บทที่ 494

บทที่ 494

ด้วยตรงกองทัพของเหลียงฉี เหลียงซิงจึงสามารถสั่งคนอื่น ๆ ที่ประจำการอยู่นอกเมืองได้ ตัวเขาเองนำกองทัพชานซุยที่เหลือเข้าไปในเมืองมุ่งตรงไปยังพระราชวัง สิ่งแรกที่เขาทำคือไปยังที่พำนักของอู่หยู จากนั้นเขาก็ส่งกองทหารไปเฝ้าประตูทั้งสี่ของเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหยาน

พระราชวังเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการโจมตีของเหลียงซิงในครั้งนี้ ถ้าอยากเป็นราชาก็ต้องคุมวังเสียก่อน เหลียงซิงได้เดิมพันกองทัพชานซุยทั้งหมดของเขาเข้าวัง

เมื่อเหลียงซิงควบคุมกองทัพชานซุยอย่างบ้าคลั่ง จี้หยางฮ่าวชุนที่อยู่ในเมืองก็หาได้สนใจ ด้วยคำสั่งของเขาในฐานะแม่ทัพใหญ่ จี้หยางฮ่าวชุนส่งคำสั่งไปยังกองทัพปิงหยวน กองทัพฉีเฟิง กองทัพอินทรีสวรรค์และกองทัพของเขาเอง ให้พวกเขาปกป้องค่ายทหารของตน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองหลวง

แน่นอนว่าตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของจี้หยางฮ่าวชุนนั้นไร้อำนาจ และเขาก็ไม่สามารถใช้กองทัพเทียนหยวนของเขาได้ อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่เขาออกคำสั่งดังกล่าว ก็เพราะไม่ว่าเช่นไรตัวเขาก็ยังคงเป็นแม่ทัพใหญ่! เป็นผู้มีอำนาจในการสั่งการและควบคุมกองทัพของทั้งแคว้นอยู่!!

ขณะนี้เอง หลิวกังได้นำกองกำลังซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของกองทัพชานซุยเข้าสู่เมืองหลวง และมุ่งตรงไปยังที่พำนักของท่านเสนาบดีแล้ว

ระหว่างทาง หลิวกังคิดว่าการเดินทางนั้นช้าเกินไป ถึงกับสงสัยว่าเฟิงเฟยหยุนจงใจใช้ทางอ้อมทำให้มันน่ารำคาญอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกัน เฟิงเฟยหยุนก็รู้สึกหมดหนทางต่อหลิวกังที่เป็นคนสั่งการ เขาได้แต่กัดฟันแน่นและอดทนต่อไป

กองทัพขนาดใหญ่กำลังออกอาละวาดไปตามท้องถนน ทำให้ประชาชนได้แต่หลบซ่อนตัว พวกเขาทุกคนกระซิบถามกันและกันว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดทหารจำนวนมากจึงได้บุกเข้ามาในเมือง

ในตอนนั้นเอง หลิวกังพูดกับเฟิงเฟยหยุนว่า “ท่านหัวหน้านายกองอย่าได้รอช้า รีบส่งคนไปล้อมที่พำนักของท่านเสนาบดีเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นพวกเขาอาจจะหนีไปได้ก่อน!”

ผู้ต้องมารับคำสั่งกำหมัดแน่น ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วโบกมือตะโกนว่า “ล้อมที่พำนักของท่านเสนาบดี!”

เขาเป็นผู้บัญชาการกองทหาร และทันทีที่ออกคำสั่งพวกทหารก็เชื่อฟังทันที ทหารกองทัพชานซุยหนึ่งหมื่นคนกระจายตัวออกไปโดยรอบทันที ทำให้ไม่มีทางที่ใครจะสามารถหนีรอดออกไปได้อย่างแน่นอน

ประตูจวนถูกเปิดออก และกลุ่มบ่าวรับใช้ก็รีบวิ่งออกมาจากภายใน นอกจากนี้ ยังมีพ่อบ้านที่วิ่งออกมาด้วย เมื่อเห็นว่าด้านหน้ามีกองทัพอยู่มากมาย เขาก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ใบหน้าของเขามืดมนลงในทันที ขณะที่เอ่ยถามเสียงดัง “มันเกิดอันใดขึ้น?”

“เจ้าเป็นใครถึงได้มาก่อความวุ่นวายที่นี่?”

“หึ!”

โดยไม่รอให้เขาพูดต่อ หลิวกังก็เผยสีหน้าเหยียดหยาม ก้าวเท้าเข้าไปหาอีกฝ่าย มองไปยังพ่อบ้านครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “อู่หยูคิดไม่ซื่อต่อราชสำนัก การก่อกบฏเป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้ ข้าได้รับคำสั่งมาให้จับตัวอู่หยู! ”

“กล้าดียังไง!” เมื่อได้ยินเช่นนี้ พ่อบ้านชราพลันโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที เขาชี้ไปยังหลิวกังและสาปแช่งอีกฝ่าย “ไอ้พวกชั้นต่ำ กล้ากล่าวหาการกระทำของท่านเสนาบดีว่าเป็นกบฏอย่างนั้น-”

ก่อนที่พ่อบ้านชราจะทันได้พูดจบ หลิวกังก็โบกมือแล้วตะโกนว่า “หลีกทางไปซะ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไร้ความปรานี !”

“ฮ่า ๆ” พ่อบ้านชราหัวเราะด้วยความโกรธ ขณะที่เขายืนอยู่หน้าประตูที่พำนัก ศีรษะเชิดขึ้น ขณะที่มองไปยังหลิวกังและคนอื่น ๆ ด้วยความรังเกียจ “คิดจะทำอันใดกับข้าอย่างนั้นหรือ”

ในฐานะที่อู่หยูเป็นเสนาบดีโดยชอบธรรม และยังมีถังหยินเป็นผู้หนุนหลัง จึงไม่มีใครในเมืองหลวงหรือแม้แต่ในแคว้นเฟิงกล้าที่จะยั่วโมโหเขา

เมื่อเห็นเช่นนั้น ใบหน้าของหลิวกังก็มืดมน เขาโน้มตัวไปข้างหน้าเอื้อมมือไปจับด้ามดาบ ต้องการที่จะจัดการชายชราที่บ้าบอคนนี้เป็นการส่วนตัว แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้มีพลังปราณ สำหรับเขาแล้ว การสู้เช่นนี้นับว่าเสียเวลาเปล่า

เมื่อคิดอย่างนั้นแล้ว เขาก็ถอยหลังกลับไป หลิวกังยิ้มอย่างน่ากลัวก่อนจะถามว่า “ยังจำคำอธิบายที่ท่านแม่ทัพให้กับเราได้หรือไม่”

“อันใด”

“ถ้าพวกมันขัดขืน ให้ฆ่าทั้งหมด!” ประกายนัยน์ตาหลิวกังวาวโรจน์

จริงด้วย? เหลียงซิงเคยพูดเรื่องนี้มาก่อน… หรือว่าจะจัดการเขาได้เลย?

“รออะไรอยู่? อย่าได้ลืมคำสั่งเป็นอันขาด!” เมื่อพูดเช่นนั้น หลิวกังก็หยิบลูกศรคำสั่งออกมาชูขึ้น และตะโกนว่า “เมื่อได้ยินคำสั่ง ให้จัดการทันที แล้วสังหารกลุ่มโจรที่ไม่เกรงกลัวกลุ่มนี้เสีย!”

เมื่อเห็นลูกศรฉู่เฟิง หลิวกังก็กัดฟัน เขาหันกลับมาแล้วจึงตะโกนว่า “เตรียมยิง!”

ตามคำสั่งที่ได้รับ ทหารกองกำลังชานซุยสี่พันนายเตรียมธนูยาวเล็งไปยังพ่อบ้านชราและเหล่าบ่าวรับใช้ในจวน

จนถึงตอนนี้ พ่อบ้านชรายังคงคิดว่า อีกฝ่ายแค่กำลังข่มขู่ให้เขากลัวเท่านั้น จึงเผยรอยยิ้มที่เย็นชาและกล่าวว่า “ขู่ไปก็เปล่าประโยชน์ ท่านเสนาบดีกำลังพักผ่อนอยู่ ถ้าพวกเจ้ายังไม่ยอมถอยไป อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”

“ใช่แล้ว! ออกไป! ออกไป! ออกไป!” เหล่าคนรับใช้ไม่รอช้า ต่างออกมาไล่เหล่าทหารออกไป

ตอนนี้เมื่อหลิวกังได้ยินคำเยาะเย้ยของอีกฝ่าย ความโกรธที่เก็บกดไว้มานานพลันระเบิดออกมา เขาหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจึงตะโกนออกมา “ยิง!”

ในระยะใกล้เช่นนี้ ลูกศรขนนกอินทรีบินทะลวง มุ่งตรงเข้าใส่อีกฝ่ายทันที ไม่ต้องพูดถึงการหลบเลย พวกเขายังไม่ทันได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะปลายลูกศรเข้ามาถึงแล้ว แม้ว่าคนในบ้านส่วนใหญ่จะเป็นผู้ฝึกฝนพลังปราณ แต่พวกเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้เกราะพลังปราณด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาถูกแทงทะลุด้วยลูกศรนับไม่ถ้วนก่อนแล้ว แม่บ้านชราที่ยืนอยู่หน้าประตู เป็นคนแรกที่โดนยิงจนพรุนราวกับเม่น ก่อนจะล้มลงกับพื้น

เพียงการยิงด้วยลูกศรเพียงรอบเดียว ก็ทำให้กลุ่มคนรับใช้เหล่านั้นเสียชีวิตทั้งหมด

เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปในชั่วบัดดล ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังออกมาจากภายในที่พัก “ไม่นะ! ฆาตกรรม! ฆาตกรรม!?” ในขณะที่เสียงร้องดังออกไป ใช้เวลาไม่นานก่อนที่ทั้งจวนจะตกอยู่ในความโกลาหล เสียงของผู้คนก็ดังขึ้นจากทุกทิศทาง

หลิวกังได้สติและตะโกนออกไป “ท่านหัวหน้านายกอง กำลังรออะไรอยู่ อย่าให้อู่หยูมันหนีไปได้! ”

เนื่องจากเขาเดินหน้าไปแล้ว มันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด! เมื่อมาถึงจุดนี้ มันก็สายเกินไปแล้วจะย้อนกลับ เขาชักดาบชี้ไปยังด้านในจวนและตะโกนว่า “บุก!” จากนั้นเขาก็เสริมว่า “จับเป็นอู่หยู!”

อู่หยูกำลังงีบหลับ และในขณะที่เขาหลับสนิท บ่าวรับใช้ในบ้านก็รีบเข้ามาและตะโกนว่า “ท่านเสนาบดีขอรับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

อู่หยูตื่นขึ้นจากการหลับใหล เมื่อเห็นว่าบ่าวรับใช้ในบ้านเข้ามาโดยไม่เคาะประตู ใบหน้าของเขาก็มืดลง เขาพลันตะโกนว่า “เจ้า! ลืมกฎไปแล้วรึ—”

“คนของเราทั้งหมดถูกสังหารอยู่ด้านหน้าจวนแล้วขอรับ! นายท่าน รีบไปดูเถิดขอรับ!” เมื่อพูดจบแล้ว บ่าวรับใช้ก็เริ่มร้องไห้

“ว่าไงนะ!?” หลังจากได้ยินเช่นนั้น อาการง่วงนอนของอู่หยูก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง ดวงตาเบิกโพลงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อว่า “เจ้าว่าอันใดนะ! ”

“มีกองทัพบุกเข้ามาล้อมจวนเราเอาไว้ขอรับ”

“กองทัพจากที่ไหน? อีกฝ่ายเป็นใคร?” อู่หยูเหงื่อแตก ขณะที่เขาถามอย่างกังวล

“พวกชานซุยขอรับนายท่าน!

“กองทัพชานซุย!?” เดิมทีอู่หยูต้องการที่จะรีบออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ปัดแรงกระตุ้นในใจออกไปทันที ผู้บัญชาการของกองทัพชานซุยคือ เหลียงฉี และเขาก็เป็นลูกของเหลียงซิง

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็รีบหันไปพูดกับคนรับใช้ในบ้านว่า “ให้พวกผู้หญิงไปหาที่หลบก่อน!”

“ข—ขอรับ นายท่าน!” คนรับใช้ในบ้านตอบสนองและพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ถามต่อว่า “แล้วนายท่านล่ะขอรับ?”

“ข้าจะไปด้วย!” กองทัพชานซุยไม่กลัวเขาที่เป็นถึงเสนาบดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่กลัว อู่เหมย ลูกสาวของเขาที่เป็นคู่หมั้นของถังหยิน และหากพวกเขากล้าที่จะแตะต้องอู่เหมย ก็เท่ากับก่อกบฏต่อถังหยิน

ไม่ว่าเหลียงฉีจะกล้าหาญเพียงใด เขาก็ไม่กล้าที่จะต่อต้านกองทัพทั้งสี่ของกองทัพปิงหยวน กองทัพฉีเฟิงกองทัพอินทรีสวรรค์ และกองทัพของเขาเองอย่างแน่นอน

หลังจากอู่หยูส่งคนรับใช้ในบ้านออกไป เขาก็ไม่กล้าอยู่ในห้องของเขานาน แต่รีบไปหาอู่เหมยในทันที

เมื่อจะไปหาบุตรสาว เขาก็บังเอิญเจออู่เหมยซึ่งเดินออกมาด้วยสีหน้าที่สับสน

“ท่านพ่อ ข้างนอกนั่นเกิดอะไรขึ้นหรือ เหตุใดจึงวุ่นวายนัก” อู่เหมยยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์

“ตอนนี้กองทัพพวกชานซุยทรยศพวกเราแล้ว ข้าจำต้องไปช่วยคนอื่น ๆให้รอดก่อน!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น อู่เหมยก็ส่งเสียงพึมพำออกมา ใบหน้าพิสุทธิ์ของนางพลันแปรเปลี่ยนในบัดดล หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นางก็กรีดร้องออกมา “เหตุใดจึงอาจหาญกล้าทำเช่นนี้!?”

ขณะที่พูดนางก็เดินกลับเข้าไปข้างใน ไม่นานนัก นางก็ออกมาพร้อมกับชุดออกศึก แทนอาภรณ์ลำลองที่สวมใส่เมื่อครู่ มือเรียวสวยกำหอกยาวไว้แน่น

นางยืนอยู่ตรงประตูพร้อมกับพูดว่า “ข้าอยากจะเห็นนัก ว่าเป็นผู้ใดกันที่บังอาจกล้าบุุุกมาถึงที่นี่!”