บทที่ 135 ข้ามองเห็นโลกของอัจฉริยะ

ท่องภพสยบหล้า

บทที่ 135 ข้ามองเห็นโลกของอัจฉริยะ
โครม! ตูม!

แผ่นดินไหวยังคงสะเทือนต่อ หมอกค่อยๆ หนักขึ้น

มือของหน้ากากกระดูกงูที่กุมกระบี่สัจจะอสรพิษไว้ยิ่งแน่นขึ้นไปอีก

เผชิญหน้ากับเว่ยเหยี่ยนที่สังหารหน้ากากกระดูกไปถึงสองคนติด ในที่สุดก็หันตัวอุ้มศพของหน้ากากกระดูกสุนัข บินทะยานหนีไป

นางอดยอมรับไม่ได้ ตอนนี้ที่เผชิญหน้ากับเว่ยเหยี่ยนระดับมังกรทะยานขั้นต้น นางเกิดขลาดกลัวขึ้นเสียแล้ว

พูดให้ถูกก็คือ นางถูกความบ้าคลั่งของพวกกองทัพประจำเมืองเฟิงหลินทำให้ตกใจขึ้นมา

คำว่าขลาดกลัวเดิมทีไม่ควรปรากฏอยู่ในโลกของนาง

นางมองชีวิตเหมือนขี้หมูราขี้หมาแห้งมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เพียงแต่ไม่สนใจชีวิตของคู่ต่อสู้ แต่ก็ไม่สนใจกระทั่งชีวิตตนเองด้วยเหมือนกัน

วันนี้มาพบกับพวกที่ไม่กลัวตายหลายคนไม่ใช่เหตุผล

คู่มือราวกับเป็นเทพแห่งความตายที่นางไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้แม้แต่น้อยตรงหน้าคนนี้ก็ยังไม่ใช่เหตุผล

สาเหตุของความขี้ขลาดที่แท้จริง คือตอนหลังจากที่นางเห็นสายตาเช่นนั้นของหน้ากากกระดูกสุนัข

นางพบว่าตนเอง มีความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นครั้งแรกในชีวิต

นางหวาดกลัวความตาย

นางเริ่มที่จะอาลัยอาวรณ์ต่อโลกใบนี้

เว่ยเหยี่ยนมองหน้ากากกระดูกงูหนีไป ไม่ได้ไล่ตาม

การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว

ขณะเผชิญหน้ากับเจ้าหล่างที่ใกล้ตายและหน้ากากกระดูกงู เขาเลือกที่จะสังหารคู่ต่อสู้ให้ตายก่อนโดยไม่ลังเล

ขณะเผชิญหน้ากับหน้ากากกระดูกที่ระเบิดความโกรธกับเจ้าหล่างที่พลังชีวิตอ่อนแอ เขาเลือกหันเข้าสู่สนามรบอย่างไม่ลังเล

ขณะเผชิญหน้ากับฟางหนวดเฟิ้มที่กอดหน้ากากกระดูกหนูอยู่ด้วยกัน เขาก็โบกแสงกระบี่อย่างไม่ลังเล

ใช่แล้ว เขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

เขาไม่เคยลังเล

ทุกก้าวของเขาล้วนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดและแม่นยำที่สุด

หรือก็คือ เพราะรู้ว่าเขาจะทำการเลือกเช่นนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเจ้าหล่างหรือฟางหนวดเฟิ้ม จึงล้วนฝากโอกาสชนะเอาไว้บนตัวเขา

นี่เป็นการเข้าขาที่ยอดเยี่ยมที่สุดครั้งหนึ่ง!

ด้วยมิตรภาพแห่งกองทหาร สัญญาลับของสหายร่วมรบมาหลายปีของพวกเขา

ทั้งสามคนต่างฝ่ายต่างออกไปทำศึกสงคราม แต่กลับมาตายเคียงบ่ากัน

สิ่งที่ต้องจ่าย คือความตายของเจ้าหล่างและความตายของฟางหนวดเฟิ้ม

เวลานี้วิญญาณสุนัขร้ายเหล่านั้นสลายหายไปตามเจ้าของเรียบร้อย สุนัขยมโลกเองก็หายไปด้วย พสุธาแยกยังคงขยายออก หมอกยังคงกางแผ่อยู่

ทั้งหมดในค่ายทหารกองทัพประจำเมือง สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทั้งหมดล้วนจบลงอย่างดุดัน

ภัยพิบัติเขตเมืองเฟิงหลินยังไม่จบลง แต่คนในค่ายทหารกองทัพประจำเมืองที่ออกไปต่อสู้เพื่อเมืองเฟิงหลินก็ตายกันหมดแล้ว

เว่ยเหยียนเดินไปข้างๆ เจ้าหล่าง อุ้มร่างที่ขาหายไปข้างหนึ่ง หัวใจถูกแทงทะลุ พลังรากเต๋าแห้งเหือดไปแล้วของเจ้าหล่างขึ้นมา

เขาใช้มือที่หุ้มด้วยพลังปราณธาตุไม้ปิดลงไปบนหัวใจของเจ้าหล่างอย่างเงอะงะ

เขามุ่งมั่นต่อวิชาเต๋าธาตุเหล็กและดาบยาว ไม่ถนัดเรื่องวิชารักษาเลยจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ยังเข้าใจอย่างชัดเจนว่า…มันช่วยเหลือไม่ได้แล้ว

บางครั้งความน่ากลัวของสติปัญญาเหตุและผลก็อยู่ที่อะไรแบบนี้

เพราะเจ้ารู้ถึงผลลัพธ์แล้วอย่างชัดเจน ดังนั้นความพยายามที่สูญเปล่าของเจ้าจึงไม่เพียงพอที่จะปลอบประโลมตนเองลงได้เลยแม้แต่น้อย

“ระดับวัฏจักรดาราสังหารระดับมังกรทะยาน ข้าเองก็เรียกว่าสังหารข้ามระดับได้เหมือนกันแล้วใช่ไหม มีแต่อัจฉริยะที่เก่งกาจเท่านั้น จึงจะทำเรื่องเช่นนี้ได้สินะ” เจ้าหล่างเอ่ยขึ้นด้วยอาการหอบหายใจลำบาก “ที่แท้นี่ก็คือโลกของอัจฉริยะ ข้ามองเห็นแล้ว…”

“เจ้าโกหกข้า” ใบหน้าเว่ยเหยี่ยนเต็มไปด้วยรอยเลือด มองไม่ออกถึงสีหน้า แต่เขาก็พูดว่า “เจ้าบอกว่าการเลือกของข้าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าบอกว่าเจ้าเองก็จะเลือกแบบนั้น”

เขาเอ่ยซ้ำขึ้นอีกครั้ง “เจ้าโกหกข้า”

ตอนที่หน้ากากกระดูกทั้งสามคนปรากฏตัว ไม่มีใครสังเกตว่าผู้ฝึกตนตัวน้อยระดับผ่านสวรรค์คนนี้ เจ้าหล่างที่ออกไปแล้ว แต่เขาเลือกกลับมา เลือกที่จะต่อสู้

การเลือกต่อสู้มันแทบจะเท่ากับเลือกความตาย แต่เขาก็ยังเลือก

“ใครๆ ก็รู้ว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดคืออะไร แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถทำได้ เว่ยเหยี่ยน” เจ้าหล่างยิ้มออกมา ใช้ดวงตาที่ไร้เรี่ยวแรงมองเว่ยเหยี่ยน เอ่ยต่อว่า “ท่านเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง ชีวิตของท่านสำคัญกว่าข้า จงมีชีวิตต่อไป เพื่อล้างแค้นให้กับเมืองเฟิงหลิน”

ที่แท้ เขาเองก็คิดเหมือนกับเว่ยเหยี่ยนต่อการพิจารณาบทสรุปเมืองเฟิงหลิน แต่ก่อนหน้านี้กลับยังสนับสนุนตัวเลือกอันโง่เขลาของฟางหนวดเฟิ้ม

อาจจะเรียกว่า ‘โง่เขลา’ ไม่ได้กระมัง

เว่ยเหยี่ยนจับมือของเขา มุมปากขยับหมุบหมิบเหมือนอยากจะพูดอะไร

แต่เจ้าหล่างก็หลับตาลง ไม่มีวันได้ยินอีกแล้วตลอดกาล

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เสียงพื้พสุธาแตกก็ทำลายความเงียบงัน

เว่ยเหยี่ยนอุ้มศพของเจ้าหล่าง โยนเขาลงไปในร่องแตกพสุธาที่มีหินหนืดหลั่งทะลัก

มองหินหนืดที่เดือดพล่านกลืนร่างของเขาไป

ผู้คนพูดกันว่ากลับสู่ดินเพื่อความสงบ

อาจจะสงบก็ได้ หรืออาจจะไม่ได้

เว่ยเหยี่ยนถือหยาดฟ้าทะลวง หันตัวเดินไปทางเมืองเฟิงหลิน

……

ใต้ตีนเขาตะวันตก เจียงวั่งมือหนึ่งจูงเจียงอันอัน อีกมือหนึ่งจูงซ่งชิงจื่อ มองกลับไปยังเมืองเฟิงหลิน ในใจทั้งเจ็บทั้งโกรธ ทั้งแค้นทั้งปวด

ต่งเอออยู่ที่ไหน

ครั้งนั้นที่เขาหัวโค เขารายงานเรื่องของสำนักกระดูกขาวกับต่งเออไปแล้ว

ทำไมด้านเมืองเฟิงหลินจึงยังคงไม่มีการเตรียมตัวสำหรับภัยพิบัติในวันนี้เลยแม้แต่น้อย

ต่งเออบอกว่า “เรื่องนี้ข้ามีแผนของข้า”

ต่งเออบอกว่า “ข้าจะติดต่อกับเว่ยชวี่จี๋ด้วยตนเอง”

ต่งเออบอกว่า “ข้าจะติดต่อกับราชสำนัก”

ทว่าตอนนี้

แผนอยู่ที่ไหน

กองหนุนอยู่ที่ไหน

ต่งเออเอง! อยู่ที่ไหน

ตอนที่หนีออกจากเมืองเฟิงหลิน เขารอกองหนุนที่ต่งเออพูดไว้อยู่ตลอด

การเตือนไปสองครั้ง เขามั่นใจมาโดยตลอดว่าต่งเออให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้

แต่ว่า…ไม่มีท่าทีโต้ตอบอะไรเลย! ประชาชนทั่วเมืองแทบจะตายกันหมดอยู่แล้ว ราชสำนักยังคงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย!

ต่งเอออยู่ที่ไหน

ที่เจ็บปวดที่สุดไม่ใช่ว่าภัยพิบัติไร้ความปรานีถึงเพียงนี้ แต่อยู่ที่เรื่องทั้งหมดมันหลีกเลี่ยงได้!

ต่งเออกำลังทำอะไรอยู่กันแน่

จู่ๆ คลื่นพลังปราณธาตุน้ำอันรุนแรงสายหนึ่งถูกเขาสัมผัสได้

เจียงวั่งเก็บงำอารมณ์ไม่ทัน ดึงตัวเด็กสาวสองคนมาไว้ด้านหลัง บุปผาเพลิงกำเนิดขึ้นบนมือ

หมอกน้ำกลุ่มหนึ่งร่อนลงมาจากฟากฟ้า กลายเป็นร่างเงาเบื้องหน้าเจียงวั่ง

ชายชราหลังค่อมใบหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยคนหนึ่ง

“ผู้อาวุโสกุ้ย” เจียงวั่งผ่อนคลายลง รู้ว่าเขามารับตัวซ่งชิงจื่อ

“ท่านปู่กุ้ย!” ซ่งชิงจื่อกระโดดออกไป เอ่ยขึ้นอย่างตกอกตกใจ “เมืองเฟิงหลินเป็นอย่างไรบ้าง น่ากลัวมากเลย!”

ผู้อาวุโสกุ้ยยังคงโค้งแผ่นหลัง ความร้อนรนบนใบหน้าในที่สุดก็สลายหายไป

เขาลูบหน้าผากของชิงจื่อ เอ่ยกับเจียงวั่งว่า “ข้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง หาร่องรอยขององค์หญิงที่สถานธรรมกระจ่างไม่เจอ ข้าใจร้อนดุจไฟเผา ไล่ตามร่องรอยมาจนถึงที่นี่ ไม่คิดว่าจะเป็นสหายน้อยที่ช่วยนางเอาไว้ ข้าขอเป็นตัวแทนนครวารีแม่น้ำชิงแสดงความซาบซึ้งต่อเจ้าอย่างที่สุด!”

นครวารีแม่น้ำชิง?

ที่แท้เด็กสาวที่ถักเปียเต็มศีรษะคนนี้ก็คือลูกสาวของเจ้านครวารีแม่น้ำชิงหรือ!

เจียงวั่งตื่นเต้นขึ้นมา เอ่ยขึ้นทันที “ผู้อาวุโสกุ้ย ขอให้ท่านติดต่อเจ้านครวารีทันทีได้หรือไม่ เมืองเฟิงหลินกำลังเผชิญกับหายนะ ต้องการความช่วยเหลือจากเขา!”

ผู้อาวุโสกุ้ยมองสายคาคาดหวังของเจียงวั่ง นิ่งงันไปพักหนึ่ง ส่ายศีรษะช้าๆ

ซ่งเหิงเจียงแข็งแกร่งก็จริงอยู่ แต่อายุก็โรยรามากแล้ว สู้ศึกใหญ่คงจะไม่ไหว

โดยเฉพาะในใจเขาเข้าใจเป็นอย่างดี ว่าซ่งเหิงเจียงไม่มีทางสู้สุดชีวิตเพื่อราชสำนักอีกแล้ว

“นครวารีแม่น้ำชิงปกป้องเจ้ากับน้องสาวเจ้าได้ แต่เมืองเฟิงหลิน…โปรดให้อภัยกับคนแก่ที่ไร้ความสามารถนี้ด้วย”

“ผู้อาวุโสกุ้ย รัฐจวงมีพันธสัญญานับร้อยปีกับนครวารี” เจียงวั่งเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “เผ่ามนุษย์กับเผ่าวารีสนิทเหมือนคนบ้านเดียวกัน!”

“สหายน้อย มีเรื่องบางเรื่องที่เจ้าก็ไม่เข้าใจ ราชสำนักไม่คู่ควรกับการหลั่งเลือดของนครวารีแม่น้ำชิงหรอก” ผู้อาวุโสกุ้ยเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เอาแค่ราชสำนักรู้ทั้งรู้ว่าองค์หญิงอยู่ในเมืองเฟิงหลิน ก่อนหน้าที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น กลับไม่มีใครมาแจ้งกับพวกเราเลย จนเกือบทำให้องค์หญิงต้องเคราะห์ร้าย! คนบ้านเดียวกันทำกันเช่นนี้หรือ”

เจียงวั่งยังอยากจะบอกว่าภัยพิบัติในวันนี้ ราชสำนักเองก็อาจจะไม่รู้ ทว่านี่เป็นเรื่องที่เขารายงานกับต่งเออด้วยตนเอง คำพูดนี้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังโกหกไม่ได้

“ราชสำนักก็คือราชสำนัก เมืองเฟิงหลินก็คือเมืองเฟิงหลิน ขอท่านโปรด…”

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วยเหลือ นครวารีก็มีความลำบากใจของนครวารี” ผู้อาวุโสกุ้ยตัดบทเขา เอ่ยขึ้นอย่างจริงใจว่า “สหายน้อย เจ้ากลับไปแม่น้ำชิงกับข้าเถอะ ข้ามีตำแหน่งให้เจ้าในนครวารีแม่น้ำชิง รับรองไม่ได้แตกต่างจากที่อยู่บนบกเลย”

“…ไม่จำเป็นแล้ว”

เจียงวั่งเข้าใจว่าการร้องขอความช่วยเหลือจากนครวารีแม่น้ำชิงไม่เป็นผล จึงจูงมือเจียงอันอันหันกลับ

“ท่านพาเจียงจื่อกลับไปเถิด”

“สหายน้อยจะไปที่ใดกัน”

เจียงวั่งไม่หันหน้ากลับ “เผ่าวารีไม่ช่วยเหลือเผ่ามนุษย์ เผ่ามนุษย์จึงทำได้เพียงช่วยเผ่ามนุษย์ด้วยกัน”

ผู้อาวูโสกุ้ยไม่พูดจา ในดวงตาซับซ้อน

“อันอัน!” ซ่งชิงจื่อเรียกขึ้น

ตอนที่อันอันหันหน้ากลับมา นางก็ปลดสร้อยคอของตนเองลง วิ่งเข้าไปคิดจะคล้องให้ที่คอของเจียงอันอัน

“เจ้านี่จะช่วยปกป้องเจ้าเอง!” นางเอ่ยขึ้น

สร้อยคอเส้นนี้เป็นรูปหยดน้ำ แสงวาวไหลเวียน รูปร่างไม่ธรรมดา แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่สิ่งของทั่วไป

แต่ผู้อาวุโสกุ้ยเองก็ไม่มีท่าทีจะขัดขวาง

เจียงอันอันเงยหน้ามองพี่ชายผาดหนึ่ง พอเห็นว่าพี่ชายไม่ปฏิเสธ ก็ก้มศีรษะลงมา ให้ซ่งชิงจื่อคล้องสร้อยคอให้กับตนเอง

“ชิงจื่อไว้เจอกัน!”

“ไว้เจอกันนะอันอัน!”

สาวน้อยทั้งสองตาแดงรื้น จากนั้นจึงแยกจากกัน

คนหนึ่งตรงไปทางตะวันตก ไปยังเทือกเขาฉีชาง เพื่อเลี้ยวไปยังแม่น้ำชิง

อีกคนหนึ่งไปทางใต้ ไล่ไปตามรอบนอกเมืองเฟิงหลิน ตรงไปยังเมืองซานซาน

ถ้าจะพูดว่าใครที่สามารถช่วยเหลือเมืองเฟิงหลินได้ คนที่เจียงวั่งพอจะนึกออก ก็คือโต้วเยวี่ยเหมยที่มีพลังวิเศษเคลื่อนคีรีคนนั้นนั่นเอง

……………………………………….