ตอนที่ 239-2 ความโกลาหลในคืนวันอภิเษก

ชายาเคียงหทัย

เฟิ่งจือเหยาเอ่ยอย่างจนใจว่า “พี่ฉิน วิชาตัวเบาของข้าน้อยก็ไม่เลวนักนะ แล้วสัญญาณมือเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร”

ถึงแม้เฟิ่งจือเหยาจะเคยสัมผัสกับหน่วยกิเลนมาอยู่บ้าง แค่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจวิธีการเคลื่อนไหวของพวกเขานัก

ฉินเฟิ่งเอ่ยเรียบๆ ว่า “เป็นภาษามือ พระชายาให้พวกเขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม สำรวจความเป็นไปที่เกิดขึ้นด้านใน พวกเขาบอกว่า ทางนั้นเรียบร้อยดี”

เฟิ่งจือเหยาพ่นลมหายใจออกทางจมูก “จำเป็นต้องวุ่นวายเพียงนี้เชียวหรือ ยอดฝีมือเขาก็บุกกันเข้าไปเลยทั้งนั้น” หากจะรีบเข้าไปช่วยคนแล้วมัวแต่มาทำกันเช่นนี้ กับข้าวคงเย็นหมดเสียก่อน

ฉินเฟิงปรายตามองเขาเรียบๆ “เช่นนั้นยอดฝีมือถึงได้ตายกันเร็วอย่างไรเล่า พระชายากล่าวไว้ว่า ในหลายคราถึงแม้การสละชีวิตจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ชีวิตของพลทหารทั่วไปก็คือชีวิต ต่อให้ไม่อาจหลีกเลี่ยงก็ควรลดให้เหลือน้อยที่สุด”

เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป ได้แต่เอามือลูบจมูกอย่างพูดไม่ออก

ไม่ทันไรหลังจากนั้น ก็มีร่างร่างหนึ่งกระโดดลงมาจากหลังคาด้านในห้อง ส่งสัญญาณมือเพียงสั้นๆ ฉินเฟิงก็ลุกขึ้นเอ่ยทันทีว่า “ไปเร็ว ด้านในไม่ใช่นักฆ่า น่าจะเป็นคนที่มาช่วยองค์หญิงฉางเล่อเช่นกัน”

กว่าทั้งสองคนจะเข้าไปถึงตำหนักบรรทมที่อยู่ด้านในสุด ด้านหน้าตำหนักก็กำลังต่อสู้กันอย่างอุตลุดแล้ว

เฟิ่งจือเหยากวาดตามองไป ก็ไม่เห็นว่าพวกเขาทั้งสี่ซ่อนตัวอยู่ที่ใด

เยี่ยหลีไม่รู้มาปรากฏตัวข้างกายทั้งสองตั้งแต่เมื่อใด เอ่ยถามว่า “ด้านล่างนั่นเป็นคนตระกูลฮว่าหรือ”

สายตาเฟิ่งจือเหยาดูซาบซึ้งใจ มองนิ่งไปยังคนที่ต่อสู้อยู่ด้านล่าง “น่าจะใช่ นอกจากตระกูลฮว่าแล้ว ข้าคิดไม่ออกว่ายังมีผู้ใดจะมาช่วยองค์หญิงฉางเล่ออีก เพียงแต่ เหตุใดพวกเขาต้องรอจนถึงยามนี้ถึงจะลงมือช่วยด้วย”

ไม่ว่าอย่างไรกรรช่วยนางระหว่างทางก็สะดวกกว่าการเข้ามาช่วยถึงในวังหนานจ้าวกระมัง

“ย่อมต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้พวกเขาสามารถเข้ามาช่วยได้แค่เพียงในวังหนานจ้าวเท่านั้น” เยี่ยหลีเอ่ย “เข้าไปดูองค์หญิงฉางเล่อ ฉินเฟิง เจ้าคอยดูที่นี่ไว้”

ฉินเฟิงพยักหน้า “พระชายาโปรดวางใจ”

การจะหลบหลีกสายตาขององครักษ์จำนวนมากที่อยู่ในตำหนักเพื่อเข้าไปยังตำหนักบรรทมนั้นย่อมไม่ง่าย ดังนั้นเยี่ยหลีจึงมิได้เข้าไปด้วย แต่พาเฟิ่งจือเหยาเปลี่ยนจุดที่อยู่บนหลังคา เมื่อได้จุดที่แน่นอนแล้ว จึงชี้ลงด้านล่าง “ที่นี่คือวังบรรทมของหนานจ้าวอ๋อง”

เยี่ยหลียกกระเบื้องแก้วบนหลังคาออกอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทำเสียงดังอันใดแม้แต่น้อย แล้วภาพภายในตำหนักก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาของพวกเขา

จุดที่เยี่ยหลีเลือกเป็นทำเลที่ดียิ่งนัก มองเฉียงลงไป ก็เห็นตำหนักบรรทมกว่าครึ่งตำหนัก ส่วนคนที่อยู่ด้านใน ด้วยเพราะถูกคานห้องบังไว้ นอกเสียจากจะเดินมาตรงกับจุดที่พวกเขาอยู่แล้ว ก็ยากที่จะมองเห็นว่าบนหลังคาห้องของตนมีรูโหว่อยู่

เฟิ่งจือเหยามองเยี่ยหลีที่แทรกตัวผ่านรูบนหลังคาลงไปด้านล่าง ลงยืนที่คานห้องอย่างไร้ซุ่มเสียง โดยที่คนที่อยู่ในห้องไม่ทันรู้ตัวเลยแม้แต่น้อย

หนานจ้าวอ๋องมององค์หญิงฉางเล่อที่นั่งอยู่บนฟูกห่างไปไม่ไกลด้วยใบหน้าบึ้งตึง ในดวงตามีแววแห่งความหื่นกระหายและความโกรธเกรี้ยวระคนดุดัน

นี่เป็นองค์หญิงสายหลักของต้าฉู่ ถึงแม้อายุจะยังไม่ถือว่าโตนัก แต่กลับเป็นสาวน้อยที่งดงาม หากผ่านไปอีกสักสองปี เชื่อว่านางจะต้องงดงามยิ่งกว่าบุตรสายที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งหนานจ้าวอย่างองค์หญิงซีสยาอย่างแน่นอน อันที่จริงองค์หญิงเช่นนางนี้ เป็นไปได้ยากที่จะได้รับตัวนางเข้ามาในวัง แต่ไหนแต่ไรมาในประวัติศาสตร์ น้อยนักที่ต้าฉู่จะส่งองค์หญิงไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์หญิงที่เป็นองค์หญิงสายหลัก ถึงแม้เขาจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ว่าเหตุใดฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ถึงได้มอบองค์หญิงที่มีเกียรติสูงสุดให้กับเขา แต่ของขวัญชิ้นนี้ ก็ทำให้เขาพอใจเป็นอย่างยิ่ง

องค์หญิงฉางเล่อที่นั่งอยู่บนฟูก จ้องมองประตูตำหนักที่ปิดสนิทอยู่ด้วยความตื่นตระหนก กำมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อไว้แน่น

หนานจ้าวอ๋องจ้องนางเขม็ง โดยไม่สนใจนักฆ่าที่ด้านนอกตำหนักเลยแม้แต่น้อย สายตาของเขาที่จ้องเขม็งไปที่ใบหน้าอันงดงามขององค์หญิงฉางเล่อ มีแววหื่นกระหายอย่างอดรนทนไม่ได้ “ช่างเป็นสาวน้อยที่งดงามยิ่งนัก องค์หญิงแห่งต้าฉู่ช่างไม่เหมือนผู้ใดเลยจริงๆ เจ้าไม่ต้องกังวลนักฆ่าที่ด้านนอกหรอก อย่าว่าแต่จำนวนเพียงสิบกว่าคนเลย ต่อให้มีมาอีกสิบเท่า ก็อย่าคิดว่าจะรอดออกไปจากวังหนานจ้าวเลย

องค์หญิงฉางเล่อตัวแข็งเกร็ง ดวงตาตื่นตระหนกหันมองไปทางประตู ในที่สุดก็มีแววร้อนใจให้ได้เห็น

เมื่อเห็นนางสีหน้าเปลี่ยนไป หนานจ้าวอ๋องก็ยิ่งได้ใจ “ฮ่าๆ…สาวน้อยคนสวยของข้า ยอมข้าเสียดีๆ เถิด ขอเพียงเจ้าเชื่อฟังเป็นอย่างดี ข้าจะยอมให้พวกคนข้างนอกนั่นเหลือศพสวยๆ ไว้”

องค์หญิงฉางเล่อกัดฟัน แล้วจู่ๆ นางก็ลุกขึ้นจะพุ่งตัวออกไปด้านนอก

หนานจ้าวอ๋องมีหรือจะปล่อยให้นางออกไป เขายื่นมือไปดึงนางไว้ มือข้างหนึ่งจับแขนนางไว้มั่น “สาวน้อยคนสวย จะรีบร้อนไปไย…ฮ่าๆ…”

องค์หญิงฉางเล่อสะบัดแขนดิ้นๆ ไม่หยุด แต่นางเป็นเพียงเด็กสาวที่บอบบาง จะไปสู้แรงหนานจ้าวอ๋องได้อย่างไร แขนข้างที่จับดูจะขยับเขยื้อนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย สีหน้านางก็เริ่มแสดงออกว่าเจ็บปวด นางจึงตัดสินใจว่าจะไม่วิ่งออกไปด้านนอกอีก เอ่ยตะโกนเสียงดังขึ้นแทนว่า “ไม่ว่าคนที่ด้านนอกจะเป็นผู้ใด ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าช่วย รีบหนีไป!”

คนที่ต่อสู้ดูจะได้ยินเสียงของนาง จึงมีคนเอ่ยตอบกลับมาทันทีว่า “องค์หญิง ข้าน้อยจะต้องช่วยท่านออกไปให้ได้!”

“หนีไปให้หมด ! ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าช่วย!” ดวงตาคู่งามขององค์หญิงฉางเล่อมีน้ำตาไหลออกมา พลางตะโกนเสียงเข้ม

เมื่อเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายอย่างได้ใจของหนานจ้าวอ๋อง และใบหน้าที่ยื่นเข้ามาหาตน ใบหน้าน้อยๆ อันงดงามขององค์หญิงฉางเล่อก็ดูจะตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด

องค์หญิงฉางเล่อยกมือขวาที่เป็นอิสระอยู่ขึ้น ประกายเย็นวาบวาดขึ้นจากแขนเสื้อนาง ในมือองค์หญิงฉางเล่อมีกริชที่เป็นประกายเย็นวาบเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอัน ก่อนแทงลงไปยังมือหนานจ้าวอ๋องที่จับตนไว้อย่างไม่ลังเล

หนานจ้าวอ๋องมีหรือจะยอมให้นางแทงตนได้ รีบปล่อยมือออก ทำให้องค์หญิงแทงได้เพียงความว่างเปล่า

ไม่คิดว่าสตรีที่แบบบางตรงหน้าจะใจกล้าถึงเพียงนี้ หนานจ้าวอ๋องเปลี่ยนจากอับอายกลายเป็นโกรธจัด สะบัดมือตบหน้าองค์หญิงฉางเล่อจนล้มลงกับพื้น ที่ริมฝีปากมีรอยเลือดไหลออกมา

องค์หญิงฉางเล่อนั่งล้มอยู่กับพื้น เงยหน้าขึ้นจ้องหนานจ้าวอ๋องด้วยสายตาเย็นเยียบ ใบหน้าไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย แต่กลับมีความทระนงตนอย่างองค์หญิงผู้สูงศักดิ์และความดูแคลนที่มีต่อหนานจ้าวอ๋องแทน “คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรที่จะหลู่เกียรติข้า!”

พูดจบ องค์หญิงฉางเล่อก็จะพุ่งกริชเข้าใส่หน้าอกตนเองอย่างไม่ลังเล

สวบ… มีแสงสีเขียวพุ่งลงมาจากคานห้อง ถูกกริชที่อยู่ในมือองค์หญิงฉางเล่ออย่างเข้าอย่างจัง แรงที่ส่งมา ถึงขั้นทำให้กริชเล่มนั้นกระเด็นเฉียงออกไป แล้วปิ่นหยกสีเขียวอันหนึ่ง ก็ปักเข้ากับเสาต้นที่อยู่ถัดจากองค์หญิงฉางเล่อไปไม่ไกล

หนานจ้าวอ๋องตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เงยหน้าขึ้นมองบนคานห้องด้านบน กลับเห็นเยี่ยหลีที่อยู่ในชุดสีเขียวอ่อน นั่งอยู่บนคานห้อง ยิ้มน้อยๆ พลางพยักหนักมาทางตนอย่างไม่ใส่ใจ

หนานจ้าวอ๋องอึ้งไป พอตั้งสติได้ก็คิดจะอ้าปากตะโกนเรียกองครักษ์ แต่กลับเห็นเงาสีเขียวอ่อนนั้นแวบหายไป แล้วเยี่ยหลีก็ลงมาอยู่ตรงหน้าเขา กริชเล่มหนึ่งจ่อเข้าที่คอเขาอย่างไม่ลังเล

เยี่ยหลีมององค์หญิงฉางเล่อด้วยความจนใจ “เจ้าเด็กคนนี้ ช่างใจเด็ดจริงนะ หากแทงเข้าไปจริงๆ แม้แต่เฮือกสุดท้ายก็คงไม่ทันได้หายใจ คงได้ลงไปพบยมบาลแล้ว”

“พระ…พระชายา…” องค์หญิงฉางเล่อตะลึงมองเยี่ยหลี ไม่เข้าใจว่าเยี่ยหลีมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

หนานจ้าวอ๋องเอ่ยเสียงขรึมว่า “พระชายา นี่ท่านหมายความเช่นไร”

เยี่ยหลีเอ่ยอย่างจนใจว่า “ใจร้อนไปชั่วขณะ จึงจำต้องทำเช่นนี้ หนานจ้าวอ๋องโปรดอภัยด้วย”

เยี่ยหลีจำใจต้องทำเช่นนี้จริงๆ เดิมทีเมื่อไม่อาจสังหารหนานจ้าวอ๋องได้ นางจึงไม่คิดจะปรากฏตัวต่อหน้าหนานจ้าวอ๋องแต่แรก ดังนั้นจึงกำลังใคร่ครวญอยู่ว่า จะทำเช่นไรให้หนานจ้าวอ๋องสลบไปได้โดยไม่ให้ผู้ใดรู้เห็น และจะพาตัวองค์หญิงฉางเล่อออกไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่า ยังไม่ทันได้ลงมือ ทางด้านล่างก็จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เพื่อชีวิตขององค์หญิงฉางเล่อ เยี่ยหลีจำต้องทำอันใดสักอย่างเพื่อหันเหวิถีกริชในมือของนาง แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเปิดเผยตนเองต่อหน้าทุกคน