ตอนที่ 470 ป่าสาลี่มีผู้มาเยือน

พันธกานต์ปราณอัคคี

ในป่าสาลี่ ไม่รู้ว่ามีบึงเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ น้ำในบึงสีเขียวครามใสสะอาด ปลาลวดลายสีสันสดใสนับไม่ถ้วนแหวกว่าย กระโดดลอยพ้นผิวน้ำเป็นพักๆ บ้างก็พ่นฟองน้ำออกมาเป็นริ้วๆ

 

 

บึงเล็กแห่งนี้ เกิดขึ้นเพราะมั่วชิงดึงน้ำพุวิญญาณออกมาจากบ่อ ในขณะนี้มีเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกปีหน้าตาหล่อเข้มคมขำผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่กลางบึง ใช้คมดาบสายลมบนปลายนิ้วฟันลงไปยังปลาน้อยสีแดงตัวหนึ่ง

 

 

ปลาน้อยสะบัดหาง แล้วว่ายหนีไป

 

 

“ตู้รั่ว คมดาบสายลมบังคับอย่างนี้หรือ เจ้าคิดว่ากำลังเอาฉมวกจับปลาหรือไร!” มั่วชิงเฉินยืนอยู่ริมบึง พูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น 

 

 

ตู้รั่วสูดหายใจ นิ้วขยับเบาๆ กลายเป็นเส้นกระแสลมหลายเส้น จากนั้นก็กลายเป็นเส้นด้ายสีเขียวบางๆ พุงไปใกล้ปลาน้อย ปลาน้อยจำนวนหลายตัวหงายท้องพร้อมกัน

 

 

ปลาน้อยเหล่านี้ไม่ใช่ปลาธรรมดา ยังจำได้เมื่อตอนแรกเพียงพวกมันแหวกว่ายอยู่ในน้ำ ก็นำพาแรงกระเทือนจนทำให้เขายืนแทบไม่อยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจะทำร้ายพวกมันให้บาดเจ็บแม้เพียงน้อยนิด

 

 

แต่ตอนนี้เพียงโจมตีหนึ่งครั้งก็สำเร็จโดยง่าย แต่ตู้รั่วก็ไม่ได้ภาคภูมิใจสักนิด อาจารย์ของเขา คอยกลั่นแกล้งเขาเพื่อหาความสนุกอยู่ตลอดเวลา

 

 

มั่วชิงเฉินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาตามคาด “ตู้รั่ว ข้าให้เจ้าระวังการควบคุมส่วนรายละเอียดของพลังวิญญาณ ไม่ได้บอกให้เจ้าเปลี่ยนคมดาบสายลมเป็นเข็มปักผ้าสักหน่อย หรือว่ารายละเอียดกับเข็มปักผ้าความหมายเดียวกันหรือ ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจ้าโปรดปรานการปักผ้าด้วย”

 

 

แม้ว่าจะโดนเช่นนี้มานับพันนับร้อยครั้งแล้ว แต่เขาก็ยังตัวเซไปทีหนึ่ง เขารู้ดี ว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้สามารถทำให้เขาโกรธจนแทบกระอักเลือดตาย แล้วทำให้โกรธจนต้องกลับมามีชีวิตได้ 

 

 

เขาหันตัวกระโดดขึ้นร่อนลงมาข้างมั่วชิงเฉิน ปล่อยให้หยดน้ำใสๆ ส่องประกายไหลผ่านแผงอกที่ตัดกันอย่างชัดเจน ก้มศีรษะลงเล็กน้อย น้ำเสียงเคารพนบน้อมเหมือนแต่ไหนแต่ไร “ขอท่านอาจารย์โปรดชี้แนะด้วย”

 

 

มั่วชิงเฉินเงยหน้า มองไปยังเด็กหนุ่มที่สูงกว่าตนไปครึ่งหัวแล้ว มุมปากค่อยๆ ยกขึ้น

 

 

ทั้งๆ ที่เป็นเด็กหนุ่มผู้ซึ่งทั้งสุขุมเด็ดเดี่ยวและทระนง แต่ทุกครั้งที่ถูกนางแกล้งให้โกรธจนเส้นเอ็นปูดเต้นตุบ ขึ้นบนหน้าผาก แต่กลับไม่แสดงมันออกมาแม้สักนิด ยังคงรักษาทีท่าอ่อนน้อมเช่นนั้นอยู่เสมอ แต่ทำไมนางจึงกลับยิ่งคาดหวังที่จะได้เห็นท่าทีของเขาโกรธจนทนต่อไปไม่ไหวนะ 

 

 

ตู้รั่วชำเลืองขึ้นมองเบาๆ จับสังเกตประกายที่ฉายผ่านแววตามั่วชิงเฉินได้ ก็แทบจะลืมหายใจ

 

 

อาจารย์ ถึงท่านรังแกลูกศิษย์เพื่อความสนุก แต่ก็อย่าได้แสดงออกชัดเจนขนาดนี้ จนข้ามองในออกในปราดเดียวเช่นนี้ได้ไหม

 

 

นางไม่สนสายตาพยาบาทของเด็กหนุ่ม มั่วชิงเฉินยื่นมืองามดั่งหยกเรียวบางออกไป “ตู้รั่ว เจ้าดูสิ” 

 

 

ภายใต้แสงแดด มืออันขาวผ่องของนางแทบจะโปร่งใส ที่กลางฝ่ามือ มีต้นไม้ต้นเล็กๆ ต้นหนึ่งค่อยๆ งอกขึ้น เมื่อสูงได้หนึ่งศอก ตู้รั่วก็มอง ว่านั่นคือต้นท้อน้อยๆ 

 

 

ต้นท้อน้อยสูงได้เท่านี้ก็ไม่โตขึ้นอีก แต่แต่กิ่งก้านออกมามากขึ้นเรื่อยๆ กิ่งโบกพลิ้วไปตามสายลม ดอกไม้ตูมดอกไม้น้อยๆ หลายดอกผลิออกมา

 

 

จากนั้นดอกไม้ตูมก็สั่นเบาๆ ราวกับหญิงสาวขี้อายที่ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา งามสะพรั่งเบ่งบาน กลางวสันต์อันไร้ขอบเขต

 

 

ตู้รั่วถึงกับรู้สึกว่าตัวเองได้กลิ่นหอมของดอกท้อ 

 

 

เขามองตาไม่ขยับ กลัวว่าเพียงกะพริบตา ก็จะพลาดความงามนี้ไป

 

 

ลมพัดโชยมา ดอกท้อร่วงพรูลงเต็มพื้น เกิดผลน้อยๆ หลายลูกออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินทำทีจริงจังเด็ดลูกท้อน้อยเหล่านั้น เหลือไว้เพียงสี่ลูกหลบอยู่ใต้ใบต้นท้อ เพียงครู่เดียวลูกท้อน้อยๆ เหล่านั้นก็โตขึ้น เปลี่ยนจากเขียวเป็นแดง อิ่มเอิบชวนมอง จนทำให้ต้นท้อน้อยๆ นั้นโน้มลำต้นลง 

 

 

มองอมยิ้มไปยังตู้รั่วปราดหนึ่ง เด็ดลูกท้อลูกหนึ่งโยนไป “ชิมสิ”

 

 

“กินได้หรือ” เด็กหนุ่มที่วางตัวอย่างสุขุมเป็นตัวเองมาโดยตลอด ในที่สุดก็เผยให้เห็นความประหลาดใจและสงสัย

 

 

มั่วชิงเฉินใช้สายตาราวกับมองคนปัญญาอ่อนมองไปปราดหนึ่ง “ถ้าท้อกินไม่ได้ จะเอาไว้ดูหรืออย่างไร”

 

 

เสียงดัง กร้วมๆ ตู้รั่วกัดลงไปอย่างแรงราวกับระบายความโกรธ คิ้วขมวดมุ่น

 

 

ให้ตายเถอะ กัดแรงเกินไปจนโดนเมล็ดท้อ ฟันคลอนหมดแล้ว! 

 

 

มั่วชิงเฉินหันกายกลับอย่างนิ่งเฉย มองไปยังรังนกรุงรังอันหนึ่งบนต้นท้อแก่ที่ย้ายต้นออกมาจากสวนสมุนไพรพกพาไม่ไกลจากที่นางอยู่แล้วตะโกนขึ้นว่า “อู๋เย่ว์ เจ้าเอาไหม”

 

 

มันโผล่หัวออกมาจากรังนก “เอาสิ นายท่าน โยนมาให้ข้าเลย”

 

 

มั่วชิงเฉินเด็ดลูกท้อลูกหนึ่งแล้วโยนไป แล้วพูดขึ้นอย่างจำใจ “อู๋เย่ว์ เจ้าตั้งใจจะไม่ออกจากรังถ้าฟักไข่นั้นออกมาไม่ได้จริงๆ หรือ”

 

 

อีกาไฟเหลือกตามองกลับ “ข้ามีจิตใจมั่นคงแน่วแน่ เป็นอีกาที่มีปณิธาน นายท่าน อย่าได้สั่นคลอนจิตใจอันมั่นคงของข้า ขัดขวางก้าวเดินสู่ความสุขของข้าเลย”

 

 

มั่วชิงเฉินกุมขมับ แล้วเด็ดลูกท้ออีกลูกส่งให้เขาน้อยที่วิ่งเข้ามาสีตัวอ้อนนางไม่หยุด แล้วเอาท้อลูกสุดท้ายขึ้นมากัด

 

 

ทันทีที่สะบัดมือข้างที่รองต้นท้ออยู่ ต้นท้อน้อยๆ ก็กลายเป็นแสงวิญญาณเล็กๆ กระจายหายไป 

 

 

“ตู้รั่ว หวานไหม” เห็นตู้รั่วจ้องมายังนางไม่พูดไม่จา มั่วชิงเฉินก็ถามขึ้น 

 

 

ตู้รั่วสีหน้าจริงจัง “หวานขอรับ ท่านอาจารย์ ทำไมหรือ”

 

 

มั่วชิงเฉินกะพริบตา “นี่คือลูกท้อพันธุ์พิเศษ สุกแล้วย่อมต้องหวานแน่นอน”

 

 

“ท่านอาจารย์ ศิษย์ไม่ได้ถามถึงเรื่องนั้น” ตู้รั่วขบฟัน สูดหายใจเข้าลึกหนึ่งทีแล้วกลับมาสงบนิ่ง “ศิษย์ถามว่า ต้นท้อต้นนั้นเห็นชัดๆ ว่าเป็นของปลอม เกิดจากพลังวิญญาณ แล้วทำไม…ทำไมท้อนี้ถึงกินได้”

 

 

มั่วชิงเฉินอมยิ้มมุมปาก “ใครบอกว่าปลอมเล่า ตู้รั่ว เจ้าคิดว่าฉากเมื่อกี้ หากไม่พูดถึงความเร็วของเวลาที่ผ่านไป แล้วมันปลอมตรงไหนกันหรือ”

 

 

ตู้รั่วหรี่ตา ใช่สินะ ตอนนั้นเขาได้กลิ่นหอมดอกไม้อย่างชัดเจน และยังมีลูกท้อที่มีขนอ่อนขึ้นเต็ม ขนอ่อนบนนั้นละเอียดจนเห็นได้ แล้วนี่จะปลอมได้อย่างไร 

 

 

“ตู้รั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าพลังวิญญาณคืออะไร”

 

 

ตู้รั่วอ้าปาก ทั้งๆ ที่คิดว่านี่เป็นคำถามที่ง่ายเสียยิ่งกว่าอะไรดี แต่ก็กลับรู้สึกว่าตอบออกมาไม่ได้ ราวกับว่าต่อให้พูดไปอย่างไรก็ไม่ถูก 

 

 

มั่วชิงเฉินทำสีหน้าจริงจังซึ่งน้อยนักจะได้เห็น “สรรพสิ่งบนโลกล้วนมาจากต้นกำเนิด พลังวิญญาณก็คือหนึ่งในนั้น ไม่ว่าสิ่งใด ล้วนแต่มีปัจจัยก่อกำเนิดจำเพาะ หากสามารถใช้พลังวิญญาณควบคุมจนถึงที่สุด ใช้เหมือนกับปัจจัยก่อกำเนิด เช่นนั้นแล้วต้นท้อที่เกิดจากพลังวิญญาณ ไยจึงจะเป็นของจริงไม่ได้”

 

 

พลังวิญญาณ สามารถควบคุมได้ถึงระดับนั้นเชียวหรือ 

 

 

เด็กหนุ่มรู้สึกตาสว่างขึ้นมาทันใด แล้วมองไปรอบด้าน ป่าดอกสาลี่ยังคงเดิม บ้านที่เขาสร้างขึ้นด้วยมือพร้อมกับเหล่าสหายยังคงเดิม แต่กลับรู้สึกเหมือนได้เห็นโลกใบใหม่

 

 

มองไปยังเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะคิดได้แล้วนั้น มั่วชิงเฉินก็ยิ้มบางหนึ่งที “แต่ว่านะ ต้นท้อต้นนั้นที่เจ้าเห็นเมื่อครู่เป็นของปลอมจริงๆ ลูกท้อที่เจ้ากินข้าเอามันออกมาจากถุงเก็บวัตถุ”

 

 

“ท่านอาจารย์…” ตู้รั่วว่ารู้สึกว่าดวงตาของตนเขียวปัด

 

 

อาจารย์ ท่านเกลียดที่ศิษย์ไม่ออกนอกลู่นอกทางอย่างที่ท่านปรารถนาหรือ

 

 

มั่วชิงเฉินตบไหล่เด็กหนุ่ม “ขอบเขตเช่นนั้นมีอยู่จริง เพียงแต่ข้าอาจารย์ของเจ้า ตอนนี้ยังทำไม่ได้ แต่ว่า นั่นก็คือเป้าหมายหนึ่งไม่ใช่หรือ หัวใจกว้างใหญ่เท่าใด แผ่นดินก็กว้างไกลเท่านั้น”

 

 

ตู้รั่วพยักหน้า แววตาส่องประกาย คำสอนเช่นนี้สำหรับเขาแล้วเปรียบดังหยาดฝนฤดูแล้ง เติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับหัวใจอันแห้งผาก 

 

 

ท่านอาจารย์ หากท่านปกติเช่นนี้ตลอดคงจะดีไม่น้อย

 

 

ประจวบเหมาะกับเสียงของมั่วชิงเฉินดังขึ้นอีก “ดังนั้น ตู้รั่วเอ๋ย เจ้าก็อย่าได้เอาแต่จ้องเข็มปักผ้าของเจ้าได้แล้ว”

 

 

“อาจารย์!” เด็กหนุ่มในที่สุดก็สติแตก ร้องขึ้นด้วยความโกรธ 

 

 

มั่วชิงเฉินกลับยักคิ้วขึ้นมา “ตู้รั่ว อย่าเหลวไหล มีแขกมานะ”

 

 

ขอเพียงไม่ใช่กับมั่วชิงเฉิน ตู้รั่วปกติก็จะสุขุมหลักแหลม สายตาของเขามองไปที่นั่นอย่างรวดเร็ว 

 

 

ป่าดอกสาลี่แห่งนี้ถูกมั่วชิงเฉินร่ายอาคมอำพรางตา ซ้ำยังวางค่ายกลขัดขวางไม่ให้คนภายนอกเข้ามา หากมีคนภายนอกคิดจะบุกรุก ทางเดียวก็คือต้องฝ่าค่ายกล 

 

 

มั่วชิงเฉินจับตาไปยังที่ตรงนั้น นางไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องค่ายกล ดังนั้นค่ายกลป้องกันที่วางเอาไว้จึงไม่ได้ซับซ้อนอะไร แน่นอนว่าขัดขวางผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำกว่าก่อแก่นปราณได้อย่างไม่มีปัญหา แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรที่สูงกว่าระดับก่อแก่นปราณ หากมาที่แห่งนี้จริง นางก็ไม่มีวิธีหลบหลีกให้พ้นได้ 

 

 

ตอนนี้ค่ายกลเกิดผิดปกติ เป็นลางเตือนว่าค่ายกลกำลังจะพังทลาย มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณมาหรือ 

 

 

มีคนรุกล้ำอาณาเขตของตน สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงถือว่าเป็นเรื่องต้องห้าม 

 

 

มั่วชิงเฉินโดยนิสัยแล้ว ถึงแม้จะรู้สึกไม่พอใจแต่กลับไม่ได้เดือดดาลพุ่งออกไป ทันทีสายตาขยับเคลื่อนนางก็ตัดสินใจได้ 

 

 

ครั้นแล้ว เมื่อชายหนึ่งหญิงหนึ่งฝ่าค่ายกลเข้ามาปรากฏตัวกลางป่าดอกสาลี่ ก็เห็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงชะลูดเหมือนต้นสนผู้หนึ่งยืนอยู่ที่นั่นเงียบๆ แววตาเย็นชามองพวกเขาอย่างพินิจ ที่อยู่เคียงข้าง ยังมีม้าสีขาวดั่งหิมะตัวหนึ่ง ที่น่าแปลกใจก็คือบนหน้าผากของม้าขาวตัวนั้นมีเขาสีทองก้านหนึ่งงอกออกมา ทอแสงสว่างและริบระยับใต้แสงอาทิตย์

 

 

“ผู้อาวุโสทั้งสองมีธุระหรือ” ตู้รั่วเอ่ยปาก น้ำเสียงเย็นชาห่างเหิน ในใจกลับแอบคิดว่าอาจารย์คาดการณ์ผิดแล้ว ผู้มาเยือนไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ แต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานต่างหาก 

 

 

มั่วชิงเฉินที่ซ่อนเร้นกายเห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสองคนนั้น ดวงตาก็ลุกวาวด้วยความสนใจขึ้นมา

 

 

หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ช่างเถอะ ค่ายกลที่นางวางไว้ก็ใช่ว่าจะเข้ามาได้ยาก แต่นี่กลับเป็นเพียงผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐาน ถ้าเช่นนี้ ในคู่หนุ่มสาวสองคนนี้ ต้องมีผู้ใดผู้หนึ่งถ่องแท้เรื่องค่ายกลเป็นที่สุด

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานเอ่ยขึ้น “น้องชาย พี่ชายของข้าได้รับบาดเจ็บ อยากขอยืมน้ำพุวิญญาณในที่แห่งนี้ใช้สักหน่อย ไม่รู้ว่าเจ้าของที่แห่งนี้อยู่หรือไม่”

 

 

ค่ายกลเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เด็กหนุ่มระดับหลอมลมปราณที่อยู่ต่อหน้าจะสามารถสร้างขึ้นได้ 

 

 

ฝีมือของนางในด้านค่ายกลนั้นเหนือธรรมดา หากพูดอย่างไม่ถ่อมตัว นอกเสียจากสิ่งซึ่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณบางคนไม่อาจสัมผัสได้เพราะขีดจำกัดของระดับการบำเพ็ญถึงจะเข้าใจได้แล้ว หากพูดถึงเรื่องการศึกษาค่ายกล ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั่วไปเกรงว่าจะเทียบนางไม่ติด 

 

 

แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น การทำลายค่ายกลนี้ก็สิ้นเปลืองกำลังไปไม่น้อย หากนางเดาไม่ผิด เจ้าของที่แห่งนี้คงจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรก่อแก่นปราณ

 

 

การบุกรุกที่พำนักของผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณ นางได้เตรียมใจถูกอีกฝ่ายโกรธเคืองไว้แล้ว เพียงแต่อาการบาดเจ็บของพี่ชายไม่สามารถรอได้อีกต่อไป หากไม่เข้ามายังที่แห่งนี้เพื่อใช้น้ำพุวิญญาณค่อยๆ ทำการรักษา ผลที่ตามมาไม่กล้าจะคาดคิด

 

 

“อาจารย์ของข้ามีธุระไปข้างนอก เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว ผู้อาวุโสทั้งสองรีบไปเสียเถอะ ท่านอาจารย์ไม่ชอบให้คนภายนอกรบกวน” ตู้รั่วพูดเสียงเรียบ 

 

 

ได้รู้ว่าเจ้าของที่แห่งนี้ไม่อยู่ กับเด็กหนุ่มระดับหลอมลมปราณเพียงหนึ่งคน ทั้งสองคนนี้จะทำอย่างไร 

 

 

มั่วชิงเฉินมองอยู่เงียบๆ ไม่เคลื่อนไหว นึกถึงคำพูดที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานพูด ก็รู้สึกสงสัย

 

 

อยู่ที่นี่สองปี หมู่บ้านดอกสาลี่มีการเปลี่ยนแปลงจริง แต่ที่ซึ่งนางอยู่นี้มียันต์พรางตาปกปิดเอาไว้มาตลอด เช่นนี้แล้วผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระบุได้อย่างไรว่าที่แห่งนี้มีน้ำพุวิญญาณอยู่

 

 

“ขอโทษด้วย น้องชาย พี่ชายของข้าไม่สามารถไปต่อไหวแล้ว รออาจารย์ของเจ้ามา ข้าจะขอโทษเขาเอง” พูดจบผู้บำเพ็ญเพียรหญิงก็พยุงชายซึ่งตาทั้งสองหลับสนิท เดินตรงไปยังบึงเล็ก

 

 

เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพยุงชายเดินไปยังบึงเล็ก ตู้รั่วก็รู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆ 

 

 

ที่แห่งนั้นนอกจากเขา ก็มีเพียงท่านอาจารย์ที่เดินเข้าไปได้ แล้วจะให้คนอื่นเข้าไปได้อย่างไร!

 

 

เขายกมือขึ้น คมดาบสายลมลำหนึ่งพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงราวกับมีตาอยู่ด้านหลัง ร่างขยับเซหลบพ้นไปได้ มองนิ่งไปยังคมดาบสายลมที่สลายไปด้วยแววตาสงสัย

 

 

เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นเพียงระดับหลอมลมปราณช่วงปลายเท่านั้น แต่ความสามารถในการควบคุมเคล็ดวิชานั้นชวนให้รู้สึกตะลึง เช่นนั้นแล้วอาจารย์ของเขาจะเป็นบุคคลแบบไหนกัน

 

 

เห็นหญิงสาวสีหน้าเปลี่ยนอยู่หลายครั้ง มั่วชิงเฉินก็เม้มริมฝีปาก รอดูว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนี้จะเลือกทำเช่นใดต่อ