเยิ้มนี้ ปกติแล้วในงานเลี้ยงเล็กจะมีเป็นกลุ่มสามถึงห้าคนมาระบำให้เหล่าเทพได้ชื่นชมกัน แต่ว่าวันนี้มหาเทพจูเซวียนกลับจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าเขาฟุ่มเฟือยขนาดไหน

 

 

บรรยากาศพลันเร่าร้อนขึ้นมา เสียงเพลงที่น่าเย้ายวนใจกอปรกับกลิ่นหอมจากสุราเข้มข้นนั้นราวกับจะลอยไปถึงเหนือสวรรค์ชั้นที่สามสิบสามที่สงบเงียบมิปาน

 

 

สุรา เสียงเพลงและระบำ ของเหล่านี้คือสิ่งที่เสวียนอี่ไม่ชอบทั้งนั้น ตอนนี้นางอยากจะหาห้องที่สงบเงียบและกว้างขวางสักห้อง บรรจงอาบน้ำชำระล้างกลิ่นสุราที่ผมและเสื้อผ้าให้หมดเสีย จากนั้นก็นอนลงบนที่นอนนุ่มสบายหลับอย่างเป็นสุขสักงีบ

 

 

แต่น่าเสียดายที่ความต้องการของนางเหล่านั้นกลับไม่เป็นจริงเลยสักอย่าง นางมองไปยังกระบี่ฉุนจวินที่คาอยู่กับเก้าอี้อย่างแค้นใจ

 

 

ฝูชางนั่งอยู่บนพื้น มือคว้าไหสุราพลางค่อยๆ ดื่มทีละอึก ครั้นเห็นสุราไหนี้กำลังจะหมด เขาก็ไปหยิบมาใหม่อีกไห

 

 

เสวียนอี่ก้มหน้าลงมองพื้นดิน เขาดื่มสุราไท่ชิงมาติดต่อกันถึงสิบห้าไหแล้วแต่กลับยังไม่มีอาการเมาเลย ดวงตาไม่เหม่อลอยมือไม้ก็ไม่สั่น ฉุนจวินยังคงขวางเอาไว้อย่างมั่นคงขวางไม่ให้นางไปที่ไหนได้

 

 

ทุกแห่งหนของที่นี่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ มีเพียงใต้ต้นหม่อนขนาดใหญ่ที่พวกเขาอยู่ตรงนี้เท่านั้นที่บรรยากาศอึมครึม ศิษย์พี่ทั้งหลายรู้ว่าพวกเขาสองคนกำลังโกรธกัน แต่ละคนต่างมาคุยด้วยแต่ก็ต้องกลับไปอย่างหมดอารมณ์ จึงไม่มีใครมายุ่งอีก แม้แต่กู่ถิงกับจื่อซียังหลบไปไกลจะได้ไม่ต้องพลอยถูกเหมารวมไปด้วย

 

 

และเพราะก่อนหน้านี้นางถูกจับไปที่ป่าเซียนเหมย ตอนที่เทพเฟยเหลียนนำพวกมั่วเจาส่งกลับไปนั้น ใบหน้าของมหาเทพหลีจูกลายเป็นสีเขียว แล้วจับเหล่าศิษย์ชั่วทั้งหลายมาขอโทษเสวียนอี่ต่อหน้าผู้คนด้วยน้ำเสียงดังสนั่น จนทำให้บรรดาเหล่าเทพทั้งหลายรู้ว่านางคือองค์หญิงมังกรตระกูลจู๋อินที่น่ากลัวคนนั้น ทุกคนจึงพากันหลบนางไปเสียไกล จวนจูเซวียนอวี้หยางกว้างขวางแต่นางกลับหาใครมาช่วยนางไม่ได้เลยสักคนเดียว

 

 

มีเสียงหัวเราะคิกคักของเหล่าเทพธิดาดังมาไม่ไกล เป็นเซ่าอี๋ที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลาง เขากำลังจับมือเรียวราวกับหยกของเทพธิดาองค์หนึ่งและดื่มสุราอยู่ และก็เหมือนกับจะรับรู้ถึงสายตาของเสวียนอี่ได้จึงยิ้มแล้วกวักมือเรียกนางจนไข่มุกตรงหน้าผากแกว่งไปมา

 

 

นางราวกับเจอผู้ช่วยชีวิต แต่เพิ่งจะขยับฉุนจวินก็ขวางเก้าอี้ไว้แน่นหนา

 

 

“ข้าจะไปหาศิษย์พี่เซ่าอี๋” เสวียนอี่ไม่มีแรงจะโมโหแล้ว “ปล่อย”

 

 

ฝูชางนิ่งเงียบดื่มสุราไท่ชิงไปสิบห้าไห จริงๆ แล้วเขาก็รู้สึกเมามายอยู่บ้าง ใจก็คล้ายเปลที่แกว่งไกวไปมา ไม่ค่อยชัดเจนนัก

 

 

เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมทั้งๆ ที่เขาไม่ชอบนาง แต่แล้วทำไมกลับยังจับนางไว้ข้างกายเขาทั้งวัน แต่พอนึกไปถึงองค์หญิงมังกรที่เจ้าเล่ห์ร้ายกาจที่สร้างปัญหาไปทั่วคนนี้ ก็พลันคิดว่ามัดนางไว้อย่างนี้ดีกว่า

 

 

“ยังห่างกับยามจื่อ*อีกเล็กน้อย” เขากล่าวเสียงเย็น “ในเมื่อวันนี้วนถึงคราวที่ข้าต้องรับส่งเจ้า จึงไม่อนุญาตเจ้าไปวุ่นวายที่ไหน”

 

 

ความหมายของเขาคือการมารับส่งนางหมายถึงการกักบริเวณทั้งยังกดดันและสร้างความอัปยศให้นางน่ะหรือ? และเวลายังมาหยุดอยู่ได้ที่อย่างนี้? เสวียนอี่พลันพบว่า ฝูชางตระกูลหวาซวีคนนี้ต่างหากที่วิธีการใดๆ ก็ใช้กับเขาไม่ได้ผล

 

 

อาหารและสุราเลิศรสบนโต๊ะถูกเก็บไปและเปลี่ยนเป็นอาหารใหม่เข้ามาอย่าง อุ้งตีนหมีปากลิง ตัวอ่อนเสือดาวหางแรด นี่ล้วนแต่เป็นอาหารหายากที่ล้ำค่าทั้งนั้น

 

 

เสวียนอี่เห็นฝูชางไม่เอาแต่ดื่มสุราแล้วก็ใช้ตะเกียบคีบกุ้งในจาน ก็ดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลที่แฝงไปด้วยความขอร้องว่า “ศิษย์พี่ฝูชาง ข้าอยากกินกุ้ง ท่านให้ข้ากินคำหนึ่งได้หรือไม่”

 

 

ฝูชางไม่พูดอะไร แต่กลับไปยกเอาจานดอกบัวที่ใส่กุ้งไว้จานนั้นส่งมาให้นาง เสวียนอี่คีบกุ้งชุ่มน้ำใสแจ๋วตัวหนึ่ง แล้วดันจานกลับไปที่เขาพลางกล่าวว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ฝูชางมาก”

 

 

เขาไม่ได้นึกอะไรแล้วคีบกุ้งเข้าไปในปากต่อ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันทีแล้วรีบบ้วนออกมาอย่างรวดเร็ว กุ้งจานนี้กลับทำด้วยน้ำแข็ง! แล้วยังขมจนน่าตาย ต่อให้เขารีบบ้วนออกมาแล้ว ในปากก็ยังเต็มไปด้วยรสชาติขมที่ยากจะรับได้

 

 

เสวียนอี่หัวเราะจนตัวงอ สมน้ำหน้า! ใครใช้ให้เขาชอบทำท่า ‘ “ข้าเป็นกระบี่ ข้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่’ ” กันล่ะ! และยังชอบมาดูถูกนาง ชอบทำร้ายนาง นางให้เขาได้ลิ้มลองกุ้งหิมะที่ขมที่สุดของตระกูลจู๋อิน นี่นับว่านางตอบแทนเขาอย่างนุ่มนวลที่สุดแล้ว

 

 

ฝูชางเม้มปากแล้วลงมือเร็วปานสายฟ้า คว้าจับนางเอาไว้และบีบแขนนางแน่น

 

 

ต้องแก้แค้นแบบไหนถึงจะหายโมโห อยากจะบีบนางให้แตกคามือตอนนี้เสียจริง อยากจะให้เวลานางมาเจอเขาแล้วเหมือนกับหนูเจอแมว ไม่กล้ามีท่าทีหยิ่งยโสอวดดีอย่างนี้อีก

 

 

เขาอยาก…

 

 

ด้วยฤทธิ์สุรา อารมณ์บางอย่างคล้ายทำให้เขาคลั่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ภาพตรงหน้าดูมัวซัวและสับสน เห็นเพียงใบหน้าขาวซีดที่งดงามของนางเท่านั้นที่ชัดเจน ริมฝีปากที่งดงามของนางยกขึ้นอย่างได้ใจ ทั้งยังดวงตาราบเรียบลึกล้ำและแฝงไปด้วยความเย้ยหยันคู่นั้น

 

 

ดวงตาคู่นั้นของฝูชางพลันเข้มขึ้น เขาอ้าปากอยากจะกัดริมฝีปากที่ทั้งน่าแค้นทั้งน่ารักนั้นของนางทันที

 

 

ไม่ทันได้ตั้งตัว พื้นพลันสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง เสวียนอี่นั่งไม่มั่นคงร่างโอนเอนไปมา พลันถูกปากของเขากระแทกเข้าที่หัวอย่างแรง นางเจ็บจนกุมหัวไว้นานอย่างขยับไม่ได้

 

 

“เจ้ากลับใช้วิธีต่ำทรามอย่างนี้!” เสวียนอี่ทั้งตกใจทั้งโมโห เขาใช้ฟันกัดที่เขาของนาง! นี่มันวิธีชั่วช้าเลวทรามอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน?! นี่มันตระกูลหวาซวีที่ไหน?!

 

 

ฝูชางที่อยู่ตรงข้ามก็ดูแข็งค้างไปนานราวกับรูปปั้นสลัก สุดท้ายก็ค่อยๆ ยื่นมือมาที่นาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างเข้าใจยาก “…เอามือออก ให้ข้าดูหน่อย”

 

 

เสวียนอี่ยังจะให้เขาแตะนางที่ไหน นางหันร่างแล้วหนีไปอย่างเร็ว “ข้าฝากไว้ก่อนเถอะ!”

 

 

ฝูชางไม่มีอารมณ์ไปขวางนางไว้อีก เขาใช้ชาล้างปากที่เต็มไปด้วยรสชาติขม แล้วจึงเอาไหสุราที่ยังดื่มไม่หมดเขวี้ยงไปจนไกลลิบ สุราไม่ใช่ของดีจริงๆ เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมื่อครู่นี้ตัวเขาทำอะไรลงไป เขารู้สึกว่านี่มันเหลวไหลสิ้นดี และยังรู้สึกทั้งอับอายทั้งโมโห หูและคอก็ร้อนขึ้น ยังดีว่าร่มเงาต้นหม่อนยังพอจะปกปิดความกระดากของเขาได้

 

 

เพราะพื้นดินที่สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างไม่มีเค้าลางล่วงหน้านั่น ทั่วทุกด้านจึงมีแต่เสียงบ่นและร้องอย่างตกใจ เหล่าเทพธิดาที่ถูกสุรารดใส่ชุดต่างก็บ่นกันอย่างไม่พอใจ เหล่านักกินก็บ่นอุบอย่างไม่พอใจกับอาหารเลิศรสที่พวกเขายังไม่ได้ทานตกลงพื้นไป แดนเทพเองก็สามารถเกิดภูเขาถล่มดินทลายอย่างโลกเบื้องล่างหรือ

 

 

เหล่าขุนนางของมหาเทพจูเซวียนรีบเข้ามาคารวะปลอบประโลม “ขออภัย ไม่ทันได้แจ้งเทพทุกท่านล่วงหน้า ทะเลหลีเฮิ่นนั้นจะขยายตัวทุกปี หลายปีมานี้เมื่อถึงยามจื่อพื้นดินก็จะเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมา จริงๆ แล้วไม่เป็นอะไร ไม่เป็นไร…”

 

 

เสวียนอี่หน้าถมึงทึงแล้วลอยข้ามพื้นที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบนั่นไป ด้านข้างพลันมีมือข้างหนึ่งคว้าเก้าอี้ของนางไว้ เสียงที่อ่อนหวานนุ่มนวลของเซ่าอี๋เรียกนาง “ปลาดุกอุยน้อย…”

 

 

ยังไม่ทันจะกล่าวจบ เขาก็เกือบจะถูกนางลากลอยขึ้นมาจนร่างสะดุด

 

 

เสวียนอี่หยุดเก้าอี้ลงแล้วขมวดคิ้วมองนาง ครั้งนี้นางเชื่อแล้วว่าที่เขาพูดว่านางหนักนั่นคือเรื่องจริง ขนาดคว้าเก้าอี้ยังสะดุดได้ไม่เหมือนกับกำลังเสแสร้ง

 

 

“เกือบจะทำให้ข้าล้มลงไปแล้ว” เซ่าอี๋ถอนหายใจออกมาแล้วฝืนยิ้มให้นาง “เจ้าเองก็บินให้ช้าหน่อยสิ”

 

 

พูดแล้วเขาก็ย่อตัวลง เห็นบนศีรษะนางบวมปูดขึ้นมาเล็กน้อยก็ยื่นมือเข้าไปลูบ “นี่เป็นอะไร เขามังกรขึ้นหรือ?”

 

 

เสวียนอี่เอามือกั้นมือเขาช้าๆ “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ ข้าง่วงมาก จะไปหาห้องนอนพักผ่อน คงไม่อยู่เป็นเพื่อนท่านแล้ว”

 

 

เซ่าอี๋หลุดยิ้ม “พื้นสะเทือนเมื่อครู่นี้เจ้ายังจะนอนได้ลง? ดูท่าทีโมโหของเจ้าเข้า ออกมาเที่ยวเล่นหากหมดอารมณ์เสียก็ไม่สนุกสิ มานั่งกับศิษย์พี่สักครู่สิ มีขนมอร่อยๆ ด้วยนะ”

 

 

นางได้ยินว่า “ขนม” คิ้วที่ขมวดแน่นก็คลายออก แล้วตามเขามาถึงพรมปุยเมฆ เหล่าเทพธิดาที่ล้อมเขาไว้ต่างก็สลายไปหมดแล้ว อย่างไรเสียก็ยังไม่รู้ว่านางมีความสัมพันธ์กับเซ่าอี๋อย่างไร ใครก็ไม่อยากจะทำให้องค์หญิงมังกรตระกูลจู๋อินไม่พอใจ อาหารเลิศรสมากมายบนโต๊ะกลับถูกแตะไปแค่เล็กน้อยเท่านั้น กลับกันที่พื้นกลับเต็มไปด้วยกาสุรา ดูท่าแล้วพวกเขาเองก็คงดื่มไปไม่น้อยเลย

 

 

เซ่าอี๋หาอยู่นานก็หาขนมดีๆ อะไรไม่ได้ จึงไปเอาท้อเซียนยัดให้นางก่อน “เจ้ากินอันนี้แล้วกัน ขนมพวกนี้เก่าแล้ว รอให้เปลี่ยนของใหม่ก่อนแล้วค่อยกิน”

 

 

เสวียนอี่คืนกลับไปอย่างรังเกียจ “ไม่ได้ปอกเปลือก”

 

 

องค์หญิงที่เอาแต่ใจนี่…เซ่าอี๋ถอนหายใจแล้วปอกเปลือกให้นาง พลางกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “เจ้าปลาดุกอุยน้อย นิสัยไม่ดี ยังคิดไม่ดีอีก ยังดีว่าองค์ชายมังกรน้อยไม่ได้เหมือนเจ้า ไม่อย่างนั้นอนาคตยังไม่รู้ว่าจะไปล่วงเกินเผ่าเทพมากเท่าไหร่เลย”

 

 

เสวียนอี่เกือบจะลืมเรื่องเมื่อตอนเช้าไปหมดแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขากลับหลุดข่าวที่น่าเหลือเชื่ออย่างนี้ออกมา เขารู้จักชิงเยี่ยนหรือ แล้วทำไมนางถึงได้ไม่เคยได้ยินชิงเยี่ยนพูดมาก่อนเลยเล่า

 

 

นางสีหน้าไม่เปลี่ยน “ศิษย์พี่เซ่าอี๋รู้จักพี่ชายข้าหรือ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

 

 

เซ่าอี๋นึกดู “ตอนนั้นเขาน่าจะมีอายุได้แค่สามพันปี หน่วยก้านดูดีมาก สมกับที่เป็นตระกูลจู๋อิน”

 

 

อายุสามพันปี? เสวียนอี่พยายามนึกย้อนดูแต่กลับนึกอะไรไม่ออกเลย เซ่าอี๋ปอกเปลือกท้อเสร็จแล้วยังหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ วางบนจานส่งมาให้นางอย่างเอาใจใส่ พลางยิ้มบางๆ “ตอนนั้นเขายิ่งเล็กมาก และยังได้รับบาดเจ็บหนักจนแทบจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ เกรงว่าคงจะจำไม่ได้แล้ว ได้ยินว่าตอนที่องค์ชายน้อยติดตามมหาเทพเสวียนหมิงเขายังอายุน้อยกว่าปลาดุกอุยน้อยอย่างเจ้าอีก เป็นพี่ชายที่ดีจริงๆ เขายอมฝึกฝนอย่างสุดชีวิตเพื่อน้องสาวตัวน้อย เขาคงคิดอยากจะปกป้องเจ้าให้ดีแน่”

 

 

เสวี่ยนอี่นึกได้ว่าฉีหนานเองก็เคยพูดว่าตอนนางยังเด็กได้รับบาดเจ็บหนักมาก่อน คิดไม่ถึงว่าขนาดศิษย์พี่ตระกูลชิงหยางยังรู้เรื่องนี้ด้วย และที่แทบจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้นั่นหมายถึงอะไร ทำไมนางถึงไม่มีความทรงจำอะไรเลยเล่า

 

 

นางกำลังคิดจะถามต่อ เสียงของมหาเทพจูเซวียนก็ดังมาจากบนแท่นหยก “ทุกท่าน…เกรงว่า เกรงว่างานเลี้ยงวันนี้คงได้แต่ต้องยุติลงเพียงเท่านี้แล้ว”

 

 

เหล่าเทพด้านล่างต่างก็ส่งเสียงดัง มหาเทพจูเซวียนฝืนยิ้ม “เมื่อครู่นี้มหาเทพไป๋เจ๋อทำนายเรื่องแผ่นดินไหว คำทำนายปรากฏว่าแสงตะวันดับสลาย เกรงว่าจะเป็นลางร้ายใหญ่ เรื่องนี้ยากจะอธิบาย แต่ในเมื่อมหาเทพไป๋เจ๋อได้กล่าวเตือนแล้ว เปิ่นจั้วก็ไม่กล้าเสี่ยง ในคืนที่หนาวเหน็บและน้ำค้างแรงอย่างนี้ เดิมไม่ควรจะรับแขก…”

 

 

เขายังกล่าวไม่ทันจบ ก็รู้สึกว่าพื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงอีกครั้ง ครั้งนี้กลับยังรุนแรงกว่าเมื่อกี้มากหลายเท่า ชั้นแก้วบนแท่นหยกถูกสั่นสะเทือนจนพลิกล้มไปมาก บรรดาของล้ำค่าบนนั้นก็ตกลงมาเต็มพื้น มีเสียงดังสนั่นราวกับระเบิดดังมาจากที่ไกลๆ เทพทั้งหลายต่างก็ตกใจกันมาก รอบด้านเงียบกริบทันที

 

 

“รายงาน…”

 

 

เสียงตะโกนอย่างตกใจและร้อนรนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบที่น่าประหลาดนั่น จากนั้นก็มีเทพบริวารสองคนล้มลุกคลุกคลานเข้ามา เสียงของเขาราวกับเสียงกรีดร้อง “ทะเลหลีเฮิ่นทางทิศใต้สองร้อยลี้ส่วนหนึ่งตกลงไปที่โลกเบื้องล่างแล้วขอรับ!”