ตอนที่ 329 ข่มขู่
หลี่ซื่อที่มิรู้ถึงแผนการที่อยู่ภายในใจของอันหลิงเกอจึงทำได้แค่มองอันอิงเฉิงออกคำสั่ง ส่วนอันหลิงอีตอนนี้หน้าซีดราวกับกระดาษ ร่างที่บอบบางโอนเอนไปมาคล้ายคนที่ยืนมิมั่นคงและพร้อมล้มลงได้ตลอดเวลา
นางรู้สึกสงสารบุตรสาวจับใจจนต้องพุ่งเข้าไปกอดอันหลิงอีเอาไว้
“อีเอ๋อ แม่มิดีเอง เพราะแม่สั่งสอนเจ้ามิดี เจ้าจึงทำเรื่องที่ผิดพลาดเช่นนี้”
หลี่ซื่อกำลังแสร้งร้องไห้ฟูมฟายและใช้มือบีบอันหลิงอีอย่างแรง เล็บยาวของนางกดเข้าไปที่แขนของอันหลิงอีจนบุตรีร้องออกมาด้วยความเจ็บและน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย
แต่หลี่ซื่อทำราวมิได้ทำอันใดทั้งนั้น ยังแสร้งร้องไห้ต่อไป “ท่านพี่ เพราะข้ามิดีเอง หากท่านจักลงโทษอีเอ๋อก็ส่งข้าไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ ! ”
อันอิงเฉิงเดิมทีก็มีสีหน้ามิสู้ดีอยู่แล้ว บัดนี้ดูแย่ขึ้นไปอีก
ที่เขาส่งอันหลิงอีไปอยู่นอกจวนก็เป็นเพราะอันหลิงอีเกือบทำให้คุณหนูเฉินเสียชีวิต เขาจึงลงโทษนางเพื่อให้ราชครูได้เห็น
แล้วจักส่งหลี่ซื่อไปด้วยเหตุใด ? เพื่อให้คนที่อยู่ในวังเห็นน่ะหรือ ?
หลี่กุ้ยเฟยมิได้ใจดีอย่างที่คิด หากอยู่ดี ๆ เขาส่งหลี่ซื่อไปอยู่ที่อื่น ถ้าหลี่กุ้ยเฟยรู้ จักมิไปใส่ไฟเขาต่อหน้าพระพักตร์หรือไร ?
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้นริมฝีปากของอันอิงเฉิงก็เม้มเป็นเส้นตรง มีใบหน้าเคร่งเครียดแววตาดุดันขึ้นมาทันที
“ถ้าเจ้าอยากไปก็ไปกับอีเอ๋อแล้วกัน ! ”
คำพูดของหลี่ซื่อดูราวกับคนหมดหนทาง ทว่าแท้ที่จริงแฝงไว้ด้วยการข่มขู่
ด้วยเหตุนี้อันอิงเฉิงจึงรู้สึกโมโห ด้วยรู้ว่าหลี่ซื่อต้องการใช้หลี่กุ้ยเฟยมาข่มขู่เขา ช่างกล้าดีเสียจริง
อันอิงเฉิงส่งเสียงฮึดฮัดขึ้นมา ใบหน้าแสดงออกถึงความมิพอใจ
ที่เขายอมลงโทษอันหลิงอีตามแรงกดดันของราชครูก็เพราะอีกฝ่ายเป็นขุนนางเก่าแก่มาถึงสามรัชสมัย มีบารมีสูงส่ง ขุนนางเกือบครึ่งในราชสำนักล้วนเป็นศิษย์ของราชครูทั้งสิ้น
แต่หลี่กุ้ยเฟยเป็นใคร แม้ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทแต่ก็เป็นเพียงสนมที่อยู่ในวังหลังเท่านั้น
วันนี้เขาแค่จัดการเรื่องภายในจวนของตน หากต้องมาคอยเกรงใจสนมคนหนึ่ง แล้วต่อไปเขาจักยืนหยัดอยู่ในราชสำนักได้เยี่ยงไร ?
เมื่อได้ยินคำกล่าวของอันอิงเฉิง ฮูหยินผู้เฒ่าก็หัวเราะออกมาเสียงเย็นยะเยือก “ข้าเห็นว่าหลี่ซื่อและอีเอ๋อผูกพันรักใคร่กันดีเหลือเกิน เช่นนั้นก็ให้พวกนางไปด้วยกันเสียเลย จักได้คอยดูแลกัน”
หลี่ซื่อชอบก่อเรื่องนัก ถ้าเช่นนั้นก็ส่งนางไปให้ไกล ดูสิว่านางยังสามารถก่อเรื่องอันใดได้อีก !
“ท่านพี่…”
หลี่ซื่อร้องออกมาอย่างร้อนรน น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย “ข้าแค่เป็นห่วงอีเอ๋อ กลัวว่าจักเกิดอันใดขึ้นกับนาง จึงได้…”
อันหลิงเกอมองใบหน้าเสแสร้งของอีกฝ่าย ความเย็นชาในแววตาก็ทอประกายออกมา
“หลี่อี๋เหนียงเป็นอันใดไป น้องหญิงสามทำผิดก็ควรถูกลงโทษ หรือท่านคิดว่ารับโทษแทนน้องหญิงสามแล้วความผิดที่นางก่อเอาไว้ก็หายไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ดวงตาดำขลับของอันหลิงเกอทอประกายบางอย่างที่ทำให้ผู้คนมิกล้าสบตา มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน “อี๋เหนียง ท่านยอมไปอยู่เป็นเพื่อนน้องหญิงสามเพราะความรักและความเมตตา แต่ท่านพ่อมิสามารถปล่อยน้องหญิงสามไปเพียงเพราะเหตุผลนี้เด็ดขาด”
หลี่ซื่อแอบกัดฟันด้วยความแค้นใจ
นางเงยหน้าขึ้น ถลึงตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้ายใส่อันหลิงเกอปราดหนึ่ง
คนสารเลว เหตุใดจึงคอยซ้ำเติมดีนัก !
อันอิงเฉิงที่ทันเห็นสีหน้าของหลี่ซื่อถึงกับตกใจต่อแววตาที่ดูโหดเหี้ยมคู่นั้น
แต่เมื่อเขามองให้ดีอีกครั้งก็เห็นหลี่ซื่อมีท่าทีอ่อนโยนเหมือนปกติ มิเหลือร่องรอยอำมหิตเช่นเมื่อครู่แม้แต่น้อย
อันอิงเฉิงคิดว่าตนคงตาฝาด แต่ภายในใจเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป
เขามองหลี่ซื่ออย่างเบื่อหน่าย น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความรำคาญ
“เรื่องนี้ข้าตัดสินใจดีแล้ว อีเอ๋อต้องถูกส่งไปอยู่ที่เรือนจวงจื่อ หากเจ้ามิวางใจแล้วจักออกไปอยู่กับนางก็ได้”
คำกล่าวนี้หมายความว่าอันหลิงอีหมดทางรอดจากการลงโทษครั้งนี้
หลี่ซื่อจึงหายใจแรงขึ้น เห็นได้ชัดว่านางก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน
ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงได้สติแล้วตอบกลับมาอย่างเก้อเขินว่า “หากมิใช่เพราะมีงานต้องคอยจัดการหลายอย่าง ข้าก็อยากไปกับอีเอ๋อเหมือนกันเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอยิ้มออกมาจนตาหยี ก่อนจักกล่าวออกมาอย่างมีน้ำใจ “หลี่อี๋เหนียงมิต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก หากเป็นเรื่องในจวนย่อมมีคนช่วยท่านจัดการอยู่แล้ว”
“ท่านย่าและข้าก็สามารถช่วยท่านได้ นี่ยังมินับอาสะใภ้รองกับอาสะใภ้สามอีก”
ช่วยอันใดกัน ? จักมายึดอำนาจในการดูแลจวนไปจากมือนางสิท่า
หลี่ซื่อทำได้แค่ยิ้มออกมา ก่อนแสร้งหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา “เรื่องพวกนี้ข้าทำมาสิบกว่าปีแล้ว หากอยู่ ๆ ส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากับเกอเอ๋อทำก็เกรงว่ามิเหมาะสม”
อันหลิงอีที่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้างก้มหน้าฟังคำบ่ายเบี่ยงของหลี่ซื่อ นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกมิพอใจมารดาขึ้นมา
นางกำลังโดนส่งไปอยู่นอกจวนอยู่แล้ว นอกจากท่านแม่มิช่วยขอร้องให้แถมยังมัวสนใจอำนาจในจวนอยู่ได้
หรือท่านแม่มิเคยห่วงเลยว่าถ้านางไปอยู่ที่เรือนจวงจื่อคนเดียวจักเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ?
นางรู้สึกน้อยใจขึ้นมาจึงทำให้แววตาที่มองหลี่ซื่อมิได้สนิทสนมเหมือนอย่างเคย พร้อมทั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ท่านพ่อ ลูกเป็นคนทำผิด จักลากท่านแม่เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยเหตุใดเจ้าคะ ? ”
นางมิพอใจหลี่ซื่อ แต่หลี่ซื่อพาลคิดว่าอันหลิงอีต้องการช่วยพูดให้นางจริง ๆ ภายในใจจึงรู้สึกซาบซึ้งอยู่มิน้อย
ขณะที่กำลังจักไปกุมมือของอันหลิงอีกลับพบว่าอีกฝ่ายชักมือหนีทันที
ใบหน้าของหลี่ซื่อจึงแข็งขึ้นมาในพริบตา แววตาที่มองอันหลิงอีแฝงไว้ด้วยความสงสัย
แต่สีหน้าของอันอิงเฉิงดีขึ้นมาเล็กน้อย เขามองไปยังอันหลิงอีและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มิแข็งเกินไปว่า
“อีเอ๋อ กลับไปแล้วก็เตรียมข้าวของให้เรียบร้อย หลังผ่าน 1 เดือนไปแล้ว พ่อจักไปรับเจ้ากลับมาเอง”
เมื่อได้รับคำยืนยันจากอันอิงเฉิง อันหลิงอีก็แสร้งฝืนยิ้มออกมาราวกับเด็กที่ว่านอนสอนง่าย “ลูกขอขอบพระคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ”
ส่วนอันหลิงเกอที่เห็นอันหลิงอีรับคำอย่างว่าง่าย มิได้ร้องตะโกนโวยวายเช่นเมื่อครู่อีกก็ทำให้นางอดเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจมิได้
ดูจากนิสัยของอันหลิงอีแล้ว โดนลงโทษเช่นนี้มิน่ายอมสงบได้โดยง่าย
ดวงตาที่เป็นประกายของนางจ้องไปยังอันหลิงอีอยู่ครู่หนึ่ง แต่มิเห็นอันใดผิดปกติจึงเบนสายตากลับมา เพียงแต่ภายในใจยังรู้สึกว่าต้องคอยระวังเอาไว้
หลังเรื่องที่อันหลิงอีถูกส่งไปอยู่เรือนชนบทได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงแสดงท่าทีเมื่อยล้าออกมาจนสาวใช้ข้างกายสังเกตเห็น “ฮูหยินผู้เฒ่านั่งนานถึงเพียงนี้ เหนื่อยหรือยังเจ้าคะ ? ”
เดิมทีสุขภาพของฮูหยินผู้เฒ่าถือว่าแข็งแรงดี แค่นั่งครู่เดียวย่อมมิทำให้นางรู้สึกเหนื่อยได้
แต่วันนี้นางโกรธจนหมดสติและเพิ่งได้รู้สึกสบายใจขึ้นมา จึงรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าปกติ
คนอื่นเมื่อได้ยินที่สาวใช้กล่าวก็ทยอยขอตัวลากลับไปที่เรือนของตน
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ มู่ซื่อจื่อสั่งคนนำจดหมายมาให้ท่านเจ้าค่ะ ! ”