บทที่ 407 คำถาม

บทที่ 407 คำถาม

“โอ๊ย… พี่เขยเบา ๆ หน่อยสิ…”

หลี่หรงรู้สึกว่าพี่เขยบีบเคล้นแรงเกินไปจึงอุทานออกมา

“เธออย่าพูดอะไรล่อแหลมอย่างนั้นสิ!”

อวี้ฮ่าวหรานพูดไม่ออก ถ้ามีใครได้ยินเข้า คนพวกนั้นคงคิดว่าพวกเขากำลังทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงกันแน่ ๆ

ถึงอย่างนั้นเอวอ่อนนุ่มในมือก็ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มร้อนรุ่มอย่างไม่รู้ตัว

แน่นอนว่าอวี้ฮ่าวหรานมีสมาธิที่มั่นคง จึงกำจัดความรู้สึกวาบหวามได้อย่างรวดเร็ว

แต่ดูเหมือนหลี่หรงจะไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนั้นสักเท่าไหร่ เธอจึงขยับร่างกายเข้ามาใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น

ทันใดนั้นกลิ่นหอมจากร่างกายของเธอก็ลอยเตะจมูกของอวี้ฮ่าวหรานอีกครั้ง

“พี่เขย วันนี้พี่สุดยอดมาก…”

หลี่หรงโพล่งขึ้นอีกครั้ง แต่ยังคงไม่ระวังคำพูดเหมือนเดิม จึงทำให้ประโยคเหล่านั้นฟังสองแง่สองง่ามอย่างมาก

“ถ้าไม่ได้พี่ ชื่อเสียงของตระกูลเราคงป่นปี้กว่านี้”

แน่นอนว่าเธอพูดถึงการแข่งขันก่อนหน้านี้

“ฉันไม่คิดเลยว่าพี่เขยจะขับรถเก่งขนาดนั้น พี่เห็นตอนที่มันมาเจอพี่ที่เส้นชัยไหม หน้ามันซีดอย่างกับเจอผี!”

“อืม พี่รู้ว่าเธอไม่อยากไปกับมันเลยรับปากลงแข่ง”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า ขณะเดียวกันเขาไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่เมินเฉยกับเรื่องนั้นแล้วกลับบ้านไป…

ความรู้สึกนี้ แม้แต่มหาเทพก็ต้านทานไม่ไหว!

“ฮ่า ๆ พี่เขยเก่งที่สุดในโลกเลย”

หลี่หรงพึมพำกับตัวเอง ด้วยสัมผัสอบอุ่นบริเวณเอว เธอจึงรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองก็ตอบสนองเช่นกัน

ก่อนหน้านี้อย่าว่าแต่ใกล้ชิดกับผู้ชายเลย เธอยังพยายามจะหลีกเลี่ยงการจับมือทักทายด้วยซ้ำ

“แค่ก ๆ ใกล้เสร็จแล้ว อ้อ… ทำไมวันนี้ไม่ปล่อยให้ฉันกลับบ้านก่อนล่ะ?”

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกว่าร่างกายตัวเองร้อนรุ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เขาแทบขาดสติอยู่แล้ว

ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเขาต้องห้ามใจไม่ไหวแน่!

“พอแล้ว!”

หลี่หรงหลุดออกจากห้วงความคิดทันที

เธอเอื้อมมือไปคว้าชายเสื้อของพี่เขยที่กำลังจะลุกยืนขึ้น ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่งเหมือนเดิม

“พี่เขย ฉัน…ฉันมีเรื่องจะถาม ถ้าในอนาคตพี่หลี่เม่ยกลับมาแล้ว ฉันยังอยู่ที่นี่ต่อได้ไหม?”

สุดท้ายก็ได้ถามคำถามที่ตัวเองอยากถามและกังวลกับมันมากที่สุด

นับตั้งแต่ที่หลี่เม่ยตัวปลอมปรากฏตัว คำถามนี้ก็วนเวียนอยู่ในใจของเธอมานาน

“ถ้าหลี่เม่ยกลับมา?”

อวี้ฮ่าวหรานตะลึงงันทันที คำถามนี้…ถ้าให้พูดตามตรง เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย

ถึงอย่างนั้นการขอให้หลี่หรงย้ายออกไปอยู่ข้างนอก แถมยังพรากเธอออกจากถวนถวนถือเป็นเรื่องโหดร้ายมาก เพราะยังไงเธอก็อาศัยอยู่ที่นี่มากว่าสองปีแล้ว

หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็อดหันไปมองน้องภรรยาไม่ได้

สิ่งที่เขาเห็นชัดเจนเป็นอันดับแรกคือความคาดหวังที่อยู่บนใบหน้าของเธอ

อวี้ฮ่าวหรานหลับตาและครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นจึงตัดสินใจ

“พวกเธอสองคนเป็นพี่น้องกัน เธอไม่จำเป็นต้องย้ายออกหรอก ฉันจะอธิบายให้หลี่เม่ยเข้าใจเอง”

ถ้าเธอถามอย่างนี้หลังจากที่เขากลับมาเพียงไม่กี่เดือน เขาคงตอบแบบไม่คิด

ย้ายออกหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ตอนนี้เขามีความรู้สึกบางอย่างอยู่ในใจ แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตัดสินใจทำสิ่งที่โหดเหี้ยม

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ดังนั้นชายหนุ่มจึงต้องอธิบายด้วยตัวเอง

“อืม! ขอบคุณพี่เขยมาก ๆ เลยนะ!”

คำตอบที่ได้รับทำให้หลี่หรงฉีกยิ้มกว้าง นี่คือข่าวดีที่สุดสำหรับเธอ

หลังจากนั้นไม่นาน อวี้ฮ่าวหรานก็อาบน้ำเสร็จแล้วกลับไปที่ห้องนอน แต่เขาไม่ได้ฝึกตน

เพราะความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้น เขาจึงสามารถหาจุดเชื่อมโยงในการหายตัวไปของหลี่เม่ยได้แล้ว

อวี้ฮ่าวหรานมั่นใจว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันเพียงพอที่จะจัดการแม่ชีที่พาตัวหลี่เม่ยไปในวันนั้นได้แล้ว

เขาขัดแย้งกับสำนักโลกเร้นลับมาอย่างยาวนาน แถมที่นี่ยังไม่ใช่โลกเทวะที่เคยอาศัยอยู่

ความแข็งแกร่งและความสามารถของชายหนุ่มจึงมีขีดจำกัด

เมื่อคิดดูแล้ว ถ้าโลกนี้เป็นเหมือนโลกเทวะ มันจึงต้องถูกปกครองโดยผู้ที่มีความสามารถสูงที่สุด

สุดท้ายแล้วความแข็งแกร่งของมหาเทพและราชามารก็เพียงพอที่จะบดขยี้โลกใบเล็ก ๆ นี้ได้อย่างง่ายดาย!

การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเพียงเรื่องตลก เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งที่แท้จริง

“เฮ้อ… บางทีอาจถึงเวลาตามหาหลี่เม่ยแล้ว”

ขณะครุ่นคิดอยู่นั้น อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกถึงพลังวิญญาณของผู้บรรลุขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงสุด ก่อนตัดสินใจ

หลังจากการฝึกตนเสร็จสิ้น ชายหนุ่มจึงนอนพักผ่อน

ค่ำคืนอันเงียบสงัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิบโมงเช้าวันต่อมา

หลิวว่านฉิงมีท่าทางลังเล ในที่สุดหญิงสาวก็เดินทางมาที่สำนักงานเครือฮ่าวหรานพร้อมใบประวัติโดยย่อในมือ

เธอต้องการหาเงินด้วยลำแข้งตัวเอง!

หน้าประตูบานใหญ่ หลิวว่านฉิงเงยหน้ามองตึกสำนักงานเครือฮ่าวหรานที่สูงตระหง่าน ในใจเธอพลันรู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย

เมื่อคืนเธออ่านประวัติคร่าว ๆ ของเครือฮ่าวหรานมาแล้ว ซึ่งบริษัทนี้เพิ่งถูกก่อตั้ง แต่กลับมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด!

ถ้าไม่ใช่เพราะอวี้ฮ่าวหรานรับปากไว้ เธอคงไม่สมัครทำงานในบริษัทขนาดใหญ่แบบนี้หรอก

ประวัติโดยย่อของหลิวว่านฉิงพูดถึงเพียงมหาวิทยาลัยและโรงเรียนระดับกลางถึงต่ำเท่านั้น เธอไม่มีประสบการณ์ทำงานใด ๆ เลย

แม้แต่บริษัทเล็ก ๆ ยังไม่รับเธอเข้าทำงาน นับประสาอะไรกับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีผลประโยชน์มากมายอย่างเครือฮ่าวหราน

“คุณผู้หญิง? มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองเธออย่างเป็นมิตร ถึงหญิงสาวตรงหน้าจะมีหน้าตาสะสวย แต่เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ออกจะธรรมดาสักหน่อย

“ฉ…ฉันมาสมัครงานค่ะ”

ในตอนแรกหลิวว่านฉิงมีท่าทางลังเลเล็กน้อย แต่หลังจากพูดประโยคแรก เธอก็สงบลงทันที

“ฉันเห็นว่ามีการรับสมัครงานตอนสิบโมงของทุกวันน่ะค่ะ หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันนะคะ”

เธอพูดพร้อมล้วงกระดาษที่เขียนประวัติโดยย่อออกจากกระเป๋า

เมื่อเห็นอย่างนั้นเจ้าหน้าที่รักษาจึงไม่พูดอะไรมากนัก

“ครับ รอสักครู่ ผมจะแจ้งพนักงานข้างในก่อนแล้วสักพักจะมีคนออกมารับคุณ”

สวัสดิการและเงินเดือนของเครือฮ่าวหรานนั้นสูงอย่างมาก ดังนั้นทุกคนจึงอยากเข้าทำงานที่นี่

ดังนั้นในตอนเช้าจึงมีคนหนุ่มสาวนับสิบวนเวียนเข้ามาสมัครงานเป็นประจำ

ไม่ช้าหญิงสาวในชุดสูทก็เดินออกมา

เธอเหลือบมองหญิงสาวที่อยู่ข้างนอกประตูด้วยสายตาดูถูกต่างจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

“มัวแต่ทำอะไรอยู่? รีบเข้ามาสิ ฉันรีบ”

“อ๊ะ…ค่ะ”

หลิวว่านฉิงตอบทันที ก่อนรีบวิ่งไปหาหญิงสาวที่อยู่ข้างในตึก

ระหว่างทาง…

“ฉันไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบในการสัมภาษณ์หรอก แต่ดูเหมือนคุณเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยใช่ไหม?”

ผู้หญิงสวมชุดสูทมองหลิวว่านฉิงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาเหยียดหยัน

“ค่ะ ฉันเพิ่งเรียนจบปีนี้”

หลิวว่านฉิงกัดริมฝีปากด้วยความประหม่าเล็กน้อย

“ฮ่า ๆ พูดยากจริง ๆ ฉันเคยเห็นคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับคุณมาเยอะ คงลำบากมากสินะ”

ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินคำตอบ ก่อนพูดประโยคที่แฝงไปด้วยความเสียดสี

“โอ้ จริงสิ ถ้าคุณเรียนจบมหาวิทยาลัยชื่อดังก็จะดีมาก ถึงที่นี่จะมีการแข่งขันที่ดุเดือด แต่ท่านประธานอวี้ก็ยินดีรับเด็กจบใหม่เข้าทำงาน”

เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังถามหลิวว่านฉิงว่าจบมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังหรือไม่…