บทที่ 293 แนวคิดนิกายใหม่
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ประนมมือขึ้น เปล่งเสียงกังวานดั่งเสียงกลองยามค่ำ เสียงระฆังยามอรุณ[1] “ดับทุกข์ให้หมดไป พุทธจิตก็ผ่องใส”
ภิกษุผู้สติแตกกระเจิง ร่างกายแน่นิ่งราวกับถูกฟาดด้วยไม้หน้าสาม จากนั้นก็ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งสมาธิโดยให้ขาทับกัน
สีหน้าของเขายังคงทุรนทุราย แต่ไม่ได้บ้าคลั่งอย่างเมื่อครู่
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ละสายตา เงยหน้าขึ้น และมองไปยังแดนลับฝอซาน ใบหน้าอันสลับซับซ้อนดั่งหุบเขา ฉายแววโกรธแค้นที่ไม่ปรากฏให้เห็นบ่อยนัก
…
สมแล้วที่เป็นความลุ่มหลงของพระโพธิสัตว์ ข้าเพิ่งเสนอแนวคิดไป เขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจในทันที!
สำนักพุทธแห่งจิ่วโจวดูเหมือนจะยึดเอาความแข็งแกร่งการบรรลุธรรมเป็นพื้นฐาน รองลงมาถึงจะเป็นพระธรรม…อาจจะแตกต่างจากศาสนาพุทธนิกายหินยานในภพของข้า แต่ด้อยกว่าศาสนาพุทธนิกายมหายานอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ไม่มีแนวความคิดเกี่ยวกับศาสนาพุทธนิกายมหายาน
เมื่อเห็นว่าภิกษุเฒ่าตกตะลึงและดูเหมือนจะรู้แจ้ง สวี่ชีอันก็ประเมินว่าด่านนี้น่าจะผ่านแล้ว
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจู่ๆ ภิกษุรูปนั้นจึงเสียสติไป…”
“เป็นเพราะคำพูดของฆ้องเงินเมื่อครู่นี้เองหรือ”
“คำพูดไม่กี่คำทรงพลังขนาดนี้เชียวหรือ ไร้สาระน่า”
คนธรรมดาไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับ ‘พุทธมหายาน’ และ ‘พุทธหินยาน’ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความสับสนเล็กน้อยเมื่อเห็นพระภิกษุเสียสติไปอย่างกะทันหัน
ไม่ใช่ทุกคนที่ได้ยินคำพูดก่อนที่ภิกษุรูปนั้นจะสติหลุด
ในตอนนี้เอง ภิกษุเฒ่าใต้ต้นโพธิ์ก็ลืมตาขึ้น ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแห่งการเห็นธรรม พุทธวจนะไหลเวียนทั่วร่างไปโดยธรรมชาติ
“ขอบคุณประสกที่ชี้ทางสว่าง อาตมารู้แจ้งแล้ว” ภิกษุเฒ่ายิ้มพร้อมทั้งประนมมือ
เจ้าตื่นรู้แล้วจริงหรือ?! ไม่นึกไม่ฝันว่าวันที่ข้าพูดพล่ามไร้สาระ แล้วภิกษุชั้นสูงเกิดดวงตาเห็นธรรมจะมาถึง…ความรู้สึกของสวี่ชีอันซับซ้อน
ก่อนที่เขาจะได้อ้าปากตอบกลับ ภิกษุเฒ่าก็พูดต่อไปว่า “เมื่อพระมัญชุศรียังเป็นภิกษุระดับสี่ ก็เคยสงสัยว่าเหตุใด ตนจึงเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้
“ความลุ่มหลงนี้ติดอยู่ในใจมาเนิ่นนาน จนกระทั่งสิ้นอายุขัย ท่านก็ตระหนักได้ว่ามีพระพุทธเจ้าเพียงองค์เดียวในโลก และนั่นคือพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงตัดขาดจากอาตมาและบรรลุผลเป็นพระโพธิสัตว์
“อาตมาสถิตในแดนลับนี้มาหลายปีแล้ว จนแล้วจนรอดก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ยังนึกไม่ออกว่าเหตุใดจึงเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้”
ภิกษุเฒ่าจ้องมองสวี่ชีอัน แต่ก็คล้ายกับจะมองผ่านเขาไป เห็นภาพตนเองในแดนประจิมอันไกลโพ้น ในที่สุดเขาก็ประนมมือขึ้น และกล่าวกับตนเอง
“ข้าคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็คือข้า อมิตาพุทธ!”
สิ่งที่พระมัญชุศรียึดติดคือการเป็นอิสระจากลำดับขั้น เพื่อเป็นบุคคลผู้เคียงข้างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่บัดนี้ ในที่สุดเขาก็ได้รู้แจ้งแล้วว่า พระพุทธเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับลำดับขั้น
“ขอบใจประสกที่ชี้ทางสว่าง”
“ธรรมะของไต้ซือเป็นเลิศอยู่แล้ว หาใช่ความดีความชอบของข้า” สวี่ชีอันกล่าวด้วยความจริงใจ
คำพูดของเขาจุดประกายต่อการตื่นรู้ แต่การบรรลุธรรมได้นั้น เกิดจากการบำเพ็ญเพียรสั่งสมด้วยตัวของไต้ซือแห่งความลุ่มหลง จนรู้แจ้งปรุโปร่ง
เช่นเดียวกับคำสั้นๆ เมื่อครู่นี้ คนธรรมดารับฟังเข้าหูแต่ไม่เข้าใจ ทว่าสำหรับเหล่าภิกษุเสียงนั้นเป็นดั่งเสียงกลองยามค่ำ เสียงระฆังยามอรุณ เพราะพวกเขานั้นพร้อมด้วยความรู้ความเข้าใจ จนถึงขั้นต่อยอดความรู้นั้นในหัว จนเกิดการตื่นรู้
ทันใดนั้นก็บังเกิดสายลมในแดนลับ ภิกษุเฒ่ากลายเป็นควันสีน้ำเงินและสลายหายไป ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด
‘ซ่า ซ่า ซ่า…’
ต้นโพธิ์ไหวเอน มีผลโพธิ์สีเขียวสดงอกออกมาทีละผล แน่นขนัดอยู่บนกิ่งโพธิ์
ผลโพธิ์เปล่งแสงสีเขียวสุกใส มองก็รู้ว่าไม่ใช่ผลไม้ธรรมดา
ในแดนพุทธไร้ซึ่งสุรเสียง มีเพียงเสียงใบโพธิ์ส่งเสียง ‘ซ่าๆ’ เท่านั้น ขณะที่ข้างนอกแดนพุทธกำลังฮือฮากันยกใหญ่
บรรดาชาวเมืองผู้เฝ้ามองจนถึงตอนนี้ ไม่แม้แต่จะอึ้งหรือตกตะลึงอีกต่อไป เพราะพวกเขาคาดไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ
หากมองไม่ผิดและหูไม่เพี้ยนแล้วล่ะก็ ใต้เท้าฆ้องเงินผู้นี้ชี้ทางสว่างให้กับภิกษุเฒ่า ทำให้ท่านได้บรรลุธรรม ด้วยเหตุนี้ภิกษุเฒ่าจึงกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้ง
ทหารหนึ่งราย เบิกเนตรภิกษุสมณศักดิ์สูง ให้ท่านได้เห็นธรรมหรือ?!
ภาพแปลกประหลาดอัศจรรย์เช่นนี้ทำเอาชาวเมืองหลวงถึงกับลืมส่งเสียงโห่ร้องยินดี
“พูดอะไรน่ะ”
ณ ชั้นบนของร้านอาหาร ฉู่หยวนเจิ่นถามไต้ซือเหิงหย่วนที่อยู่ข้างๆ
“เห็นบุปผากลางม่านหมอก [2]เห็นบุปผากลางม่านหมอก…ใต้เท้าสวี่พูดได้ชัดแจ้งเหลือเกิน พูดได้ชัดแจ้งเหลือเกิน…”เหิงหย่วนไม่ได้ยิน เอาแต่พึมพำกับตัวเอง
คำพูดของสวี่หนิงเยี่ยนมีผลกระทบต่อชาวพุทธมากขนาดนี้เชียวหรือ ฉู่หยวนเจิ่นตกตะลึง
…
ด่านนี้ถือว่าผ่านแล้วสินะ… สวี่ชีอันปลื้มปริ่มใจ ตาจดจ้องผลโพธิ์อย่างไม่ละสายตา
ไปให้ถึงอารามบนยอดเขาก่อนแล้วค่อยว่ากัน! เขาเอ่ยในใจ
ขณะที่กำลังจะจากไป ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดังที่ดังกึกก้องไปทั่วฝอซาน
“พุทธมหายานคืออะไรและพุทธหินยานคืออะไร ประสกสวี่โปรดแถลงไขก่อนจากไป”
ด้านนอก ทุกคนต่างมองไต้ซือตู้เอ้อร์ด้วยความประหลาดใจ พระอรหันต์ผู้สง่างามเข้ามาแทรกแซงการประลองระหว่างคนสองคน ช่างเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย
แต่ในเวลานี้ ใบหน้าของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์นั้นเคร่งขรึมมากเสียจนทำให้ผู้คนคิดว่ากำลังเผชิญกับเรื่องร้ายแรงราวกับท้องฟ้าถล่ม ไม่กล้าส่งเสียงสบถสาบานทีเดียว
พุทธมหายานคืออะไรและพุทธหินยานนี่มันเรื่องอะไรกัน
ฟังไม่เห็นจะเข้าใจเลย
คนทั่วไปไม่เข้าใจ แต่ในหมู่ผู้ที่อยู่บนจุดสุดของอำนาจเมืองหลวง มีบางคนเผยปฏิกิริยาออกมาเล็กน้อย
เช่นเว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวาง
นี่มันเสียงของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์…โลกภายนอกได้ยินเสียงและมองเห็นการกระทำของข้าก็จริง แต่การเข้ามาแทรกแซงการประลองโดยตรงนี่มันอะไร
สวี่ชีอัน ขมวดคิ้วและพ่นลมหายใจเยือกเย็น “ขอถามไต้ซือ พระพุทธเจ้าคืออะไร”
“ก่อนสมัยพระศากยมุณีพุทธเจ้า เจ็ดหมื่นสองพันสามร้อยหกสิบแปดปี ไม่มีใครได้เป็นพระพุทธเจ้า หลังจากพระศากยมุณีพุทธเจ้า สามพันสี่ร้อยเก้าสิบเอ็ดปี ไม่มีใครได้เป็นพระพุทธเจ้า
“พระศากยมุณีพุทธเจ้าก็คือพระพุทธเจ้า ใครที่ไหนจะมาเป็นพระพุทธเจ้าได้!”
น้ำเสียงของไต้ซือตู้เอ้อร์เต็มไปด้วยคำถาม
ที่แท้ในโลกนี้ก็มีศาสนาพุทธมาแล้วสามพันสี่ร้อยเก้าสิบเอ็ดปี แล้วเหตุใดจึงไม่มีแนวคิดนิกายพุทธมหายานบ้าง
สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ข้อสรุปว่าดินแดนจิ่วโจวแห่งนี้ยึดเอาความแข็งแกร่งเป็นที่ตั้ง และถือระดับขั้นเป็นรากฐาน ใครแข็งแกร่งกว่าก็ได้เป็นใหญ่ ดังนั้นจึงมีการปิดกั้นการแสดงความคิดเกิดขึ้น
ในโลกของเขา ทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ปุถุชน ย่อมเกิดการปะทะกันทางความคิดตลอดเวลา
สิ่งแวดล้อมต่างกัน ทิศทางการพัฒนาย่อมต่างกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าจึงต้องคุยกับเจ้าว่าพุทธมหายานคืออะไร เอ่อ พุทธมหายานตามที่ข้าเข้าใจนะ… สวี่ชีอันกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ดังนั้น ในสายตาของชาวพุทธใต้หล้านี้พระพุทธเจ้าคือพระศากยมุณีพุทธเจ้า แต่พระศากยมุณีพุทธเจ้าหาได้เป็นพระพุทธเจ้าไม่ ในความคิดของข้า ความคิดนี้ช่างน่าขัน”
ประโยคนี้เป็นวาทกรรมที่ไม่มีใครเข้าใจยกเว้นภิกษุภายนอก
ภิกษุจิ้งเฉินอดไม่ไหวจึงพูดขึ้นว่า “น่าขันตรงไหน เจ้าจงไขให้กระจ่าง”
ไต้ซือตู้เอ้อร์เหลือบมองที่เขาโดยไม่พูดอะไร แล้วหันกลับไปมองสวี่ชีอันอีกครั้ง
“น่าขันจะตายไป ก็ลองดูโหรแห่งสำนักโหราจารย์เป็นตัวอย่างสิ ท่านโหราจารย์คือโหรอันดับหนึ่ง แต่โหรอันดับหนึ่งมิได้เป็นท่านโหราจารย์เสมอไป เรื่องนี้ควรตัดสินด้วยฉันทามติหรือ แต่ในสายตาชาวพุทธอย่างพวกท่าน พระพุทธเจ้าคือพระศากยมุณีพุทธเจ้า ไม่คิดว่ามันน่าขันหรือผิดแปลกบ้างหรือ
“พระพุทธควรจะเป็นตัวแทนของนิพพานสูงสุด มิใช่บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรอกหรือ”
คำพูดนี้ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก พระศากยมุณีพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนา เป็นพระพุทธเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องสักการบูชา
บุคคลผู้ประเสริฐระดับเทพเซียนผู้สูงส่งเช่นนี้ ก็ควรจะเป็นพระพุทธเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวมิใช่หรือ
แต่สิ่งที่สวี่ชีอันพูดนั้นก็ฟังดูมีเหตุผลเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เหล่าภิกษุจึงไม่อาจโต้เถียงได้อยู่พักหนึ่ง
สวี่ชีอันกล่าวต่อ “ดังนั้นข้าจึงมีคำถามใคร่ถามไต้ซือว่า แท้จริงแล้วพุทธศาสนาคืออะไร คือหนทางให้ได้มาซึ่งพลัง หรือเป็นแนวคิดอย่างหนึ่ง”
ใบหน้าของไต้ซือตู้เอ้อร์ยังคงถมึงทึง แต่ในแววตานั้นปราศจากความโกรธแค้น เขาพินิจพิจารณาถึงเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว “ถูกต้องทั้งสองประการ”
“ดังนั้นข้าจึงบอกว่า นี่คือความแตกต่างระหว่างพุทธมหายานและพุทธหินยาน” สวี่ชีอันพูดจาฉะฉาน
ภิกษุด้านล่างต่างมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง รู้สึกทรมานราวกับถูกรบกวนจิตใจ รู้สึกอยากฟังทฤษฎีของสวี่ชีอันให้จบในอึดใจเดียว
ณ หอดูดาว บนแท่นแปดทิศ
ท่านโหราจารย์เบิกตากว้างและกระซิบกระซาบ “ไอ้หนุ่มคนนี้นี่มันปากกล้าเสียจริง จบแล้ว จบแล้ว…”
จักรพรรดิหยวนจิ่งหันไปมองและตรัสถาม “ท่านโหราจารย์ ท่านว่าอะไรนะ”
ท่านโหราจารย์คลี่ยิ้ม “ฝ่าบาท สวี่ชีอันได้ถวายของกำนัลชิ้นใหญ่ให้พระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงขมวดคิ้ว สีพระพักตร์ดูสับสน
แต่ท่านโหราจารย์ก็ไม่ได้ตอบกลับอะไร
เว่ยเยวียนลุกขึ้นอย่างช้าๆ มือสองข้างกำแน่นภายใต้แขนเสื้อที่คลุมอยู่ ดูเหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เก่งกาจ…”
สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
เก่งกาจหรือ?! คุณหนูหวางมองด้วยความประหลาดใจ คิดจะเอ่ยถาม แต่นางก็ทำได้เพียงกลืนข้อสงสัยนั้นลงไป เพราะบิดาของนางนั้นกำลังจดจ่ออย่างมาก
“พุทธศาสนาในปัจจุบันยึดเอาความแข็งแกร่งเป็นที่ตั้ง และถือระดับขั้นเป็นรากฐาน เป้าหมายของผู้ที่ฝึกตน ล้วนเพื่อบรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์หรือพระโพธิสัตว์ กล่าวตามตรงก็คือการทำเพื่อตนเอง แต่การหลุดพ้นของสรรพสัตว์กลับถูกผลักไปเป็นเรื่องรอง ไต้ซือตู้เอ้อร์ ข้าพูดถูกต้องแล้วหรือไม่”
ไต้ซือตู้เอ้อร์เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วประนมมือขึ้น
ถือว่ายอมรับไปโดยปริยาย
“ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงเรียกพุทธศาสนาที่ยึดถือความแข็งแกร่งเป็นที่ตั้ง ถือระดับขั้นเป็นรากฐาน และยึดถือว่าพระศากยมุณีเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าว่าเป็นพุทธหินยาน” สวี่ชีอันมองขึ้นไปบนฟ้าและพูดเสียงดัง
“ไต้ซือตู้เอ้อร์ ท่านภิกษุทั้งหลาย ข้าพูดถูกต้องหรือไม่”
พระภิกษุรูปหนึ่งโต้กลับว่า “หากนี่คือพุทธหินยาน แล้วพุทธมหายานคืออะไรเล่า ที่เจ้าบอกว่าทุกสรรพสิ่งคือพระพุทธเจ้าน่ะหรือ ไร้สาระสิ้นดี”
“ที่ท่านรู้สึกว่ามันไร้สาระ ก็เพราะท่านนับถือพุทธหินยาน และยังยึดมั่นถือมั่นในระดับขั้นของท่าน ซึ่งถือเป็นการฝึกเพื่อตนเอง แต่ถ้าหากท่านถือเอาจิตเป็นที่ตั้งล่ะ”
“เอาจิตเป็นที่ตั้งหรือ”
ไต้ซือตู้เอ้อร์เอ่ยพระนามของพระพุทธเจ้า ประนมมือและกล่าว “ประสกโปรดชี้แนะ”
“ท่านคิดว่ามีพระพุทธเจ้าองค์เดียวในโลก พระพุทธเจ้าก็เป็นพระพุทธเจ้า เป็นไปไม่ได้ที่บุคคลอื่นจะได้เป็นพระพุทธเจ้า จะเป็นได้ก็แต่พระโพธิสัตว์หรือพระอรหันต์ แต่อย่าลืมสิว่าพระพุทธเจ้าประสูติเป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่” สวี่ชีอันพูดจาคมคาย
“ข้าคิดว่าทุกคนล้วนมีพุทธภาวะ เพียงแต่ยังหลงอยู่ในวังวนของวัฏสงสาร แต่เมื่อได้ฝึกตน เห็นแจ้งถึงสัจธรรมแล้วไซร้ ทุกคนล้วนสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้
“ไต้ซือ เห็นสัจธรรมย่อมได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!”
‘ตู้ม!’
ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าฟาดกลางเวหา ตามด้วยเสียงสวดภาษาสันสกฤตแผ่วเบาลอยมา
ทุกคนตกตะลึงเมื่อพบว่าร่างของไต้ซือตู้เอ้อร์เปล่งประกายด้วยแสงสีทองเรืองรองไปทั่วทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์
ในศาสนาพุทธถือว่าได้บรรลุธรรมแล้ว
เห็นสัจธรรมย่อมได้เป็นพระพุทธเจ้า เห็นสัจธรรมย่อมได้เป็นพระพุทธเจ้า…ไต้ซือตู้เอ้อร์ตกอยู่ในห้วงอัศจรรย์เนิ่นนาน เคลิบเคลิ้มเมามาย
มีเสียงเสียงหนึ่งกรีดร้องขึ้นมาในหัว ‘เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงได้เป็นพระพุทธเจ้า เหตุใดข้าจึงเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้’
ไม่ ทุกคนเป็นพระพุทธเจ้าได้
พระพุทธเจ้าองค์นี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าในระบบฝึกตน แต่เป็นพระพุทธเจ้าในจิต
คำพูดของสวี่ชีอัน สำหรับคนอื่นอาจจะเป็นเพียงธรรมะทั่วไป แต่สำหรับไต้ซือตู้เอ้อร์ผู้ฝึกตนตามหลักพุทธธรรมมาหลายปีดีดัก คำพูดนั้นเป็นเหมือนเสียงสนั่นเลื่อนลั่นที่ปลุกให้ตื่นจากห้วงภวังค์
พุทธศาสนายึดถือเอาความแข็งแกร่งเป็นที่ตั้งเท่านั้นหรือ
พระพุทธเจ้ามีเพียงพระศากยมุณีเท่านั้นจริงๆ หรือ
ไฉนจึงคับแคบเช่นนี้
หากเป็นเช่นนั้น แสงแห่งพุทธธรรมที่สาดส่องจิ่วโจว ก็เป็นเพียงคำพูดไร้แก่นสารเท่านั้น เมื่อใดที่ทุกคนสามารถบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ เมื่อนั้นแสงแห่งพุทธธรรมจะสาดส่องไปทั่วทั้งจิ่วโจวอย่างแท้จริง
นี่แหละคือพุทธธรรมของแท้
พระพุทธเจ้าเป็นตัวแทนของนิพพานสูงสุดในระบบศาสนาพุทธ แต่พระธรรมไม่ควรสงวนไว้แต่พระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว
แนวคิดของพุทธมหายานกำเนิดขึ้นแล้ว แนวคิดนิกายใหม่ก็ได้ปรากฏขึ้นใหม่เช่นกัน…
…
ภิกษุอื่นรูปอื่นแม้จะไม่บรรลุธรรม แต่ก็เกิดการหยั่งรู้ของตนเอง หรือแม้กระทั่งรู้สึกถึงการรู้แจ้งในบัดดล ดวงตามองเห็นพระธรรมที่แตกต่างกันไป มองเห็นแนวคิดใหม่ๆ มากมาย
ในหมู่ภิกษุทั้งหลาย ความรู้สึกของภิกษุจิ้งเฉินนั้นล้ำลึกที่สุด ถึงขั้นเคลิบเคลิ้มเมามาย
ในพื้นที่ของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เหล่าฆ้องทองคำได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาเบาๆ มาจากเว่ยเยวียนที่อยู่ในซุ้มไม้
“บรรลุก็ดี บรรลุก็ดี!” เว่ยเยวียนกล่าวเน้นย้ำทุกคำ
“วิเศษ วิเศษมาก!” สมุหราชเลขาธิการหวางลูบเคราของตนและคลี่ยิ้ม
หมายความว่าอย่างไร ใต้เท้าผู้ทรงอำนาจทั้งสองหัวเราะด้วยเรื่องอะไร การที่ไต้ซือตู้เอ้อร์บรรลุนิพพานนั้น เป็นเรื่องน่ายินดีงั้นหรือ
แม้ว่าสำนักพุทธและต้าฟ่งจะเป็นพันธมิตรกัน แต่บรรยากาศฟาดฟันในตอนนี้ ทั้งการเชือดเฉือนระหว่างกัน และการประลอง ก็เปรียบเสมือนเป็นศัตรูไปแล้วครึ่งตัว
ขุนนางบู๊บุ๋นทั้งหลายต่างไม่เห็นว่านี่จะเป็นเรื่องน่ายินดีตรงไหน
บนยอดหอดูดาว แท่นแปดทิศ
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพระสรวลเสียงดังลั่น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“สวี่ชีอันเสนอแนวคิดของพุทธมหายาน หากว่าไต้ซือตู้เอ้อร์ไม่บรรลุธรรมก็จบเห่ แต่ในเมื่อบรรลุแล้ว เขาต้องเอานิกายพุทธมหายานกลับไปเผยแพร่ที่แดนประจิมอย่างแน่นอน และย่อมนำไปสู่ความขัดแย้งน้อยใหญ่ระหว่างแนวคิดด้านพุทธธรรมอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อนั้นก็จะเกิดการโต้แย้งที่ไม่จบไม่สิ้นขึ้น และทำให้เกิดความแตกแยกในที่สุด…ฮ่าๆๆๆ”
พระองค์ไม่ได้หัวเราะร่าเช่นนี้มาหลายปีแล้ว
มีแต่ผู้ที่แข็งแกร่งเท่าเทียมกันเท่านั้นที่จะสามารถเป็นพันธมิตรกันได้ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแข็งแกร่งขึ้น และอีกฝ่ายอ่อนแอลง เมื่อนั้นจากมิตรก็ผันแปรเป็นศัตรู
ต้าฟ่งและสำนักพุทธก็ตกอยู่ในสภาวการณ์เช่นนั้น ยามชายแดนต้าฟ่งถูกชนเผ่าเถื่อนเหนือใต้รุกราน สำนักพุทธกลับนิ่งดูดาย
หากสำนักพุทธแตกแยกเป็นสองฝ่ายในอนาคต เช่นนั้นทั้งสองฝ่ายก็จะแตกแยกจนถึงขั้นที่ต้องห้ำหั่นกันเพื่อให้ต้าฟ่งสนับสนุนตนเอง เมื่อนั้นต้าฟ่งก็จะได้ยกสถานะตนเอง ทั้งยังมีผลพลอยได้ตามมาอีก
“สิ่งที่ท่านโหราจารย์กล่าวนั้นถูกต้อง ช่างเป็นของกำนัลที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ดีมาก ข้าพอใจกับของกำนัลแสนวิเศษจากสวี่ชีอันมาก”
ในซุ้มไม้ เหล่าขุนนางต่างเงยหน้าขึ้นมองสำนักโหราจารย์ด้วยความประหลาดใจ
“นั่นคือเสียงหัวเราะของฝ่าบาทหรือ?!”
“ฝ่าบาทหัวเราะอะไร มีอะไรน่าขำหรือ ประหลาดแท้ เว่ยกงกับสมุหราชเลขาธิการหวางทำตัวพิลึกเช่นนี้ ฝ่าบาทก็ยังทำตัวแปลกไปอีกคน”
…
“พุทธมหายาน พุทธมหายาน…”
ภิกษุเหิงหย่วนพึมพำกับตัวเองอย่างเหม่อลอย “ข้าก็เป็นพระพุทธเจ้าได้ จอมยุทธ์ภิกษุสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ ทุกชีวิตในใต้หล้าสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ สรรพสัตว์ทั้งหลาย หากเห็นสัจธรรมก็บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้”
“เจ้าสุนัขรับใช้พูดว่าอะไรนะ”
ยายตัวร้ายมองฮว๋ายชิ่งด้วยดวงตาเบิกกว้าง นางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงทำได้เพียงถามฮว๋ายชิ่งผู้ปราดเปรื่องเท่านั้น
“ข้าไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร แต่ข้ารู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร” ฮว๋ายชิ่งกล่าว
“ผลที่ตามมาหรือ” ดวงตาดั่งผลท้อของยายตัวร้ายกะพริบปริบๆ
“นับแต่นี้ไป สำนักพุทธจะแบ่งออกเป็นสองสาย คือพุทธสายมหายาน และพุทธสายหินยาน” ฮว๋ายชิ่งเผยรอยยิ้มพึงใจ
ในเวลาเดียวกัน สวี่เอ้อร์หลางก็อธิบายให้ฆ้องทองคำฟัง “นับแต่นี้ไป สำนักพุทธจะแบ่งออกเป็นสองสาย คือพุทธสายมหายาน และพุทธสายหินยาน”
ดวงตาของฆ้องทองคำเบิกกว้างทันที ไม่ต้องอธิบายให้ชัดเจนกว่านี้ พวกเขาก็รู้ความหมายในคำพูดของสวี่ซินเหนียนแล้ว และยังรู้ด้วยว่าเว่ยกงหัวเราะด้วยเหตุใด
เจียงลวี่จงประหลาดใจสุดขีด เสียงของเขาทุ้มต่ำและสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น “สะ สะ สำนักพุทธซวยแล้ว สวี่หนิงเยี่ยนทำอะไรลงไป เขาทำอะไรลงไป ฮ่าๆๆๆ”
เพียงคำพูดไม่กี่คำก็แบ่งพุทธออกเป็นมหายานและหินยานได้แล้ว…สวี่หนิงเยี่ยนทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์เหลือเกิน…เว่ยกง ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ท่านคาดการณ์ไว้หรือไม่
ผู้หญิงธรรมดาผู้มีหน้าตาสะสวย จู่ๆ นัยน์ตาของนางก็เป็นประกาย นางเกลียดชังสำนักพุทธ เกลียดเสียจนไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ ดังนั้นจึงจงใจส่งทหารระดับหกไปประลองกับภิกษุจิ้งซือเพื่อดับความหยิ่งผยองของสำนักพุทธ
น่าเสียดายที่คนของนางฝีมือไม่ถึง ไม่เพียงแต่ไม่สำเร็จ แต่ยังกลายเป็นขั้นบันไดให้อีกฝ่ายปีนป่ายสูงขึ้นไปอีก
วันนี้ที่นางเข้ามาดูการประลองในเขตหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ประการหนึ่งก็เพื่อความบันเทิง อีกประการคืออยากเห็นคนจากสำนักพุทธถูกย่ำยี และพ่ายแพ้ไปในการประลองนี้
สวี่ชีอันยังไม่ชนะ แต่ความสุขระดับนี้ก็เพียงพอให้นางกลับบ้านนอนกลิ้งตัวไปมาบนเตียงอย่างปีติได้แล้ว
‘ช่างเก่งกล้าสามารถอย่างแท้จริง…’ หญิงผู้นั้นคิด
ในตอนนั้นเอง ท่ามกลางเหล่าขุนนาง บางคนค่อยๆ ขบคิดถึงปริศนานี้ ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้าง ราวกับเห็นสาวงามตัวเปลือยเปล่าทอดกายรออยู่บนเตียง
ความประหลาดใจและความปีติยินดีนั้นยากที่จะซุกซ่อน
เมื่อขุนนางบู๊บุ๋นทั้งหลายมองสวี่ชีอันอีกครั้ง สายตาของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไป แม้ว่าคนคนนี้จะเข้าพวกกับขันที เป็นพวกน่ารังเกียจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาสามารถสร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนได้เสมอ
เมื่อใดที่เขาออกโรง ทุกคนย่อมรู้สึกอุ่นใจได้ทุกครั้งไป
……………………………………………………………..
[1] สำนวนจีน เปรียบเทียบเสียงตีกลองทำวัตรค่ำ และเสียงระฆังทำวัตรเช้าของพระสงฆ์ หมายถึงคำพูดที่ทำให้ตื่นรู้
[2] สำนวน หมายถึงสายตาฝ้าฟาง มองเห็นบางสิ่งไม่ชัดเจน