ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 128 เข็มขัดแสนชั่ง (2)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตอนนั้นคำพูดที่อยู่ด้านข้างทะเลสาบเป็นเช่นนี้

ถังซานสือลิ่วจ้องมองขนสีดำแขนขวาของเซวียนหยวนผ้อที่เห็นรางๆ ประหนึ่งเหล็กกล้า พลางเอ่ยถาม “เป็นหมีควายรึ”

เซวียนหยวนผ้อปรายตามองเขา รู้ว่าเขามิได้มีเจตนาไม่ดี กล่าวตอบ “หมี”

ถังซานสือลิ่วมีเสียงฮะดังออกมา เอ่ยต่อ “แท้จริงแล้วเป็นหมีควาย”

เซวียนหยวนผ้อครุ่นคิดอย่างจริงจังเรื่องความแตกต่างระหว่างหมีควายกับหมี จึงมั่นใจว่าเขากำลังเยาะหยันตน กล่าวโต้ตอบ “ถังซานสือเอ้อร์ เจ้ามิใช่คนดี”

สีหน้าของถังซานสือลิ่วเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง เอ่ยตอบ “ข้าเคยบอกแล้ว อย่าเรียกข้าถังซานสือเอ้อร์”

เซวียนหยวนผ้อยังไม่ลดละ “ถังซานสือเอ้อร์ มิใช่ว่าเมื่อเจ้าอยู่บนประกาศชิงอวิ๋นอันดับเท่าไหร่ก็เรียกเจ้าเช่นนั้นหรอกหรือ”

“นั่นเป็นเพราะใช้กระตุ้นตนเองต่างหาก”

ถังซานสือลิ่วกล่าวอธิบาย เวลาเดียวกันก็ตัดสินใจเมื่อการสอบใหญ่จะพยายามจนสุดชีวิต ครั้นการเปลี่ยนอันดับของประกาศชิงอวิ๋นจะช่วงชิงสิบอันดับแรกในประกาศให้จงได้

เซวียนหยวนผ้อเอ่ยต่อ “ถังถังชื่อนี้เจ้าก็ไม่ชื่นชอบ”

ถังซานสือลิ่วกล่าวตอบ “เหมือนชื่อของหญิงสาวเกินไป”

สายตาของเซวียนหยวนผ้อร่วงหล่นยังหน้าอกของเขา พลางเอ่ยว่า “คนวาจาปากคอเราะรายเช่นเจ้า ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าหน้าอกเจ้าเรียบแบบ คงจะถูกคนสงสัยว่าเป็นสตรีได้ง่ายดาย”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ เขายกลำต้นที่หักครึ่งไปยังห้องเตาไฟ และก็มิได้สนใจถังซานสือลิ่วอีกต่อไป

บทสนทนาที่น่าเบื่อครานี้ ในที่สุดก็ใช้ชัยชนะของหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจเป็นการประกาศการสิ้นสุดลง

เมื่อพวกเขากำลังสนทนากันอยู่ เฉินฉางเซิงก้าวเดินตะบึงอยู่บนพื้นหิมะที่ไม่ไกลออกไป

เขาเดินรวดเร็วยิ่งนัก ขณะเดินมีสายลมเย็นพัดตาม เป็นธรรมดาที่มิใช่การเดินเล่น และก็มิใช่การย่อยอาหาร แต่เป็นการฝึกบำเพ็ญเพียร ถึงแม้จะกล่าวว่ามีบางอย่างที่แปลกประหลาด แต่เขาคงนับว่าผ่านด่านการชำระล้างกระดูกด่านแรกแล้ว ภายในร่างกายเริ่มมีพลังปราณแท้ขับเคลื่อน เพียงแค่ปัญหาของเส้นปราณยังคงหมดหนทางแก้ไข พอดีว่าเขาได้เตรียมการเกี่ยวกับทางด้านนี้มานานแล้ว พัฒนาการของลั่วลั่วกับเซวียนหยวนผ้อ พิสูจน์ได้ว่าความคิดของเขานั้นถูกต้อง

ปัญหาอยู่ตรงที่ จำนวนปราณแท้ของเขาแท้จริงแล้วมีน้อยยิ่งนัก ก่อนการสอบใหญ่ก็ไม่กล้าเสี่ยงไปจุดไฟที่พื้นหิมะผืนนั้นอีก ถ้าหากเขาอยากทำเรื่องราวที่ต้องการผล จะต้องคิดหาหนทางอื่น เช่นเขาจะใช้ประโยชน์จากร่างกายที่แปลกประหลาดของเขาอย่างเต็มที่ เขาตอนนี้เหนือกว่าพลังของเผ่าปีศาจธรรมดา มีความรวดเร็วและความแข็งแกร่งที่ยากจะจินตนาการได้

สุดท้ายแล้วเขาตัดสินใจนำความคาดหวังไว้ที่ท่าร่าง ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจศึกษาย่างก้าวหยั่งเทวา

ย่างก้าวหยั่งเทวาคือวิชาที่เผ่ามารเก็บเป็นความลับไม่แพร่งพรายสู่ภายนอก เขาท่องคัมภีร์เต๋าแตกฉาน จึงเข้าใจสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด สามารถท่องตำแหน่งหลายพันตำแหน่งออกมาได้ทั้งหมด จนกระทั่งเคยสอนกระบวนท่าง่ายๆ ให้แก่ลั่วลั่ว เมื่ออยู่ในการชุมนุมไม้เลื้อยผู้คนต่างตกตะลึง ทว่าในตอนนั้นกระบี่กวนเฟยไป๋มิได้ขับเคลื่อนพลังปราณแท้ ถ้าหากเขาอยากจะชนะบรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรในการสอบใหญ่ อาศัยเพียงแค่ย่างก้าวหยั่งเทวาฉบับง่ายๆ เห็นทีจะไม่เพียงพอ

บนพื้นหิมะ ล้วนแต่เป็นรอยเท้าที่หนักแน่นของเขา ก่อนที่จะถูกลมหิมะปกคลุมอีกครา ประกอบกันเป็นภาพพิมพ์หลายแบบหลายอย่าง บางครั้งเรียบง่าย บางครั้งสลับซับซ้อน ถ้าหากก้อนเมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนย้าย ผู้คนแหงนหน้ามองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว คงจะสามารถเสาะแสวงหาความสัมพันธ์ระหว่างภาพพิมพ์กับดวงดาวเดียรดาษบนท้องฟ้าได้

เวลานี้เอง รถม้าของสำนักการศึกษากลางมายังสำนักฝึกหลวง อาจารย์ซินมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยือน

เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วรู้สึกเหนือความคาดหมาย ขั้นตอนสมัครการสอบใหญ่ได้ทำเสร็จลุล่วงไปนานแล้ว ต่างก็เป็นเพราะอาจารย์ซินได้ช่วยเหลือจัดการทั้งสิ้น สำนักการศึกษากลางจนขนาดที่ว่าได้แอบใส่ข้อมูลของผู้สมัครที่เหลือลงไป และก็ส่งมายังสำนักฝึกหลวงหนึ่งฉบับ หากกล่าวตามหลักการแล้ว เรื่องที่ควรจะทำได้ทำเสร็จสิ้นหมดแล้ว การสอบใหญ่ก็ใกล้จะเริ่ม เขายังมาสำนักฝึกหลวงทำอะไร หรือว่าไม่กลัวจะเกิดคำตำหนิหรือ

จินอวี้ลวี่ยกกาน้ำชาขึ้นมา จ้องมองหนุ่มน้อยทั้งสองพลางส่ายศีรษะ ครุ่นคิดในใจแท้จริงแล้วเป็นเด็กหนุ่มที่ดี ทว่าเรื่องราวเช่นนี้กลับไม่เข้าใจ

เดิมทีความหมายที่อาจารย์ซินมาเพราะว่าเอกสารการสมัครมีบางอย่างตกหล่น ต้องการให้เฉินฉางเซิงหยิบบัญชีรายชื่อกับตราประทับออกมายืนยันอีกคราหนึ่ง

หลังจากทำเรื่องราวลุล่วงแล้ว อาจารย์ซินมิได้จากไป

เฉินฉางเซิงให้เซวียนหยวนผ้อยกชาดีมาหนึ่งถ้วย เพื่อเป็นการขอบคุณ

อาจารย์ซินยกน้ำชาขึ้น ทว่ากลับมิได้ดื่ม เดินออกไปยังนอกหอตำรา ยืนอยู่บนพื้นหิมะข้างทะเลสาบ จ้องมองฝั่งตรงข้าม อยู่ๆ ก็เอ่ยมาหนึ่งประโยค “ปรารถนาจะไปถึงนิพพาน ต้องใช้สติปัญญาสูงสุดจริงๆ”

เขาเอ่ยถอดทอนใจออกมาเรียบร้อยแล้ว นำชาวางกลับไปยังฝ่ามือของเซวียนหยวนผ้อ จ้องมองยังพวกเขาจึงยิ้มออกมา แล้วขึ้นนั่งบนรถม้าออกจากสำนักฝึกหลวงไป

เฉินฉางเซิงกับพรรคพวกรู้สึกงุนงง ไม่รู้ว่าสิ่งที่อาจารย์ซินเอ่ยออกมามีความหมายอะไร

นิพพานเป็นวิธีกล่าวของนิกายพุทธ ทว่านิกายพุทธได้เสื่อมลงไปเป็นพันปีแล้ว มีคนน้อยอย่างยิ่งที่จะเอ่ยถึง ประโยคนี้ของอาจารย์ซินเป็นการถอดทอนใจที่แสดงถึงแก่นแท้ของเรื่องราว อีกทั้งยังมีความหมายลึกซึ้งอะไรเล่า

“เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดอยู่ๆ เปลี่ยนเป็นชื่นชอบคิดมากแล้วเล่า” ถังซานสือลิ่วเอ่ยออกมา

จินอวี้ลวี่ไม่อาจทนได้อีกต่อไป สบถด่าออกมา “เจ้าเด็กโง่ ชัดเจนว่าข้อสอบรั่วต่างก็มองไม่ออกรึ”

“ฮะ” เซวียนหยวนผ้ออ้าปากค้าง อยู่ในห้วงความคิดแล้วหัวข้ออยู่ตรงไหน

เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วสบตากัน ในใจครุ่นคิดบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ทำการอันใดไม่อาจเชื่อถือได้ เรื่องที่สำคัญเช่นนี้ ไฉนจะกล่าวให้ชัดเจนกว่านี้สักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ

การสอบใหญ่แบ่งเป็นสามสนามมีการสอบความรู้ การประลองยุทธ์และการต่อสู้ สำนักการศึกษากลางให้ความดูแลสำนักฝึกหลวง โดยพื้นฐานแล้วก็เป็นเฉินฉางเซิง กล่าวตามสถานการณ์โดยรวม การสอบความรู้ไม่จำเป็นต้องกังวล การต่อสู้อาศัยพละกำลัง มิได้มีหัวข้อใดๆ เช่นนั้นอาจารย์ซินมาที่นี่เพื่อทิ้งหัวข้อไว้ก็คงจะเป็นสิ่งที่จะเกิดในการประลองยุทธ์

“ข้ามทะเลสาบหรือ”

ถังซานสือลิ่วเดินไปริมทะเลสาบ ยืนอยู่บนก้อนหินที่ถูกเซวียนหยวนผ้อทุบให้เหลือครึ่งซีก จ้องมองไปยังฝั่งตรงข้ามที่ไกลออกไปหลายสิบจั้ง รู้สึกไม่เข้าใจ เอ่ยว่า “นี่เป็นสิ่งที่ง่ายดายอย่างยิ่ง”

“ข้าข้ามไปเองนั้นยากยิ่ง” เซวียนหยวนผ้อหันหน้ามองยังเฉินฉางเซิง พลางเอ่ยต่อ “ทว่าเอาก้อนหินโยนไปฝั่งโน้นนั้นง่ายดายอย่างยิ่ง”

เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขา มิได้กล่าวตอบ หลังจากเงียบนิ่งไปนาน จึงกล่าวว่า “ข้าจะไปคิดดู”

ลำต้นของต้นไม้ที่เซวียนหยวนผ้อตัดมานั้นใหญ่เกินไป ยากอย่างยิ่งที่จะหั่นให้เป็นฟืน จินอวี้ลวี่ยากที่จะไม่สนใจได้ นำลำต้นครึ่งท่อนมาจุดไฟ หลังจากนั้นนำกวางป่าที่ลั่วลั่วส่งมาจากพระราชวังหลีแขวนไว้ด้านบน กวางย่างนับเป็นอาหารเลิศรสประเภทหนึ่ง น้ำมันสีเหลืองไหลเยิ้ม สำนักฝึกหลวงถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นหอมเนื้อย่างอย่างรวดเร็ว

เซวียนหยวนผ้อยืนอยู่ข้างกวางย่างรอให้เนื้อกวางสุก เขาไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย ถังซานสือลิ่วมือหนึ่งถือมีด อีกมือหนึ่งถือจาน บางครั้งบางคราลูกกระเดือกเคลื่อนลงสองที มีเพียงแค่เฉินฉางเซิงที่ไม่ได้อยู่ข้างกองไฟ เกรงว่าการสอบใหญ่ใกล้จะมาถึง เขาก็คงไม่ผ่อนคลายแม้แต่น้อย ทำตามกฎระเบียบของตนอย่างเคร่งครัด อาหารดังเช่นเนื้อย่างเช่นนี้ไม่ดีต่อสุขภาพ แล้วจะกินได้อย่างไร

เขายังคงเดินเร็วอยู่บนพื้นหิมะริมทะเลสาบ อาศัยความทรงจำของร่างกาย นำวิธีของย่างก้าวหยั่งเทวาเปลี่ยนมาเป็นของตนเอง ปัญหาที่อาจารย์ซินกล่าวออกมาสำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ยาก ขณะนี้อย่างน้อยที่สุดเข้าค้นพบวิธีข้ามทะเลสาบแล้วสามวิธี เพียงแค่วิธีเช่นนั้นจะเผยให้เห็นสภาพภายในของเขา ซึ่งไม่เอื้อผลต่อการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ด้วยเหตุนี้เขายังคงคิดหาวิธีอื่น

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เนื้อกวางสุกดีแล้ว เซวียนหยวนผ้อยืนอยู่บนพื้นหิมะฝั่งตรงข้ามตะโกนเรียกเขา เขายกมือปัด แสดงว่าตนไม่อยากกินจริงๆ หลังจากนั้นก็มองเซวียนหยวนผ้อใช้มือฉีกเนื้อกวาง ถังซานสือลิ่วเริ่มใช้มีดหั่นเนื้อ จินอวี้ลวี่หอบไหสุราออกมา กลับมิยินยอมแบ่งให้หนุ่มน้อยทั้งสอง

เฉินฉางเซิงส่ายศีรษะ อยู่ในห้วงความคิดว่าสุรากับเนื้อมีอะไรดี…แต่ว่า ลิ้นวัวแท้จริงแล้วกลับอร่อยยิ่งนัก ขณะครุ่นคิดเรื่องราวเรื่อยเปื่อยเหล่านี้ เขาปีนป่ายไปยังต้นไทรย้อย ยืนอยู่บนกิ่งก้านด้านหน้า ทอดสายตามองบ้านเรือนสีขาวหลังคาสีดำอยู่กลางเมืองจิงตูหลังหิมะหยุดตก เอามือไขว้หลังเงียบนิ่งเป็นเวลานาน

นอกเมืองจิงตู เวลานี้ก็คงปกคลุมด้วยหิมะนับพันลี้

ในร่างกายของเขาก็มีพื้นที่หิมะพันลี้

คงจะอยู่ข้างใต้หัวใจของเขา

พื้นที่หิมะเหล่านั้นต่างก็เป็นละอองดาว สามารถเปลี่ยนเป็นพลังปราณแท้จำนวนนับไม่ถ้วนได้ทุกเวลา

ถึงแม้ตอนนี้เขาไม่กล้าไปสัมผัสละอองดาวเหล่านั้น แต่ทราบดีว่าละอองดาวเหล่านั้นยังคงอยู่ เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขาสบายใจไปได้มาก

เวลานี้เขาเป็นดังเช่นคุณชายของตระกูลร่ำรวย บนร่างกายหลงเหลือเงินไม่กี่ตำลึง กลับไม่กล้าเปิดถุงผ้าที่ห่อธนบัตรแสนตำลึง เพราะว่าในนั้นยังมีปีศาจร้าย เมื่อเขาเปิดถุงผ้าออกมา ปีศาจร้ายตนนั้นก็จะออกมาด้วย

ถ้าหากเป็นคนธรรมดา สำหรับในสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าคงจะยินดีไปนานแล้ว ทว่าเขากลับสงบนิ่ง

มีก็ไม่ดีเท่าไม่มี

เข็มขัดหนึ่งแสนชั่ง ถึงแม้หมดปัญหาจะใช้สอย ก็เป็นเรื่องที่คู่ควรจะยินดี

เขายืนอยู่บนกิ่งไม้ จ้องมองเมืองจิงตูที่อยู่ท่ามกลางหิมะ เบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง

เพียงแค่บ่อน้ำของสะพานอุดรใหม่ถูกปิดแล้ว ทำให้เขารู้สึกกังวล

เมื่อเวลานี้เอง ก้อนเมฆจากที่ไกลอยู่ๆ ก็มีไอหมอกสีขาวปรากฏออกมา

ไอหมอกอยู่ด้านหน้า เป็นนกกระเรียนที่ทั่วทั้งร่างกายขาวสะอาดสะอ้าน

เสียงนกกระเรียนกังวานใสส่งมาหลายเสียง นกกระเรียนขาวกระพือปีกดังเช่นปีกของหิมะ ร่วงหล่นบนกิ่งไม้ แรงกดทับลงบนกิ่งไม้

มันกลับมาจากนิกายทิศใต้ นำจดหมายตอบของสวีโหย่วหรงมาด้วย

เฉินฉางเซิงจำได้ตนเขียนจดหมายฉบับนั้นด้วยตนเองให้แก่สวีโหย่วหรง เป็นเรื่องนานแล้ว รู้สึกไม่เข้าใจฝ่ายตรงข้ามเพราะเหตุใดเป็นเวลานานถึงเพิ่งตอบกลับ อีกทั้งรู้สึกประหลาดใจ นางจะเขียนสิ่งใดในจดหมาย หรือว่ายังจะเป็นมิต้องเข้าใจผิด หรือว่าจะเป็นกระทำตนให้ดี หรือว่าจะให้ธนบัตรกับตนสักใบกัน

เอาเถอะ เขายอมรับว่าความคิดสุดท้ายนั่นชั่วร้ายเกินไป นางคงจะไม่ทำเรื่องเช่นนี้

ปลดจดหมายออกจากลำตัวของนกกระเรียน เขาเปิดออกเริ่มอ่าน หลังจากนั้นเงียบนิ่งเป็นเวลานาน

ในจดหมาย สวีโหย่วหรงเอ่ยถึงเรื่องการชุมนุมไม้เลื้อย ยังได้แสดงความยินดีกับเขา เอ่ยถึงการสอบใหญ่ ยังได้อวยพรให้กับเขา อีกทั้งยังเอ่ยถึงเรื่องปีนี้สถานศึกษาหนานซีมีเรื่องต้องจัดการ ด้วยเหตุนี้จึงมิได้กลับจิงตูเพื่อเข้าร่วมการสอบใหญ่ เฉินฉางเซิงเคยเอ่ยในจดหมายฉบับก่อนว่าต้องการสนทนาต่อหน้า นางก็ไร้หนทางที่จะทำให้สมดังใจหมาย

สุดท้ายนางเอ่ยถึงนกกระเรียนขาว ถามเขาว่าแท้จริงแล้วเคยทำสิ่งใดมาก่อน คาดไม่ถึงว่านกกระเรียนขาวจะให้ใกล้ชิดกับเขาเช่นนี้ อีกทั้งยังกล่าวว่าอย่าเข้าใจผิด นางเพียงแค่รู้สึกแปลกประหลาดใจต่อเรื่องนี้ หาได้มีความหมายอื่นไม่ อีกทั้งยังกล่าวเรื่องที่ได้ยินว่าเจ้าจะเอาอันดับแรกประกาศแรก สำหรับเรื่องนี้นางไม่สะดวกที่จะประเมินสิ่งใด ให้เขากระทำตนให้ดี

ดียิ่ง

อย่าเข้าใจผิด จักต้องกระทำตนให้

ทั้งสองประโยคล้วนแต่มีอยู่ในนี้

เฉินฉางเซิงส่ายศีรษะ ม้วนจดหมายฉบับนั้น เตรียมที่จะโยนลงไปตามร่องน้ำแข็งใต้ต้นไม้ที่ถูกเซวียนหยวนผ้อทุบแตก คิดไม่ถึงว่านกกระเรียนขาวจะจ้องเขาเขม็ง เขาจึงทำได้แต่นำม้วนจดหมายยัดลงไปในอ้อมอก

คิดไปถึงเรื่องที่สวีโหย่วหรงเอ่ยถึงในจดหมาย เขาก่อเกิดความซาบซึ้งในบุญคุณมากมาย จึงลูบลำคอของมันด้วยความรักใคร่

ทันใดนั้นเขาก็คิดเรื่องหนึ่งออก เอ่ยกับนกกระเรียนขาวว่า “เจ้าอยู่จิงตูต่ออีกสองสามวันได้หรือไม่”

ฤดูหนาวเพิ่งผ่านพ้นไป ฤดูใบไม้ผลิยังมิได้หวนกลับมาอย่างแท้จริง ตรอกในเมืองจิงตู สันกำแพงในตรอกจิงตูที่ยื่นออกมายังคงเป็นกิ่งก้านต้นเหมย มิใช่ดอกท้อ ระหว่างง่ามกิ่งไม้มีเพียงหน่อสีเขียวอ่อนออกมาไม่กี่หน่อ เดิมทีมิได้เป็นสีเขียวทั่วทั้งหมด ก็เหมือนกับหมอกเวลาปกติยามเช้า โลกใบนี้ยังคงเป็นสีเขียวเลือนราง การสอบใหญ่ก็ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว