บทที่ 967 การเหยียดหยามจากสัตว์ประหลาด

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

ภายใต้สำแสงเจิดจ้าแยงตา สัตว์ประหลาดตัวนั้นจ้องพวกหลิงม่อด้วยดวงตาสีแดงก่ำ ทั่วร่างกายมันเต็มไปด้วยโคลน แต่ยังคงเห็นสีผิวที่ขาวจนแทบโปร่งใสของมันที่อยู่ใต้โคลนเหล่านั้น…แต่เทียบกับรูปลักษณ์ภายนอกของมัน สีผิวของมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ดวงตาของมันปูดโปนออกมานอกเบ้า จมูกเหลือแค่รูสองรูเท่านั้น แล้วยังมีริมฝีปากที่พลิกออกมาข้างนอก ที่คอยขยุกขยิกไปมาไม่หยุด

คอของมันหดหายไปทั้งส่วน แม้แต่ร่างกายก็หดเข้าหากัน จนแขนและขาเหลือแต่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ลำตัวที่ดูเป็นส่วนที่สมบูรณ์ที่สุดก็ผอมแห้งจนหนังหุ้มกระดูก ตอนที่มันหมอบต่ำยังดูเหมือนวัยกลางคน แต่พอมันยืนขึ้นกลับสูงเท่าน่องของคนทั่วไปเท่านั้น…หัวของมันอยู่ข้างหน้าทรวงอก มองแวบแรกเหมือนร่างกายท่อนบนที่ไร้หัวยืนอยู่ในโคลน…แถมยังเป็นร่างกายท่อนบนที่ส่งเสียงร้องได้ด้วย!

“ว๊ากกกก!” สัตว์ประหลาดตัวนั้นอ้าปากกรีดร้อง ดวงตาปูดโปนออกมานอกเบ้ามากกว่าเดิม มันถูกแสงสว่างของไฟฉายแยงตากะทันหัน แต่อยู่ต่อหน้าเหยื่อ มันก็ยังคงตื่นเต้นจนน้ำลายไหล…ของเหลวสีใสไหลยืดลงไปจนถึงหน้าอก จากนั้นก็หยดลงไปในโคลนดัง “ติ๋ง ติ๋ง”…

“ร้องหาแม่เอ็งหรอ!” หลิงม่อสะบัดมือเหวี่ยงหนวดสัมผัสสิบกว่าเส้นออกไปทันที ร่างกายมนุษย์ดีๆ กลับวิวัฒนาการจนกลายสภาพเป็นแบบนี้ เป็นความผิดบาปที่แม้แต่สวรรค์และมนุษย์ทั้งโลกต่างพากันเคียดแค้น! ถ้าจะหดขนาดนี้ก็ทำไมไม่หดให้เหลือแค่หัวไปเลยล่ะ! ไอ้การวิวัฒนาการที่ดูไม่ออกว่าเคลื่อนไหวด้วยวิธีไหนอย่างนี้ถือเป็นการดูถูกร่างกายมนุษย์อย่างแรง!

เขาก่นด่าในใจยาวเหยียดในอึดใจเดียว แต่สายตายังคงระแวดระวังเหมือนเดิม…สัตว์ประหลาดตัวนี้ตกลงมาจากข้างบน นับตั้งแต่วิวนาทีที่มันตกลงมา หลิงม่อได้พุ่งเป้าโจมตีไปที่หัวของมันไม่ต่ำกว่าสิบครั้งแล้ว เขาผสมผสานทั้งหนวดสัมผัสทางจิตแบบไร้รูปและในรูปสสารในการโจมตี…แต่นอกจากบาดแผลภายนอกเล็กน้อย มันก็ไม่มีปฏิกิริยาอย่างอื่นอีก

และเมื่อเวลาผ่านไปแต่ละวินาที มันก็เริ่มคุ้นเคยกับลำแสงของไฟฉายแรงสูงอย่างเห็นได้ชัด…

“ทั้งที่ใช้ชีวิตอยู่ใต้ดินมานานมาแล้ว ดวงตาของมันน่าจะเสื่อมสภาพไปมากแล้วแท้ๆ…ไม่คิดเลยว่านอกจากมันจะมีความสามารถในการมองเห็น แล้วยังรับมือกับแสงที่สว่างขึ้นกะทันหันอย่างนี้ได้อีก…”

เมื่อกี้หลิงม่อเพียงแค่ลองทำไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น…เมื่อระยะห่างของทั้งสองฝ่ายลดลงเรื่อยๆ หลิงม่อก็เริ่มรู้สึกถึงสายตาที่พุ่งออกมาจากความมืด และสิ่งที่ไม่เหมือนกับมนุษย์ประหลาด คือสายตานั้นจับจ้องมาที่เขาจริงๆ ซ้ำยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น กระทั่งดีใจด้วยซ้ำ

ทว่าเหตุผลจริงๆ ที่เขาเปิดไฟฉาย ก็เพื่อไม่ให้ถูกเจ้าสิ่งนี้ประชิดเข้ามาได้…การทำให้ตามันพร่ามัวเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น และเรื่องจริงก็ได้พิสูจน์ว่าวิธีการของเขาได้ผล ขณะที่สัตว์ประหลาดตัวนี้ถูก “ตบร่วง” ลงมา มันก็อยู่ห่างจากพวกเขาไม่ถึงสามสิบเมตรแล้ว…พอคิดว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้ถึงกับลอบเข้ามาใกล้ปากหลุมอย่างเงียบเชียบ หลิงม่อก็อดรู้สึกหนังศีรษะตึงชาไม่ได้

ตอนนี้พอเห็นสัตว์ประหลาดตัวนี้ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้หลิงม่อจะลอบทึ่งในใจ ทว่ากลับไม่ได้ลนลานแต่อย่างใด เขาดึงแขนสวี่ซูหานถอยหลังไปช้าๆ ขณะที่พูดเสียงเบาว่า “ต้องรีบจัดการมันให้เร็วที่สุด…เพราะข้างหลังนั่นยังมีอยู่อีก”

สวี่ซูหานอดมองไปข้างหลังสัตว์ประหลาดตัวนั้นไม่ได้ ในความมืดไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา และไม่มีเงาร่างปรากฏให้เห็นด้วย แต่ในเมื่อหลิงม่อพูดอย่างนี้ ก็แสดงว่าเขาจะต้องสัมผัสได้ผ่านวิธีอื่นแน่นอน…เวลาที่ผู้มีพลังจิตใช้ความสามารถพิเศษของพวกเขา ประสาทสัมผัสจะว่องไวและยอดเยี่ยมกว่าคนธรรมดา ไม่ได้หมายถึงประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่เป็นบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้…

หลิงม่อจะต้องชำนาญในด้านนี้อย่างแน่นอน…ถึงแม้ไม่รู้ว่าเขาอยู่กับเหล่าซอมบี้สาวพวกนั้นมาถึงตอนนี้ได้ยังไง แต่ระหว่างที่อยู่กับพวกเธอ มันต้องเป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่งสำหรับเขาแน่ๆ…เหมือนเมื่อกี้ตอนที่สัตว์ประหลาดตัวนี้ปรากฏตัว หลิงม่อกลับคว้าแขนเธอได้อย่างแม่นยำแม้อยู่ในความมืด…

“อย่าขยับ” หลิงม่อดึงแขนเธออีกครั้ง “สัตว์ประหลาดนั่นกำลังรอให้พวกเขาเราเข้าไปอยู่”

สวี่ซูหานสะดุ้งอีกครั้ง เธอข่มความกลัวแล้วมองอย่างละเอียดอีกครั้ง

ตามคาด…สัตว์ประหลาดตัวนั้นดูตื่นเต้นมาก แต่มันยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับไปไหน และไม่คิดกระโจนเข้ามาด้วย…ตรงกันข้าม ร่างกายของมันโยกเยกไปมา มือสองข้างที่ถูกหนีบไว้ใต้รักแร้ในองศาประหลาดๆ กวักเรียกพวกเขาไม่หยุด หลังจากที่เพิ่งถูกหลิงม่อโจมตี ร่างกายของมันเซถอยไปข้างหลังเล็กน้อย แต่ระหว่างที่มันโยกตัวไปมา มันก็กลับมายืนที่ตำแหน่งเดิมอย่างเงียบๆ…

สวี่ซูหานขนลุก เธออดนึกถึงลางสังหรณ์ที่เธอรู้สึกก่อนหน้านี้ขึ้นมาไม่ได้…ไม่คิดเลยว่าจะมีอะไรบางอย่างกำลังกวักมือเรียกพวกเธออยู่จริงๆ! และเสียง “ตึง ตึง” ที่ได้ยินมาตลอดก็ดังมาจากฝ่ามือของมัน ทุกครั้งที่มันกวักมือ กระดูกของมันราวกับกระทบกัน และส่งเสียงดังออกมานอกร่างกายมัน

หากมองข้ามหน้าตาสยดสยองของมันไป แล้วดูแค่ลักษณะรูปร่างของมันล่ะก็…

“ความจริงมันดูเหมือนลำโพงมากเลยนะ…” สวี่ซุหานพูดเสียงเบา

หลิงม่อชะงัก ไม่นานก็ลอบพยักหน้าเห็นด้วย…เหมือนจริงๆ!

“แม่เอ็ง โดนสัตว์ประหลาดลำโพงตามเล่นงานทั้งวันเลยหรอเนี่ย…”

ทั้งสองคนยังคงก้าวถอยหลังต่อไป ขณะที่สัตว์ประหลาดตัวนั้นก็โยกตัวเข้ามาเรื่อยๆ สายตาของมันจับจ้องมาที่หลิงม่อเป็นส่วนใหญ่ ปากที่เลอะโคลนเต็มไปหมดเปล่งเสียงร้อง “ว๊าก” ออกมาเป็นครั้งคราว…

“ทำไงดี ดูเหมือนมันกำลังถ่วงเวลาพวกเราอยู่…” สวี่ซูหานขมวดคิ้วถาม การโจมตีทุกรูปแบบไม่ได้ผล หากวู่วามเข้าใกล้ก็อาจติดกับดักของมันอีก สัตว์ประหลาดตัวนี้เหมือนกำลังเล่นสงครามประสาทกับพวกเขาอย่างไร้ความกลัว ที่แย่ที่สุดก็คือไม่ว่าพวกเขาจะรับมือไหวหรือไม่ พวกเขาก็ยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัดอยู่ดี

สวี่ซูหานบันดาลโทสะอย่างไม่รู้สาเหตุ สัตว์ประหลาดตัวนี้กำลังดูถูกคนอยู่ชัดๆ! แถมในสายตาของมัน ก็มีแววตาเยาะเย้ยและเหยียดหยามอยู่จริงๆ!

“ไม่เป็นไร…” หลิงม่อกลับพูดอย่างใจเย็น

สวี่ซูหานหันหน้าไปมองเขาเล็กน้อย แล้วก็ต้องอึ้งไปชั่วขณะ เพราะสายตาของหลิงม่อเอง ก็ดูเหมือนคนที่กำลังตื่นเต้นสุดขีดอยู่เหมือนกัน…

แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกับสัตว์ประหลาดตัวนั้น ในความตื่นเต้นของเขาแฝงไว้ด้วยสติปัญญาและความใจเย็น แล้วยังมีความมั่นใจเต็มร้อยอย่างหนึ่งผสมอยู่ด้วย…

“ถ้าหากฉันบอกให้วิ่ง เธอจะสามารถพาฉันวิ่งได้เร็วถึงระดับไหนในพริบตาเดียว?” ไม่รอให้เธอคิดอย่างละเอียดไปมากกว่านี้ อยู่ๆ หลิงม่อก็ถามขึ้นเสียงเบา

“สี่…หกวิร้อยเมตรล่ะมั้ง” สวี่ซูหานให้คำตอบที่ค่อยข้างรอบคอบกับเขา ความจริงแม้แต่เธอเองก็ยังไม่รู้ว่าความเร็วของตัวเองอยู่ในระดับไหน แต่ในสถานการณ์ที่ต้องพาหลิงม่อวิ่งไปพร้อมกัน เธอไม่มีทางแสดงพลังได้เต็มที่แน่นอน

“ไม่ต้องห่วงฉัน ขอแค่เพิ่มความเร็วอีกหนึ่งวิ แล้วทำให้เต็มที่!” หลิงม่อบอก

สวี่ซูหานอ้าปาก แต่พอเห็นใบหน้าด้านข้างของหลิงม่อ สุดท้ายเธอจึงพยักหน้าเงียบๆ จากนั้นก็ยกมือกดหัวไหล่หลิงม่อเบาๆ

“ถ้านายพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกฉันแล้วกัน” สวี่ซูหานบอก

หลิงม่อกระตุกมุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มบางเพียงเสี้ยววินาที “ได้”

“เขาคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่…” สวี่ซูหานหันไปมองสัตว์ประหลาดตัวนั้น ภายใต้แสงไฟฉาย มันอ้าปากกว้าง แกว่งไกวแขนขาและโยกตัวไปมา มองพวกเขาพร้อมกับน้ำลายที่ไหลเยิ้ม…

——————————————————