บทที่ 244.1 อยู่เบื้องหน้ากองทัพที่เกรียงไกร ข้าดื่มเหล้าหนึ่งคำ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 244.1 อยู่เบื้องหน้ากองทัพที่เกรียงไกร ข้าดื่มเหล้าหนึ่งคำ โดย ProjectZyphon

แค่การฝ่าทะลุจากขอบเขตสามสู่ขอบเขตสี่ของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งกลับมีทัศนียภาพที่น่ามองถึงเพียงนี้ ซ่งอวี่เซาพลันรู้สึกว่าต่อให้ยุทธภพในทุกวันนี้จะน่าชิงชังแค่ไหน แต่หากมีชีวิตอยู่ได้นานอีกสักสองสามปีก็ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว

ซ่งอวี่เซาตบกระบี่โบราณที่ห้อยเอวไว้เบาๆ เพื่อให้ชักนำลมปราณอันยิ่งใหญ่เข้มข้นมาจากน้ำตก กระบี่ยาวในฝักที่มีจิตเชื่อมโยงเป็นหนึ่งกับผู้เฒ่ามานานกลับเซื่องซึมเล็กน้อย ซ่งอวี่เซาที่ยืนอยู่ในศาลาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจว่า “หากเกาเฟิงยังอยู่บนโลกใบนี้ คืนนี้ไม่แน่ว่าอาจเป็นเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้”

ผู้นำหมู่บ้านวารีกระบี่รุ่นที่สอง ซ่งเกาเฟิง ซึ่งก็คือบิดาแท้ๆ ของซ่งเฟิงซานนายน้อยผู้นำหมู่บ้าน เขาเองก็เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในด้านการฝึกกระบี่ของโลกเช่นกัน น่าเสียดายก็แต่สวรรค์อิจฉาคนเก่ง เขาถูกความรักบังตา จึงเลือกเดินทางผิด และนี่ก็เป็นปมที่ใหญ่ที่สุดในใจของซ่งอวี่เซา โศกนาฎกรรมครั้งนั้น สามารถพูดได้ว่าซ่งอวี่เซาสร้างมันขึ้นมาเองกับมือ เพราะมารดาของซ่งเฟิ่งซานก็มีชาติกำเนิดเป็นภูตแห่งขุนเขาและแม่น้ำ เป็นสิ่งมีชีวิตต้องห้ามที่ไม่เป็นที่ยอมรับของคนในโลกเช่นกัน แต่ซ่งอวี่เซาในเวลานั้นกล้าหาญฮึกเหิมมากเพียงใด เขาไม่เคยสนใจสายตาของคนในโลก แค่มีหนึ่งกระบี่ก็สามารถมองราชสำนักแคว้นซูสุ่ยได้ด้วยสายตาโอหัง คิดว่าตัวเองไร้เทียมทานในยุทธภพ จึงเริ่มออกเดินทางขึ้นเขาไปเยี่ยมหาเทพเซียนเพียงลำพัง สุดท้ายได้ช่วยเหลือแม่นางน้อยที่มีจิตใจซื่อบริสุทธิ์ไว้คนหนึ่ง นางคือภูตพืชหญ้าที่กลายร่างมาเป็นคน ซ่งอวี่เซาไม่เพียงแต่ไม่รังเกียจชาติกำเนิดของนาง ยังพานางกลับมาอยู่ด้วยกันที่หมู่บ้าน นางกับซ่งเกาเฟิงรักใคร่ชอบพอกัน ซ่งอวี่เซาก็ไม่คัดค้าน สุดท้ายเขาก็นั่งบนตำแหน่งประธานในโถงงานแต่ง รับสุราคารวะจากคู่รักชายหญิงคู่นั้น

หากทุกอย่างจบลงเพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นบุพเพวาสนาที่ดีงามครั้งหนึ่ง เพียงแต่ว่าเรื่องราวบนโลกยากจะคาดเดา สวนดอกไม้แห่งหนึ่งที่ภูตสาวตั้งใจเพาะปลูกเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณ ดอกไม้ใบหญ้าผลิบานตลอดทั้งสี่ฤดูกาล และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คนในยุทธภพเอาไปพูดกันปากต่อปาก สวนดอกไม้หลังหมู่บ้านแห่งนี้จึงกลายเป็นสมุนไพรยาวิเศษที่ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนในยุทธภพปรารถนาแม้แต่ยามหลับฝัน กินไปต้นหนึ่งก็สามารถเพิ่มพลังไปได้อีกหลายสิบปี หลังจากนั้นเป็นต้นมา หากมีคนขโมยต้นไม้ไปต้นสองต้น หญิงสาวผู้มีจิตใจเปี่ยมเมตตาก็จะทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ปล่อยให้โจรเหล่านั้นขโมยไป ทางหมู่บ้านก็เคยป่าวประกาศออกไปว่า พืชพรรณทั้งหมดที่ปลูกไว้ในสวนดอกไม้ไม่ได้มีสรรพคุณเพิ่มพลังให้แก่ใคร แค่ต่ออายุขัยให้ยืนยาวได้เล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเวลาผันผ่าน ปรมาจารย์ยอดฝีมือในยุทธภพที่คิดจะขโมยของในสวนดอกไม้ก็เริ่มพากันลดเลิกความคิดสกปรกเหล่านั้นไป แต่มีวันหนึ่ง นอกจากสวนดอกไม้จะถูกคนขโมยจนหายไปเกินครึ่งแล้ว โจรผู้นั้นยังไม่พอใจ ถึงกับทำลายต้นไม้ดอกไม้ที่เหลือจนสิ้นซาก ทิ้งไว้เพียงซากระเกะระกะเละเทะ สวนดอกไม้ไม่มีประโยชน์ต่อการเลื่อนขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพ แต่กลับเป็นโชควาสนาแห่งมหามรรคาของภรรยาซ่งเกาเฟิง เมื่อเจอกับหายนะครั้งนี้ หญิงสาวเจ็บปวดรวดร้าวเจียนขาดใจ ร่างกายทรุดโทรมผ่ายผอม

ซ่งเกาเฟิงตามเบาะแสไปจนพบตัวการร้ายที่อยู่เบื้องหลัง คนผู้นั้นก็คือสตรีในยุทธภพที่รักเขาจนกลายเป็นเคียดแค้น กระบี่นั้นซ่งเกาเฟิงส่งออกไปอย่างไม่ลังเล แต่กลับถูกบิดาของหญิงสาวขวางเอาไว้ ต้องรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นผู้นำยุทธภพในเวลานั้น คือปรมาจารย์วิชาหมัดที่มีชื่อเสียงก้องไปหลายทวีป อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดเป็นแม่ทัพจากชายแดน ความสัมพันธ์ในวงการขุนนางจึงแน่นแฟ้นหยั่งรากลึก ลึกจนฮ่องเต้เชื่อใจและให้ความสำคัญมาก เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งผู้นำกลุ่มพันธมิตรในยุทธภพที่ทุกคนฝากความคาดหวังไว้ก็เป็นแค่วิธีการหนึ่งที่ฮ่องเต้ใช้ควบคุมยุทธภพเท่านั้น

ไม่ว่าซ่งเกาเฟิงจะพยายามสุดชีวิตแค่ไหนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นั้น หลังกลับมาถึงหมู่บ้านวารีกระบี่ ทั้งสตรีผู้นั้นและบิดาของนางต่างก็มาขอโทษถึงบ้าน ในฐานะผู้นำที่เป็นคนรุ่นเดียวกับซ่งอวี่เซา ผู้เฒ่าที่เป็นผู้นำแห่งยุทธภพคนนั้นถึงขั้นยอมตัดแขนตัวเองขาดข้างหนึ่ง ร่างที่โชกไปด้วยเลือดของเขายืนอยู่นอกหมู่บ้าน บอกว่าใช้สิ่งนี้เพื่อไถ่โทษแทนบุตรสาว ต่อให้เวทกระบี่ของซ่งอวี่เซาจะสูงกว่าคนผู้นั้นหนึ่งระดับ แต่เขาจะยังทำอะไรได้อีก? ตัดแขนของคนผู้นั้นขาดอีกข้างหนึ่ง? จากนั้นก็ใช้กระบี่ตัดหัวหญิงสาวที่เป็นตัวการแห่งหายนะคนนั้นตามไปด้วย?

สุดท้ายจึงได้แต่ยอมเลิกราเพียงเท่านี้

ซ่งเกาเฟิงไม่ได้พูดอะไรสักคำ แม้แต่จะปรากฏตัวก็ยังไม่ทำ เขาเอาแต่เฝ้าอยู่ข้างเตียงของภรรยาที่ล้มป่วย

หลังจากที่พ่อลูกคู่นั้นจากไป ซ่งอวี่เซาหมุนตัวกลับไปอย่างเงียบงัน ไปบอกกับลูกชายถึงผลลัพธ์ของเรื่องนี้ ซ่งเกาเฟิงปิดประตูไม่ยอมพบหน้า พูดแค่สามคำว่า ข้าทราบแล้ว

สุดท้ายซ่งอวี่เซาถึงได้รู้ว่า บุตรชายซ่งเกาเฟิงเลือกเดินสู่วิถีมาร ฝึกตำราลับเล่มหนึ่งของวิชามาร การเดินทางในยุทธภพเป็นครั้งสุดท้ายของเขาคือการทำลายรูปโฉมตัวเองเพื่อแลกมาด้วยอาวุธชิ้นหนึ่ง นำกระบี่ที่ตัวเองพกเล่มนั้นทิ้งไว้ในบ้าน วันที่ปรมาจารย์วิชาหมัดล้างมือลาจากตำแหน่งผู้นำยุทธภพ ซ่งเกาเฟิงก็แอบเข้าไปในจวนของเขา แม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่กลับสังหารศัตรูได้สำเร็จ รอจนซ่งเกาเฟิงย้อนกลับมาที่หมู่บ้านก็เป็นเพียงตะเกียงที่น้ำมันแห้งขอด สุดท้ายนอนหายใจรวยรินเคียงข้างภรรยา หลับตาจากโลกนี้ไปเคียงคู่กัน

ตอนนั้นซ่งอวี่เซายืนอยู่ด้านนอก ซ่งเฟิ่งซานหลานชายที่อายุยังน้อยนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงบิดามารดาเงียบๆ ไม่มีน้ำตา และไม่พูดไม่จา

คนในยุทธภพไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้นที่ไม่มีอิสระ แม้แต่ใจก็ถูกพันธนาการไม่เป็นของตัวเองตามไปด้วย

ความรู้สึกผิดที่ซ่งอวี่เซามีต่อซ่งเกาเฟิงถูกถ่ายทอดมายังซ่งเฟิ่งซานผู้เป็นหลานชาย โดยเฉพาะเมื่อซ่งเฟิ่งซานยืนกรานว่าจะแต่งภูตตนหนึ่งเป็นภรรยา หลังการเปลี่ยนแปลงคราวนั้น ซ่งอวี่เซาก็หมดอาลัยตายอยากอย่างสิ้นเชิง และยิ่งเจ็บแค้นรังเกียจตัวเอง ดังนั้นต่อให้ซ่งเฟิ่งซานจะสมคบคิดกับสามพิฆาตของแคว้นซูสุ่ย ซ่งอวี่เซาก็ยังไม่คิดจะลงมือสังหารเขา ไม่ใช้กฎเกณฑ์ในยุทธภพของตัวเองไปบังคับกะเกณฑ์ซ่งเฟิ่งซานอีก

ซ่งเฟิ่งซานคิดจะทำอะไร ซ่งอวี่เซารู้ดีอยู่แก่ใจ

คืนนั้นซ่งเกาเฟิงสังหารอดีตผู้นำยุทธภพที่มีคนรู้จักอยู่ในราชสำนัก แต่ตัวการร้ายที่แท้จริงกลับลอยนวลไปได้ ด้วยฮ่องเต้ไม่ต้องการผิดใจกับหมู่บ้านวารีกระบี่ แล้วก็คงเป็นเพราะรู้สึกละอายใจ จึงทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อ ให้หญิงสาวน่าสงสารที่หนีพ้นเคราะห์ร้ายมาได้ผู้นั้นแต่งงานเป็นภรรยาของแม่ทัพใหญ่ผู้มีคุณูปการต่อแคว้นซูสุ่ย กลายเป็นฮูหยินตราตั้งที่มีระดับขั้นสูงสุด

ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าซ่งอวี่เซารักษากฎเกณฑ์ในยุทธภพเป็นอย่างดี ดังนั้นฮ่องเต้แคว้นซูสุ่ยจึงไม่จำเป็นต้องกังวลใจกับอริยะกระบี่อันดับหนึ่งของแคว้นผู้นี้ ส่วนหลานชายของซ่งอวี่เซา ตอนนั้นเขายังเด็กอยู่มาก ทุกคนจึงรู้สึกว่าความทรงจำของเขาย่อมต้องพร่าเลือนเต็มที ยากที่จะกลายมาเป็นภัยร้ายในวันหน้าได้

ด้วยเหตุนี้ยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยหลังจากนั้นจึงสงบสุขมานานถึงยี่สิบกว่าปี และก็เป็นยี่สิบกว่าปีที่ตำแหน่งผู้นำแห่งยุทธภพว่างเปล่าไร้คนนั่งครอง

จนกระทั่งซ่งเฟิ่งซานเปิดประตูหมู่บ้านวารีกระบี่ จัดงานเลี้ยงใหญ่รับรองยอดฝีมือจากทั่วสารทิศ และพรุ่งนี้ก็จะจัดพิธีแต่งตั้งผู้นำแห่งยุทธภพอย่างเป็นทางการ

ซ่งอวี่เซาไม่เหลือความสนใจในยุทธภพมานานมากแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่สนใจกับเรื่องใดเลย ทำไมหลายปีมานี้เขาถึงชอบท่องไปในยุทธจักรเพียงลำพัง? หรือแค่ต้องการผ่อนคลายจิตใจจริงๆ? ไม่เห็นหลานชายแล้วไม่หงุดหงิดใจ?

ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน

แต่ทั้งๆ ที่ซ่งอวี่เซารู้ดีว่าสักวันหนึ่งเมฆดำจะเคลื่อนมาสู่หมู่บ้านวารีกระบี่ที่เขาทุ่มเททั้งชีวิตและจิตใจสร้างมันขึ้นมา ภายใต้สถานการณ์อันดีงามที่เหมือนกลุ่มดอกไม้สีสันสดใสรวมตัวกัน ซ่งเฟิ่งซานหลานชายของเขาจะต้องล้ำเส้นจนกลายเป็นเป้าหมายที่คนทั่วทั้งราชสำนักหมายหัว ทั้งหมดนี้ก็คือปมในใจนอกเหนือปมในใจอีกชั้นหนึ่ง ปมในใจแรกคือความละอายใจที่มีต่อซ่งเกาเฟิงบุตรชาย ปมในใจที่สองก็คือกฎเกณฑ์ในยุทธภพที่ตนศรัทธาและเฝ้ารักษามาแตกต่างกับการกระทำของหลานชายราวฟ้ากับเหว

อริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยท่านนี้เกิดความลังเลขึ้นในใจ ไม่รู้ว่าควรจะออกกระบี่ใส่ราชสำนักดีหรือไม่ หากออกกระบี่แล้วจะเป็นการท้าทายอำนาจของฮ่องเต้หรือไม่ อันที่จริงซ่งอวี่เซาไม่สนใจแม้แต่น้อย แต่ที่เขาสนคือมันละเมิดต่อเจตจำนงเดิมของตัวเขาเอง

เพราะส่วนลึกในใจของผู้เฒ่าไม่เคยยอมรับยุทธภพของซ่งเฟิ่งซาน

แต่ทั้งหมดนี้กลับไม่สามารถระบายให้ใครฟังได้

การเดินทางในยุทธภพก่อนหน้านี้ เดิมทีคิดจะไปหาผู้อาวุโสที่เป็นทั้งมิตรทั้งศัตรู เทพกระบี่แคว้นไฉ่อีที่ทั้งวรยุทธและคุณธรรมต่างก็สูงทะลุชั้นเมฆผู้นั้น ซ่งอวี่เซาทั้งอยากจะขอความรู้ด้านวิถีกระบี่ ทั้งอยากจะคลายปมในใจนี้ น่าเสียดายก็แต่ผู้เฒ่าที่เวทกระบี่ค้ำฟ้าได้ตายไปแล้ว ซ่งอวี่เซาที่ไปได้แค่ครึ่งทางจึงจำต้องย้อนกลับทางเดิม ถึงได้มีเหตุการณ์ที่วัดร้างเกิดขึ้น

ความคิดนับร้อยนับพันประดังประเดเข้าหาผู้เฒ่าชุดดำที่อยู่ในศาลาริมน้ำ จิตใจเหม่อลอยไปไกล เป็นเหตุให้ไม่ทันสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มที่ออกหมัดเพื่อฝ่าทะลุขอบเขตคนนั้นหายเข้าไปในม่านน้ำตกนานมากแล้ว

รอจนซ่งอวี่เซาสัมผัสได้ว่าท่าไม่ดี เตรียมจะตามเข้าไปดูให้รู้แน่ชัดถึงได้เห็นว่าเฉินผิงอันเดินออกมาจากน้ำตกช้าๆ แล้วกระโดดผลุงพลิ้วกายกลับมายืนในศาลา มือทั้งคู่ที่โชกไปด้วยเลือดทายาสมุนไพรและพันทับด้วยผ้าพันแผลเรียบร้อยแล้ว

ซ่งอวี่เซาเก็บความคิดวุ่นวายใจลง ถามยิ้มๆ ว่า “เหล้ารสเลิศของหมู่บ้านก็ชิมไปแล้ว ตอนนี้เลื่อนสู่ขอบเขตปรมาจารย์น้อยแล้ว เป็นอย่างไร? ดีกว่าเดิมหรือเปล่า?”

แต่ประโยคถัดมาของเฉินผิงอันกลับทำให้ผู้เฒ่าอ้าปากค้าง “ดูเหมือนว่ายังขาดอีกนิดหน่อยถึงจะฝ่าทะลุขอบเขต ตอนนี้เหมือนว่าต่อยหนึ่งหมัดทะลุน้ำตกไปแล้ว ยังขาดขาที่ยังไม่ได้ข้ามไป”

ซ่งอวี่เซามองประเมินลมปราณที่ถูกเก็บซ่อนไว้ภายในของเด็กหนุ่ม ปณิธานหมัดทั้งร่างไหลกรากเหมือนน้ำตกที่พรั่งพรู คู่ควรวิจารณ์ด้วยคำว่าแผ่กลิ่นอายบรรยากาศยิ่งใหญ่งดงามอย่างแท้จริง ผู้เฒ่าจึงกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าคือขอบเขตสี่แน่นอนแล้ว ข้าผู้อาวุโสถึงขั้นตบอกพูดได้ด้วยว่า ไม่เคยเห็นขอบเขตสามคนไหนที่รากฐานหนักแน่นมั่นคง รวมไปถึงมีขอบเขตสี่ที่ใหม่เอี่ยมอ่องอย่างเจ้ามาก่อน เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงรู้สึกว่าขาดไปอีกก้าวหนึ่งได้?!”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ผู้อาวุโสซ่ง ขาดไปอีกนิดหนึ่งจริงๆ ข้าเองก็อธิบายต้นสายปลายเหตุไม่ออก ข้าแค่รู้ แต่ตอนนี้ข้าพอจะรู้ทิศทางคร่าวๆ แล้ว ใต้ฝ่าเท้ามีเส้นทางให้เดินแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เหมือนแมลงวันไร้หัวพุ่งไปไม่รู้ทิศทาง คาดว่าก่อนถึงนครมังกรเฒ่าก็น่าจะค่อยๆ ข้ามผ่านไปได้ หากโชคดี ตอนไปถึงท่าเรือตระกูลเซียนของแคว้นซูสุ่ยพวกท่านก็อาจจะฝ่าทะลุขอบเขตแบบฉับพลันกะทันหัน แต่ข้าเป็นคนที่ไม่ค่อยมีโชค ความเป็นไปได้ที่ต้องไปถึงนครมังกรเฒ่าก่อนแล้วค่อยฝ่าทะลุขอบเขตน่าจะมีมากกว่า”

ซ่งอวี่เซายืนสองมือไพล่หลัง เดินวนรอบร่างของเด็กหนุ่มสองรอบถึงหยุดเดิน จุ๊ปากพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า วันนี้ถือว่าข้าได้เปิดโลกกว้างแล้ว”

ซ่งอวี่เซาหัวเราะเสียงดัง “ไป ไปดื่มเหล้ากัน ไม่ว่าจะอย่างไร ต่อให้ยังไม่ได้ฝ่าทะลุขอบเขตอย่างสมบูรณ์แบบ นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้าที่ควรต้องฉลอง!”

เฉินผิงอันแกว่งน้ำเต้าบรรจุเหล้า เหล้ายังเหลืออีกเยอะ จึงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ”

ซ่งอวี่เซาพลันถามขึ้นว่า “ในเมืองเล็กนอกหมู่บ้านมีหม้อไฟร้านหนึ่งที่รสชาติยอดเยี่ยม อาหารอร่อยจนลูกค้าแทบจะกลืนลิ้นตัวเองตามไปด้วย เหล้าก็ไม่เลว เจ้าอยากจะไปลองกินหน่อยไหม? ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอาหารพอดี ข้าผู้อาวุโสสนิทกับเถ้าแก่ของร้านนั้น สามารถลดได้แปดส่วน”

เฉินผิงอันที่พอได้ยินว่าลดแปดส่วนก็กล่าวอย่างฮึกเหิมทันที “ถ้าอย่างนั้นข้าเลี้ยงเอง!”

ซ่งอวี่เซาหัวเราะร่า “อ้อ? แต่บอกไว้ก่อนนะ อาหารมื้อหนึ่งที่ร้านหม้อไฟ บวกกับเหล้ารสเลิศ อย่างน้อยต้องจ่ายเงินห้าสิบหกสิบตำลึง”

เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ พูดหน้าตาเฉยว่า “เมืองเล็กค่อนข้างไกลจากหมู่บ้านนะ ไม่สู้พวกเราแค่กินเหล้าอยู่ในเรือนก็พอแล้ว”

ซ่งอวี่เซายกนิ้วโป้งให้ “ช่างมีมาดของวีรบุรุษที่ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยจริงๆ!”

เฉินผิงอันหลุดหัวเราะก๊าก “ไปก็ไปสิ ทำไมจะไม่ไปเล่า? มื้อกลางวันนี้กินหม้อไฟแล้ว!”

ซ่งอวี่เซาอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ให้โอกาสเฉินผิงอันได้เปลี่ยนใจ หัวเราะเสียงดัง เอ่ยประโยคหนึ่งว่าตามข้ามา แล้วก็พุ่งตัวออกไปจากศาลา เหยียบลงบนกิ่งไม้สูงของต้นไม้ใหญ่ มุ่งหน้าไปนอกหมู่บ้าน

เฉินผิงอันได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะไปเรียกสวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิง จำต้องตามหลังเขาไปติดๆ

ตอนที่ทะยานผ่านยอดศาลา เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางน้ำตกแล้วหัวเราะหึหึ

บนผนังหินด้านหลังม่านน้ำ เด็กหนุ่มแอบใช้นิ้วสลักอักษรไว้สองบรรทัด เขียนจากบนลงล่าง บรรทัดหนึ่งเขียนชื่อของแม่นางคนหนึ่ง อีกบรรทัดหนึ่งเขียนว่า ‘เฉินผิงอันเคยมาเยือนที่นี่’ เด็กหนุ่มหวังว่าคราวหน้าที่มาเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่ ข้างกายตนจะมีแม่นางคนนั้นมาด้วย

แน่นอนว่าเฉินผิงอันแค่กล้าแอบคิดเท่านั้น

—–