คนข้างกายพากันหยุดนิ่งแล้ว นอกจากเสียงหอบหายใจฮืดฮาดของเผยซู ก็เหลือเพียงความเงียบสงัดประหนึ่งวายชนม์
เหล่านายกองบรรดาศักดิ์มีสีหน้าเซ่อซ่า ถูกปากร้ายเจื้อยแจ้วของจิ่งเหิงปัวทำให้ตกใจจนวิญญาณยังไม่กลับเข้าร่าง บนใบหน้าสีเทาของเหล่าลูกน้องเผยซูมีความโศกเศร้าท่วมท้น ความเฉยเมยเหล่านี้ หน้าอกของมนุษย์กระดาษที่คล้ายถูกสร้างขึ้นด้วยโคลนสีเทาเริ่มเกิดการขึ้นลงรุนแรงจนได้
แผลเป็นเจ็บปวดรุนแรงถูกแข็งขืนฉีกกระชาก ราดด้วยหิมะของวันนี้ ปวดร้าวไปทั้งหัวใจ
จิ่งเหิงปัวเชิดสายตาขึ้น นางมาถึงปากหุบเขาแล้ว แต่ตอนนี้เผยซูกับลูกน้องไล่ตามขึ้นมาด้วย แม้กระทั่งอยู่ในอาการโมโหจนถึงขีดสุด เขายังใช้วิธีการของตนเอง สั่งให้ลูกน้องล้อมนางกับเหล่านายกองบรรดาศักดิ์ด้วยกระบวนทัพแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง พวกนางไม่ขยับไม่เป็นไร พอขยับคงจะถูกรั้งไว้
“เจ้าเอ่ยวาจาของชาตินี้จนเสร็จสิ้นแล้วกระมัง?” เผยซูหอบหายใจอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยอย่างเ**้ยมโหดว่า “ข้าให้โอกาสเจ้าเอ่ยวาจาสั่งเสีย!”
“ข้าว่านะ” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างกะทันหันว่า “พวกเรามาพนันกันดีหรือไม่?”
“ไม่เอา!” เผยซูตะโกนก้อง
“เผยซู เจ้ากลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้ารู้หรือไม่ว่า…”
“หุบปาก! พนัน! พนันอะไร!”
“พนันว่าข้าสามารถทำให้เจ้าออกจากหุบเขาด้วยตนเองได้” จิ่งเหิงปัวยักไหล่ กล่าวว่า “พนันว่าเจ้าจะเก็บสมุนไพรช่วยชีวิตเหล่านี้ไม่ได้”
สายตาเ**้ยมโหดของเผยซูวูบไหวบนร่างนาง เขาแน่ใจว่าพวกศัตรูถูกโอบล้อมแล้ว นอกจากไอ้หนุ่มน่ารำคาญผู้นี้ใช้วิชาตัวเบาแปลกประหลาดของเขาหลบหนีได้ คนที่เหลืออยู่รวมทั้งสมุนไพร ทุกสิ่งออกจากปากหุบเขาไม่ได้แม้เพียงก้าวเดียว
เขาคือขุนพลเรืองนาม การคาดการณ์แม่นยำกลางสนามรบเป็นสัญชาตญาณ ไม่เคยผิดพลาด
ทว่าเขายังเอ่ยอย่างโหดเ**้ยมว่า “ไม่พนัน!”
เขารู้สึกว่าไอ้หนุ่มผู้นี้หลอกลวง ในเมื่อเขาคว้าชัยชนะแน่แล้ว เหตุใดต้องสนใจเขา?
ขุนพลเรืองนามห้ามใช้อารมณ์ตัดสินใจ
จิ่งเหิงปัวอยากชมเหลือเกินว่า อืม ไอ้หนุ่มคนนี้ต้องลากมาเป็นขันทีสนองพระโอษฐ์ให้ได้!
“พนันว่าเจ้าคว้าสมุนไพรไว้ไม่ได้สักต้น!” นางกล่าวว่า “อีกทั้งข้าไม่ขยับแม้เพียงก้าวเดียว!”
เผยซูหรี่ตาขึ้น
“เจ้ากำลังเหยียดหยามข้าหรือ?”
“ใช่ ข้ากำลังเหยียดหยามเจ้า!” จิ่งเหิงปัวคล้ายไม่ได้รู้สึกถึงความคิดสังหารของเขา ยิ้มแย้มปรีดาพลางชี้นิ้ว กล่าวว่า “ไอ้เวรเอ๊ย หากแม้แต่เรื่องนี้ยังไม่กล้าพนัน ชาตินี้เจ้าก็คู่ควรเป็นเพียงหมูเกลือกกลิ้งในบ่อโคลน เจ้ายังมีหน้ามาสั่งลูกน้องอีกหรือ? ข้าต้องทิ้งสัตว์หาทองเหล่านั้นไว้ให้เจ้าบำบัดความอยากเป็นขุนพลหรือไม่?”
เผยซูหน้าชา จ้องจิ่งเหิงปัวเขม็ง กล้ามเนื้อบนแก้มพองขึ้นเล็กน้อย
ถูกโจมตีเข้าจุดอ่อน ขุนพลเรืองนามก็มีเรื่องที่ยอมไม่ได้เช่นกัน
เขาไม่เชื่อเช่นกันว่าต่อให้ไอ้หนุ่มผู้นี้ใช้พลังเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ แต่อย่างไรต้องมีขั้นตอนก่อนหลัง เขาจะจับไม่ได้ไล่ไม่ทันแม้แต่สมุนไพรสักต้นเชียวหรือ?!
“พนันโว้ย!” เขาตะโกนลั่นพรวดพราด
เสียงตะโกนยังไม่ทันสิ้น หัวไหล่ของเขาโคลงเคลงเล็กน้อย เตรียมพร้อมออกแรงไล่กวดแล้ว
“มองให้ชัด!” จิ่งเหิงปัวเคลื่อนไหวทันที สองมือสะบัดเพียงครั้ง
ฟิ้ว กระเป๋าสะพายหลังที่เต็มไปด้วยสมุนไพรทุกใบพลันหายไป!
ทุกผู้คนเปล่งเสียงร้องอุทานออกมา
เผยซูตกตะลึง
ยังไม่ทันจะเตรียมพร้อม ผู้อื่นก็ลงมือเสร็จแล้ว!
นี่มันเหลือเชื่อมากเพียงใด!
ทว่ายังทันอยู่! เขาเงยหน้า มองเห็นว่ายังมีกระเป๋าสะพายหลังใบหนึ่งตามหลังเล็กน้อยก้าวหนึ่ง กำลังอยู่กลางสายตาใกล้จะหายไป
จะให้กระเป๋าสะพายหลังเหล่านี้ออกนอกหุบเขาไม่ได้!
เขาสาวเท้าพรวดพราดพุ่งออกไป
ท่าร่างเลื่อนขั้นถึงขีดสุด เงาร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเงาลวงท่ามกลางแววตาทุกผู้คน มองเห็นเค้าโครงไม่ชัดเจนคล้ายร่องรอยที่จิตรกรตวัดพู่กันละเลง จากนั้นพลันหายไป
ฝีเท้าพุ่งออกไป ดวงตามองเห็นกระเป๋าสะพายหลังอยู่เพียงข้างหน้า เขานึกยินดีอยู่ในใจ พุ่งไปอีกก้าวหนึ่ง แล้วเอื้อมมือคว้าไว้เพียงครั้ง
ยามก้าวสุดท้ายพุ่งออกไป เขาได้ยินเสียงร้องอุทานจากข้างหลัง ในใจรู้สึกลำพองใจ…คงด้วยเพราะท่าร่างแปลกประหลาดเกินไปแล้ว?
ทิวทัศน์ข้างกายคล้ายเกิดการเปลี่ยนแปลง ทว่าเขาทุ่มเทสุดกำลัง ยามนี้ทรงตัวไม่อยู่แล้ว ไม่ต้องเอ่ยเพียงว่าข้างกายผิดปกติ ต่อให้ข้างหน้าเป็นปีศาจดำ เขาคงได้แต่พุ่งชนขึ้นไปเช่นนี้
นิ้วมือสัมผัสกระเป๋าสะพายหลังแล้ว!
ในใจเขาดีใจเป็นล้นพ้น
ชนะแน่แล้ว!
กระเป๋าสะพายหลังพลันขยับไปข้างหน้าหนึ่งชุ่น!
ขยับไปข้างหน้าหนึ่งชุ่นตรงหน้าเขาต่อหน้าต่อตา ร่วงลงกลางบึงโคลนข้างหน้าดังพลั่ก!
เผยซูอยากกระอักโลหิต!
ความรู้สึกที่ชั่วพริบตานี้มอบให้เขา คล้ายตนเองพลันกลายเป็นหมาวิ่งไล่ตัวหนึ่ง ถูกไม้ล่อหมาหลอกให้ไล่กวด เขาไล่ตามก้าวหนึ่งไม้ขยับก้าวหนึ่ง สุดท้ายยามเขาใกล้จะไล่ทัน คนผู้นั้นโยนไม้ทิ้งเสียแล้ว
พริบตานี้เขาเกิดความคิดจะกระโดดลงบึงโคลนแห่งนั้นด้วยซ้ำ
เขายืนนิ่งหอบหายใจไม่หยุดหย่อน ออกแรงมากเกินไป โครงกระดูกทั่วร่างกำลังส่งเสียงกึกกักหลังกลับสู่สภาพปกติ…ยามนี้เขาอยากกระชากกระดูกของไอ้หนุ่มนั่นมาทำเป็นไม้ล่อหมาให้หมดทุกท่อน!
หลังยืนนิ่งเขาพลันสะท้านทั่วร่าง
ทิวทัศน์รอบด้าน…
หิมะ…
พอเงยหน้า มีหิมะลอยลงมา
หมอกพิษนับร้อยนับพันปีในหุบเขาเทียนฮุยผนึกแน่นใกล้กลายเป็นสสาร ทั้งฝนทั้งหิมะตกลงมาไม่ได้ชั่วนิรันดร์…
โขดหินรอบด้านเขียวเล็กน้อย พื้นดินใต้พื้นหิมะดำขลับ
ทุกสิ่งในหุบเขาเทียนฮุยล้วนเป็นสีเทา…
เขาเหน็บหนาวสั่นสะท้านทั่วร่าง เหลียวหลังอย่างแข็งทื่อเล็กน้อย
ปราดแรกเขามองเห็นโขดหินข้างหลัง บนหินสีเทาก้อนใหญ่ อักษรจ้วนแดงฉานเขียนว่า ‘หุบเขาเทียนฮุย’
มองเห็นเหล่าลูกน้องของตนเองที่ปากอ้าตาค้างตรงปากหุบเขาหลังโขดหิน
มองเห็นเหล่านายกองบรรดาศักดิ์ที่ปากอ้าตาค้างเช่นกัน ทว่าสายตาเต็มไปด้วยความลำพองใจ
มองเห็นไอ้หนุ่มผู้นั้นยังอยู่ตำแหน่งเดิม ไม่ขยับสักก้าว กำลังกวักนิ้วมือเรียกเขา
“เสี่ยวซูซู” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “ข้าไม่ขยับ เจ้าออกนอกหุบเขา เจ้าคว้าหญ้าไม่ได้สักต้นด้วย การเดิมพันของพวกเราว่าอย่างไร?”
ไม่นึกว่าใบหน้าสีเทาของเผยซูจะแปรเปลี่ยนเป็นสีสันนับไม่ถ้วนได้ด้วย ดวงตาดุจเพชรสีดำสว่างไสวจนน่ากลัว จิ่งเหิงปัวมองดวงตาสุกสกาวจนทำให้หัวใจหยุดเต้นของเขาคู่นั้น คิดในใจว่าเจ้าคนนี้แค่เฉพาะดวงตาคู่นี้ก็พอจะงามล้ำทั่วหล้าแล้ว ใบหน้าสีเทาแบบนี้น่าเสียดาย ต้องคิดหาวิธีทำให้เขาขาวขึ้นให้ได้
“ออกมาแล้วจงอย่าได้เข้าไปอีกเลย” จิ่งเหิงปัวกางแขนสองข้าง ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “เจ้าดูสิ ดินข้างนอกดำเสียจริง ฟ้าข้างนอกมืดเสียจริง หินข้างนอกเป็นสีเขียวด้วยนะ อัศจรรย์เสียจริง งดงามเสียจริง”
เหล่าลูกน้องของเผยซูชะโงกหน้าชะโงกศีรษะอยู่ตรงปากหุบเขา แสดงท่าทางจากใจว่ามหัศจรรย์จริงแท้
เผยซูยืนแข็งทื่อห่างจากปากหุบเขาสามก้าว จิ่งเหิงปัวสังเกตเห็นว่าขาของเขาสั่นระริกเล็กน้อย คล้ายไม่ค่อยคุ้นเคยกับพื้นดินแสนแข็งแกร่งใต้ฝ่าเท้า
จากนั้นเขาหันหลังตะโกนว่า “ยังไม่รีบไสหัวออกมาอีก!”
เหล่าลูกน้องของเผยซูวิ่งร่าเริงออกมา เผยซูตบพวกเขาคนละฝ่ามือ ตะคอกว่า “สารเลว! โง่เง่า!” คนถูกตบลูบศีรษะพลางเข้าแถวคล้ายเคยชินนัก
ออกนอกหุบเขายืนอยู่ครู่หนึ่ง คนเหล่านี้พลันเริ่มขาสั่น
“เฮ้อ พื้นดินคล้ายไม่มั่นคง…” มีคนอยากล้มลงไป
“เฮ้อ อากาศนี้ทำให้ข้าหายใจไม่ออก…” มีคนพยายามสูดอากาศหลายอึกสุดชีวิต บนใบหน้าผุดเผยสีหน้าประหลาดไม่คุ้นเคย
“เฮ้อ ข้าจะไถล…” มีคนสั่นเทิ้มทั่วร่างกาย ซ้ำยังอยากทำท่าทางลื่นไถล
แม้เผยซูพยายามยืนตรงโดยตลอด ทว่าร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา
จิ่งเหิงปัวกับเหล่านายกองบรรดาศักดิ์กอดอกยิ้มแย้มมองท่าทางประหลาดของเจ้าคนฝูงนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม แน่นอนว่าอาการนี้ไม่ใช่พิษกำเริบ ไม่ถึงกับเร็วขนาดนั้น อาการนี้เพียงเพราะคนเหล่านี้อาศัยอยู่กลางหุบเขาพิษซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมเลวร้ายถึงห้าปี ไม่เห็นท้องฟ้าอาทิตย์เคียงคู่โคลนเลนจนเคยชิน ขณะนี้ยืนอยู่บนพื้นดินแข็งแกร่ง เผชิญหน้าอากาศสดชื่น รู้สึกไม่คุ้นเคยไปชั่วขณะ
เหมือนเวลาไปต่างประเทศ ชาวจีนจะรู้สึกว่าท้องฟ้าสว่างจ้าจนแสบตา
จิ่งเหิงปัวยิ้มไปยิ้มมา ก็เริ่มยิ้มไม่ออกอยู่บ้างแล้ว…ไม่เห็นท้องฟ้าอาทิตย์เป็นเวลาห้าปี กินเลือดกินเนื้อกลางหมอกพิษโคลนเลน จนทำให้วันหิมะตกหนักห้าปีต่อมานี้ แม้ไม่เห็นว่าสภาพแวดล้อมภายนอกสวยงามอย่างไร ต่างทำให้เหล่าขุนพลเรืองนามขุนนางดีเด่นของเผ่าหวงจินที่เคยกุมอำนาจสำคัญเหล่านี้ตกตะลึงพรึงเพริด ไม่มีทางปรับตัวได้ นี่เป็นความโศกเศร้ารันทดแค่ไหน?
ไกลออกไปพลันมีเสียงฝีเท้าสับสนปนเป มีคนวิ่งมาพลางตะโกนลั่นว่า “ข้างหน้าคือผู้ใด! เป็นพี่ชายน้องชายที่กลับมาจากหุบเขาใช่หรือไม่?”
จิ่งเหิงปัวมองดู คล้ายเป็นทหารองครักษ์ของเจ้าเมืองเป่ยซิน คงได้ยินการเคลื่อนไหวทางปากหุบเขานี้เลยเข้ามาตรวจตรา
นางยังไม่ได้กล่าวตอบ ได้ยินเผยซูตะคอกว่า “เจ้ากล้าถามข้าหรือ? ฆ่า!”