ไปให้ขายขี้หน้า?

 

“ผู้อาวุโสเฟิง เป็นอย่างไรบ้าง?”

ภายในห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสของหอมหาสมบัติ เย่หยวนกำลังเอ่ยปากถามไถ่เฟิงปิงที่กำลังจับชีพจรของเหลียงหวางหรูด้วยความกังวลใจยิ่ง

เฟยปิงผู้นี้เป็นหัวหน้านักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติ ภายใต้คำขอร้องจากผู้จัดการซู เขาจึงเดินทางมาหาเพื่อวินิจฉัยอาการของเหลียงหวางหรู

ถึงเย่หยวนจะขึ้นชื่อว่าเป็น จอมเทพโอสถ แต่เขาก็ทำได้เพียงหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ส่วนเรื่องอาการของเหลียงหวางหรู เขากลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย

เฟิงปิงส่ายศีรษะเล็กน้อยพลางถอนหายใจกล่าวตอบว่า

“ร่างกายของแม่นางหวางหรูเป็นเพียงมนุษย์ แต่พิษที่นางได้รับกลับเป็นถึงพิษระดับศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นนางจะทนความทรมานขนาดนี้ได้อย่างไร? คุณสมบัติของพิษชนิดนี้จะค่อยๆกัดกร่อนร่างกายอย่างช้าๆ และจะแล่นเข้าสู่หัวใจในท้ายที่สุด!”

 

เย่หยวนถึงกับหน้าเสียทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ณ ปัจจุบันเขาไร้ซึ่งพลังปราณเทวะใดๆในร่างกาย และไม่สามารถช่วยเหลือเหลียงหวางหรูใดๆได้เลย

แต่ในฐานะที่เป็นนักหลอมโอสถเหมือนกัน เย่หยวนย่อมทราบดีถึงความหมายที่ว่า หากพิษแล่นเข้าหัวใจได้ ผลลัพธ์ต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไร

ไม่ว่าพิษจะอ่อนเพียงใด แต่หากปล่อยไว้จนแล่นเข้าสู่หัวใจได้สำเร็จ ยามนั้นแม้แต่จักรพรรดิหยกยังหมดปัญญาช่วยเหลือ!

 

“ผู้อาวุโสเฟิง หรือเป็นไปได้ไหมว่าจะไร้หนทางช่วยจริงๆ?”

 

เฟิงปิงส่ายหัวอีกครั้งและกล่าวตอบอย่างขมขื่นว่า

“หากต้องการกำจัดพิษนี้ออกไป จำต้องใช้โอสถล้างพิษหนึ่งดาวขั้นเทวะเข้าพิฆาตเท่านั้น! แต่ในเมืองกุยฉางแห่งนี้ กลับไม่มีใครสามารถหลอมกลั่นโอสถล้างพิษหนึ่งดาวขั้นเทวะได้เลย!”

โอสถล้างขั้นเทวะ เปรียบเสมือนพระเจ้าเหนือสรรพชีวิต มีตัวตนแต่มิอาจย่างสัมผัสถถึงได้!

ลืมไปเลยสำหรับเหล่านักหลอมโอสถในเมืองกุยฉาง ต่อให้เป็นจอมเทพโอสถสองดาวจากที่อื่นก็ไม่มีทางหลอมกลั่นได้เลยเช่นกัน

 

ขึ้นชื่อว่าโอนถขั้นเทวะ ไม่เพียงจำเป็นต้องฝีมือความสามารถอันแกร่งกล้า แต่ยังพึ่งพาโชคชะตาอันท้าทายสวรรค์ถึงจึงจะประสบความสำเร็จ

ผู้จัดการซูถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขากล่าวว่า

“ข้าเองก็รู้จักเด็กสาวนางนี้ นางเป็นคนน่ารักจิตใจเปี่ยมเมตตา เห้ออ…กระทั่งข้าเองยังคาดไม่ถึง เสืออย่างเหยีงหมิงอี้กลับกินลูกของมันลงจริงๆ ช่างไร้จิตสำนักโดยแท้!”

 

ผู้อาวุโสเฟิงเผยสีหน้าท่าทีสุดหยามเหยียดเมื่อได้ฟัง เขากล่าวขึ้นเสริมว่า

“เหลียงหมิงอี้ไร้ยางอายเกินเยียวยา! หากย้อนกลับไป เพื่อตีสนิทชิดเชื้อกับตระกูลหวัง เขาขึ้นขั้นยอมแต่งงานกับหวังเพียนหลาน ในขณะที่ปล่อยให้ศพของภรรยาเก่านอนนิ่งอยู่แบบนั้น หาได้สนใจทำพิธีอันใดอยู่นาน เรื่องนี้กลายมาเป็นหัวข้อสนทนาอยู่พักใหญ่ จนบัดนี้กลายเป็นเรื่องตลกเลื่องชื่อภายในเมืองกุยฉางไปแล้ว”

 

จู่ๆราวกับว่าผู้จัดการซูอยากจะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมา แต่ก็กลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงคอทันทีอย่างลับๆ แต่นั้นดันไปสะดุดตาเย่หยวนเข้าอย่างจัง

“ผู้จัดการซู ท่านพอจะมีหนทางช่วยเหลือหวางหรูได้บ้างหรือไม่?”

เย่หยวนรีบกล่าวถาม

 

เฟิงปิงได้ยินแบบนั้น พลันหันมองไปที่ผู้จัดการซูก่อนกล่าวว่า

“อย่าหวังเลย แผนนี้ข้าว่าไม่ได้ผล”

 

ผู้จัดการซูถอนหายใจเสียงยาวกล่าวขึ้นว่า

“ถูกต้อง เย่หยวน,ข้าเองก็คิดว่าแผนการนี้ไม่น่าจะได้ผล อย่าให้กล่าวเสียดี เช่นนั้นอาจเป็นการหาปัญหาใส่ตัวเจ้าเปล่าๆ”

 

สีหน้าฉงนใจหนัก เย่หยวนเอ่ยถามต่อทันที

“ผู้จัดการซูโปรดบอกผู้เยาว์มาเถิด แม่นางหวางหรูเป็นผู้มีบุญคุณ เย่คนนี้มิอาจทนดูอยู่เฉยๆได้!”

 

เฟิงปิงยิ้มและกล่าวว่า

“เรื่องนี้มิได้สำคัญที่ว่าเจ้าจะทำได้หรือไม่ได้ แต่อยู่ที่ว่าฝ่ายนั้นจะยอมช่วยจริงๆรึเปล่า”

 

เย่หยวนกวสดตามองทั้งสองสลับไปมาอย่างงุนงง ผู้จัดการซูถอนหายใจอีกระลอกใหญ่พลางกล่าวว่า

“พิษที่แม่นางหวางหรูได้รับไปคือ พิษขนวิหคพันราตรี เป็นไพ่ตายลับของตระกูลหวัง ซึ่งพิษตัวนี้ ตราบใดที่ยังไม่แล่นเข้าสู่หัวใจ หวังหลินโปของตระกูลหลังสามารถรักษาให้หายได้!”

 

“เพียงแต่ว่า…หวังหลินโปเป็นพี่ชายแท้ๆของหวังเพียนหลาน!”

 

หัวคิ้วเย่หยวนขมวดถักแน่นแทบชนกัน ความหมายความเฟิงปิงและผู้จัดการซูค่อนข้างชัดเจนแจ่มแจ้ง

นี่คือยาพิษลับของตระกูลหวัง จึงมีเพียงคนของตระกูลหวังเท่านั้นที่สามารถรักษาได้

ซึ่งคนที่รักษาได้ก็คือ พี่ชายของหวังเพียนหลาน!

หรือเย่หยวนต้องไปขอร้องอ้อนวอนตระกูลหวังให้ช่วยจริงๆ?

 

ครั้งนี้ เย่หยวนบุกตรงไปยังตระกูลเหลียงเพื่อลักพาตัวคุณหนูตระกูลออกมา ส่วนผู้อาวุโสสองกับเหลียวหมิงอี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยหลัวเจีย นี่นับเป็นหายนะของตระกูลเหลียงก็กล่าวไม่ผิด

ด้วยความแค้นในคราวนี้ผนวกกับสันดานนิสัยอันโหดเหี้ยมของหวังเพียนหลานแล้ว มีหรือที่นางจะยอมให้พี่ชายของนางช่วยถอนพิษให้เหลียงหวางหรู?

 

เย่หยวนสูดไอเย็นเข้าลึกๆแช่มช้า กล่าวถามเฟิงปิงขึ้นว่า

“ผู้อาวุโสเฟิง แม่นางหวางหรูอยู่ได้อีกนานเพียงใด?”

 

เฟิงปิงครุ่นคิดไปชั่วขณะ ก่อนให้คำตอบว่า

“พูดยากนัก น่าจะ…ไม่เกินพรุ่งนี้!”

 

สีหน้าเย่หยวนตกลงในทันใด เขาเอ่ยปากถามอีกครั้งว่า

“ผู้อาวุโสเฟิง เย่หยวนคนนี้ขอโอสถล้างพิษหนึ่งดาวชั้นสวรรค์! แน่นอนเย่คนนี้หาได้ขออย่างเดียวโดยไม่จ่ายสักแดง หลังจากนี้ข้าขออุทิศตัวหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะขั้นสวรรค์ให้เป็นจำนวนหนึ่งร้อยเม็ด!”

 

เฟิงปิงเหลียวมองเย่หยวนโดยไวและกล่าวตอบพร้อใบหน้าประดับประดารอยยิ้มสุดเห็นใจว่า

“ตามที่ข้ารู้มา เจ้าสามารถหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะได้เพียงชนิดเดียวใช่หรือไม่? ตอนนี้มิใช่ว่าเจ้าต้องการจะยึดเวลาออกไป เพื่อวางแผนหลอมกลั่นโอสถถอนพิษหนึ่งดาวขั้นเทวะด้วยตัวเอง? ยอมแพ้เสียเถอะ! เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้เลย!”

 

เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า

“ข้าจะเดินทางไปที่ตระกูลหวังก่อน เพื่อขอร้องพวกเขา หากพวกเขาย่อมตกลงให้ความร่วมมือ เรื่องนี้คงจบลงอย่างมีความสุข แต่หากไม่ยอม…เย่คนนี้คงไม่เหลือหนทางอื่นแล้วเช่นกัน!”

คำกล่าวของเย่หยวน ทำเอาทุกคนประหลาดใจกันอย่างยิ่ง

พวกเขาทราบดี เย่หยวนเป็นคนที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีเพียงใด ถึงขั้นที่ว่าบุกเข้าไปยังตระกูลเหลียงโดยลังเลแม้สักนิด

เช่นนั้นแล้ว เรื่องจะไปก้มหัวให้ใครอื่น มันควรจะเป็นสิ่งที่เขาไม่มีวันทำแน่นอน ชนิดที่ว่าต่อให้ต้องตายก็ยอม

ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนเองต่างก็มองแผนนี้ในแง่ไม่ดีเท่าไหร่นัก ถึงเย่หยวนจะยอมอ่อนข้อขนาดนี้ แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลหวังจะยอมช่วย

สุดท้ายนี้เพื่อช่วยชีวิจเหลียงหวางหรู เย่หยวนถึงกับยอมทำเรื่องอัปยศอดสูยิ่ง อย่างการก้มศีรษะให้คนอื่น!

 

“เย่หยวน เจ้ามั่นใจดีแล้วใช่ไหม?”

ผู้จัดการซูที่เข้าใจนิสัยเย่หยวนดีกล่าวถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

 

แต่เย่หยวนก็ยังยิ้มกว้างกล่าวตอบไปว่า

“แม่นางหวางหรูต้องทนทุกข์ทรมานขนาดนี้ก็เพราะข้า นางคือผู้มีพระคุณช่วยเหลือชีวิตข้าไว้ ต่อให้เหลือแค่เศษเสี้ยวของความหวัง เย่คนนี้ก็ขอลองดูสักตั้ง!”

 

ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นต่างรู้สึกทึ่งอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนเลยว่า แท้ที่จริงแล้วเย่หยวนจะเป็นคนซื่อสัตย์และกตัญญูต่อผู้มีบุญคุณขนาดนี้!

 

ทั้งเฟิงปิงและผู้จัดการซูต่างเป็นคนฉลาดหัวไว พวกเขาตระหนักทราบมานานแล้วว่า ที่เย่หยวนลงมือทำสิ่งต่างๆเช่นนี้หาได้ปรารถนาครองใจเหลียงหวางหรูแม้แต่น้อย ในทางตรงข้าม สายตาที่เย่หยวนมีให้นางกลับไม่มีเรื่องรักใคร่เลยสักนิด

ทั้งหมดที่เย่หยวนทำลงไปก็เพื่อตอบแทนบุญคุณที่นางเคยเมตตาเขาไว้!

 

ในตอนนั้นเอง เย่หยวนก็สัมผัสได้ว่าแขนเสื้อตนเองถูกกระตุกดึงเบาๆ ยามก้มศีรษะกวาดตามอง ปรากฏว่าเป็นเหลียงหวางหรูที่พยายามเรียกเขา

แม้นางจะพูดไม่ได้ แต่เย่หยวนก็เห็นได้อย่างชัดแจ้ง คู่ดวงเนตรสวยของนางเห่อร้อนแดงระเรื่อ พร้อมหยดน้ำตาใสที่ไหลรินลงมา

ถึงนางจะอ่อนเพลียอย่างมากในตอนนี้ แต่สติสัมปชัญญะของเหลียงหวางหรูยังคงครบถ้วนสมบูรณ์ดี

 

เย่หยวนที่เต็มใจยอมรับความอัปยศเช่นนี้เพื่อนาง ซึ่งสำหรับตัวนางเองก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก

 

เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า

“คุณหนูหวางหรู ไม่จำเป็นต้องรู้สึกเช่นนั้น เย่คนนี้ติดหนี้บุญคุณท่านครั้งใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรเย่คนนี้จะต้องรักษาท่านให้จงได้!”

เหลียงหวางหรูพยายามพยักหน้าตอบเล็กน้อย ทว่าอามรณ์ความรู้สึกจากก้นบึ้งจิตใจกลับปั่นป่วนไปหมด

 

 

…………………..

 

 

“ท่านพี่ต้องช่วยข้า! ท่านหาได้ทราบไม่ว่า ไอ้เด็กเหลือขอแซ่เย่นั้นมันหยิ่งผยองเพียงใดในตอนนี้! มันไม่เห็นตระกูลหวังอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ…”

ณ เรือนพักตระกูลหวัง หวังเพียนหลานกำลังเอ่ยปากบ่นถึงเรื่องเย่หยวนไม่หยุดหย่อน ในขณะที่พี่ชายของนาง,หวังหลินโปยังคงนิ่งสงบหาได้แสดงสีหน้าท่าทางใดๆ

เขายืนเงียบพร้อมสอมมือไขว้หลังอยู่ตลอด ขณะที่น้องสาวของเขายังคงบ่นต่อไม่หยุด

หวังหลินโปรู้จักนิสัยใจคอของน้องสาวนางนี้ดี คำพูดของนางมีเพียงหนึ่งจากสิบส่วนเท่านั้นที่พอเชื่อถือได้จริงๆ

นอกจากนี้ เรื่องภายในตระกูลเหลียงที่นางไม่ค่อยลงรอยเท่าไหร่นักกับลูกติดของเหลียงหมิงอี้ เขาจะไม่ทราบได้อย่างไร?

 

เขารู้มานานแล้ว!

 

“เปียนหลาน เจ้าบอกข้ามาตามตรง มีความลับอะไรในตัวของเด็กแซ่เย่นั้น?”

หวังหลินโปมือเชิงหยุดมิให้อีกฝ่ายกล่าวต่อ นางชะงักปากทันทีพร้อมท่าทางที่เริ่มรวนเรแปลกไป

 

“ท่านพี่ ท่าน…หมายความอย่างไร?”

 

หวังหลินโปกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า

“เพียนหลาน การที่เจ้าออกเรือนและยืนเคียงข้างผู้เป็นสามี นี่นับเป็นเรื่องที่ถูกต้องสมควรแล้ว แต่ก็อย่าลืมเสีย ใครกันที่ทำให้เจ้ามีอำนาจอิทธิมากมายขนาดนี้ในตระกูลเหลียง! ตระกูลเหลียงสามารถผงาดขึ้นมาได้ แต่ก็…สามารถดับลงได้เช่นกัน! เจ้าลองคิดให้ไตร่ตรองให้ดี ที่เหลียงหมิงอี้เชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้ามีอำนาจในกำมือจริงๆ?”

หวังเพียนหลานสะดุ้งเฮือก นางตระหนักดีว่า ที่ตระกูลเหลียงกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งอย่างในปัจจุบัน ทั้งหมดเพราะมีท่านพี่คอยช่วยอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด

ที่เหลียงหมิงอี้ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงกับหวังเพียนหลานมากนัก เป็นเพราะกลัวว่าหวังหลินโปจะเลิกช่วยเหลือเขา!

 

“ท่านพี่ ข้า…ข้า…”

วาจาประโยคเดียวของหวังหลินโป ทำเอาหวังเพียนหลานไปต่อไม่ถูก

ในแง่ของความคิดอ่าน นางยังคงตื้นเขินเกินไป!

 

“ยิ่งสถานะของตระกูลหวังสูงส่งเท่าไหร่ในเมืองกุยฉาง มันก็ยิ่งส่งผลดีต่อพวกเจ้าในภายภาคหน้า! โอกาสดีเช่นนี้ เจ้าไม่คิดจะกล่าวเลยรึ?”

หวังหลินโปยังคงกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม

 

หวังเพียนหลานพยักหน้าตอบอย่างจนใจ

 

“แล้วเจ้าเด็กนั้นมีความลับอะไรซ่อนอยู่?”