บทที่ 406 ปวดหลัง
บทที่ 406 ปวดหลัง
“ผู้ชายคนนี้เป็นคนเริ่มก่อน! ทุกคนเป็นพยานได้ รีบจับเขาเร็วสิ!”
เสิ่นเฉียงเหลือบตาขึ้นมองพร้อมตวาดด้วยความโมโห
เสิ่นเฉียงพูดด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส ขอเพียงแค่ลากอีกฝ่ายไปสถานีตำรวจได้ จากนั้นด้วยฐานะทางการเงินของครอบครัว เขาก็สามารถส่งอีกฝ่ายเข้าคุกทันที
อวี้ฮ่าวหรานยังไม่ทันโต้แย้ง ผู้คนรอบ ๆ ต่างพูดเข้าข้างอวี้ฮ่าวหรานทีละคน
“โกหก! ผมยืนยันได้ว่าสุภาพบุรุษคนนี้เป็นคนดี! พวกคุณต่างหากที่เป็นคนเริ่มลงมือทำร้ายพวกเรา!”
“ถูกต้อง! เราเห็นทุกอย่าง ทีนี้คุณยังจะแก้ตัวอีกไหม?”
“…”
ผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนต่างพูดยืนยัน ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปแล้ว พวกเขาจึงไม่กลัวอีกฝ่ายต่อไป
ไม่ช้าเรื่องทุกอย่างก็คลี่คลาย
ผู้คนมากมายเต็มใจเป็นพยานให้อวี้ฮ่าวหราน เขาจึงสามารถปลีกตัวกลับได้อย่างรวดเร็ว
หลิวว่านฉิงเดินออกไปส่งอีกฝ่ายที่ข้างนอกห้องพักผู้ป่วย
“ขอโทษนะคะ…คืนนี้…ฉันไม่ควรโทรไปรบกวนคุณเลย”
หลิวว่านฉิงไม่คุ้นชินกับการขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ถ้าไม่ตกอยู่ในสถานการณ์คอขาดบาดตาย เธอจะไม่โทรหาอีกฝ่ายเด็ดขาด
แต่เนื่องจากอีกฝ่ายช่วยชีวิตเธอไว้หลายครั้ง หลิวว่านฉิงจึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณเขามากมาย
“ในอนาคต… ถ้าคุณมีเรื่องมีให้ช่วยเหลือ ฉันจะช่วยสุดความสามารถเลยค่ะ”
เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนให้คำมั่น
ทันทีที่พูดจบ หลิวว่านฉิงก็อยากจะหัวเราะตัวเอง
ชายหนุ่มที่เพียบพร้อมอย่างเขาจะขอความช่วยเหลือจากเธอได้ยังไง?
“ครับ”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ใส่ใจมากนัก เขาตอบตกลงด้วยท่าทีผ่อนคลาย
ไม่นานทั้งสองคนก็เดินมาถึงประตูโรงพยาบาล ตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว อากาศข้างนอกจึงเย็นลงอย่างมาก
หลิวว่านฉิงลูบเส้นผมที่ยุ่งเหยิง จากนั้นแอบมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างอดไม่ได้ เธอไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนแข็งแกร่งและสามารถพึ่งพาได้อย่างนี้มาก่อน
หลังจากเรียบจบ เธอต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินจำนวนมากมาใช้รักษาแม่ เธอจึงไม่มีโอกาสได้ติดต่อกับคนอื่น ๆ มากเท่าที่ควร
ในอดีตเธอต้องหาเงินมาจ่ายหนี้กู้ยืมเรียน และตอนนี้ต้องหาเงินมารักษาแม่
ช่วงครึ่งปีหลังจากจบการศึกษา ในแต่ละเดือนเธอต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้เงินหลายพันหยวน หลิวว่านฉิงจึงไม่ได้สุงสิงกับใครเลย
ตอนนี้ดูเหมือนว่าอวี้ฮ่าวหรานจะนึกอะไรบางอย่างได้
“จริงสิ ผมจำได้ว่าคุณเพิ่งเรียนจบใช่ไหมครับ?”
“คะ?”
หลิวว่านฉิงงุนงงเล็กน้อย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ อีกฝ่ายถึงถามอย่างนี้
“ใช่ค่ะ ฉันเพิ่งเรียนจบปีนี้”
ความจริงแล้วหลังจากจบการศึกษาหกเดือน เธอก็ทำงานเป็นครูสอนเปียโน ซึ่งเงินเดือนที่ได้รับไม่พอใช้ด้วยซ้ำ
ถ้าไม่ใช่เพราะถวนถวนชนะเลิศอันดับหนึ่ง เธอคงไม่มีเงินจ่ายค่าผ่าตัดแม่ที่ราคาสูงถึงเจ็ดพันหยวน
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นคุณอยากทำงานในบริษัทผมไหม?”ชายหนุ่มถามอย่างไม่คาดหวัง
“ผมจะปฏิบัติกับคุณอย่างยุติธรรมแน่นอนครับ”
แค่มองเพียงแวบเดียว เขารู้ทันทีว่าหญิงสาวคนนี้ต้องผ่านมรสุมชีวิตมาอย่างหนักหน่วงแน่นอน
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ในเวลาคับขัน เธอคงเสียรู้ให้เสิ่นเฉียงไปแล้ว
“หือ? เอ่อ…แต่ฉัน… ไม่มีประสบการณ์มากมายขนาดนั้นนะคะ”
หลิวว่านฉิงอดตกตะลึงไม่ได้ เมื่อพิจารณาจากคำร่ำลือที่ได้ยินมาก่อนหน้า บริษัทของเขาเป็นบริษัทขนาดใหญ่
แถมมหาวิทยาลัยที่เธอเลือกเรียนก็เป็นมหาวิทยาลัยขนาดเล็ก ไม่มีชื่อเสียงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าพรุ่งนี้คุณอยากไปทำงานที่เครือฮ่าวหราน คุณสามารถโทรบอกผมได้ทุกเมื่อ”
อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจว่าเธอจบการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงหรือไม่ เพราะมันเป็นแค่กระดาษแผ่นหนึ่ง
และที่สำคัญการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว
พูดจบ เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมองเวลา และพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืน
“ดึกมากแล้ว คุณกลับไปหาคุณแม่เถอะครับ”
หลังจากพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เขาก็หันหลังกลับแล้วเดินออกไปทันที
ลมหนาวส่งเสียงหวีดหวิว มีเพียงหลิวว่านฉิงที่ยืนอยู่ข้างหน้าประตูโรงพยาบาล เธอจ้องร่างสูงโปร่งที่เดินจากไปขณะตกอยู่ในภวังค์
“เขาเป็นคนยังไงกันแน่?”
ขณะพึมพำ เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาในหัวใจ
เวลาเที่ยงคืน
อวี้ฮ่าวหรานเพิ่งกลับมาถึงบ้าน หลี่หรงยังคงไม่เข้านอน
เธอนอนอยู่บนโซฟาอย่างสบายอารมณ์ สวมชุดนอนผ้าไหมตัวสั้นเผยให้เห็นผิวขาวเนียน
ทีวีตรงหน้าเธอกำลังฉายฉากสะเทือนอารมณ์
“…คุณไม่เข้าใจฉันเลยสักนิด คุณเปลี่ยนไปแล้ว! คุณเปลี่ยนไปเป็นคนที่ฉันไม่รู้จัก ฉันว่ามันถึงเวลาที่เราต้องเลิกกันแล้ว…”
“… คุณทำแบบนี้ได้ยังไง? พวกเรายังไม่ได้ไปเที่ยวในที่ที่เราสองคนอยากไปเลย คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง…”
เสียงโต้เถียงของตัวละครชายและหญิงดังก้องภายในห้องนั่งเล่นที่เงียบสงัด
ดูเหมือนว่าหลี่หรงกำลังจดจ่ออยู่กับซีรีส์ เธอจึงไม่ได้สังเกตว่าอวี้ฮ่าวหรานกำลังเดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งเขาเดินไปที่โซฟา อีกฝ่ายจึงตกใจอย่างมาก
“เอ๊ะ? พี่เขย ทำไมพี่กลับมาเร็วจัง”
พูดจบ ร่างกายบอบบางของเธอก็เขยิบไปข้าง ๆ จนเกิดที่ว่างขนาดใหญ่
อวี้ฮ่าวหรานนั่งลงตรงที่ว่าง เขาเห็นว่าอีกฝ่ายสวมชุดผ้าไหมตัวสั้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากร่างกายของเธอลอยมาปะทะเข้ากับจมูกเขาไม่ขาดสาย
ชายหนุ่มสัมผัสได้ทันทีว่าลมหายใจของตัวเองอุ่นร้อนขึ้น เขาถอนหายใจเมื่อร่างกายตอบสนองตามสัญชาตญาณดิบที่อยู่ภายในตัว
ถ้ามีคนนำกลิ่นหอมจากตัวอีกฝ่ายไปสกัดเป็นน้ำหอม มันจะต้องเป็นที่นิยมไปทั่วโลกแน่นอน
“เสร็จธุระแล้วเหรอคะ?”
เมื่อเห็นว่าพี่เขยไม่ตอบคำถาม หลี่หรงจึงหันมองเขา
“อืม เรื่องเล็กน้อยน่ะ”
เนื่องจากเป็นเรื่องของผู้หญิงอีกคน เพื่อเลี่ยงความไม่พอใจของน้องสาวภรรยา เขาจึงเลือกที่จะไม่พูดถึงมัน
“อืม อ๊ะ…”
ขณะที่หลี่หรงกำลังจะลุกยืนขึ้น เธอรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณเอว
“พี่เขย… เหมือนว่าหลังฉันจะเป็นตะคริว…” นิ้วเรียวยาวของเธอบีบเคล้นบริเวณเอว
อวี้ฮ่าวหรานพูดไม่ออก…
“เธอยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ แล้วทำไมถึงเป็นตะคริว?”
“เอ่อ…ยังไงฉันก็ปวดหลังอยู่ดี!”
หลี่หรงบีบเคล้นบริเวณสองสามครั้ง ก่อนทำท่าบิดขี้เกียจ แต่ดูเหมือนว่าอาการปวดจะยังไม่ทุเลา
“ไม่รู้ล่ะ หลังจากบริการทั้งสองบริษัทตลอดหลายวันนี้ ฉันก็แทบจะหมดแรง พี่ช่วยนวดให้ฉันหน่อยนะ”
พอพูดจบ ร่างบางก็โน้มตัวเข้ามาหาพี่เขยพร้อมแสดงสีหน้าน่าสงสาร
“พี่เขย…ฉันปวดหลัง”
อวี้ฮ่าวหรานพูดไม่ออก หญิงสาวคนนี้ไม่รู้ตัวเลยว่าเธอมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามมากขนาดไหน!
เมื่ออยู่นอกบ้านเขามักจะทำตัวเย็นชาและห่างเหินกับคนอื่นเสมอ แต่ทำไมเมื่ออยู่ในบ้านเขากลับปฏิเสธหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ไม่ได้?
“ก็ได้ ๆ พี่จะนวดให้เอง…”
เขาไม่อาจต้านทานท่าทางออดอ้อนของอีกฝ่ายได้ ถ้าปฏิเสธ มีหวังหลี่หรงคงโกรธเขาไปจนตาย
“เย้!”
หลี่หรงมีท่าทางดีใจอย่างมาก ก่อนนั่งหันหลังให้เขา
อวี้ฮ่าวหรานเอื้อมมือไปแตะเอวของอีกฝ่ายอย่างจำใจ เขารับรู้ถึงสัมผัสอันอ่อนนุ่มภายใต้ชุดนอนผ้าไหมทันที
จากนั้นก็จับเอวอันอ่อนนุ่มด้วยมือทั้งสองข้าง