บทที่ 496

บทที่ 496

ผู้ที่ช่วยอู่เหมยในช่วงเวลาวิกฤตที่สุด คือผู้ใช้ศาสตร์มืดของกลุ่มลูกศรทมิฬ นางเป็นคู่หมั้นของถังหยิน เพราะอย่างนั้นเขาจึงส่งคนมาปกป้องอู่เหมยโดยเฉพาะทั้งหมดสามคน

ในขณะที่ด้านนอกถูกล้อมรอบไปด้วยกองทัพชานซุย ชายคนนั้นก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและหยิบตราของกลุ่มลูกศรทมิฬออกมา ชื่อเสียงของกลุ่มลูกศรทมิฬไม่ใช่เรื่องที่ต้องคุยโว แม้ว่าจะเป็นแม่ทัพใหญ่ หากกระทำผิดร้ายแรง กลุ่มลูกศรทมิฬย่อมมีสิทธิ์ตรวจสอบอีกฝ่าย ดังนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมาจากกลุ่มลูกศรทมิฬ ทหารกองทัพชานซุยจึงรีบล่าถอย และเปิดเส้นทางให้กับเขาโดยทันที เมื่อเป็นเช่นนั้นกลุ่มลูกศรทมิฬจึงสามารถพาอู่เหมยหนีไปได้อย่างรวดเร็ว

ขณะที่พวกเขากำลังจะจากไป หลิวกังที่ไล่ตามมาเมื่อเห็นทหารปล่อยอีกฝ่ายไป เขาก็โกรธขึ้นมาทันที “ยืนนิ่งอยู่ไย ไล่ตามไปสิวะ!”

ทว่ามันสายเกินไปแล้วที่จะไล่ล่าในตอนนี้ เพราะอู่เหมยพร้อมทั้งกลุ่มลูกศรทมิฬได้หายไปจากสายตาของพวกเขาแล้ว

อู่เหมยยังโชคดีที่ได้รับการช่วยเหลือ แต่อู่หยู ภรรยาของเขา และอู่อิงไม่มีโชคมากขนาดนั้น พวกเขาทั้งหมดถูกจับไปคุมขังเอาไว้ ในเวลาเดียวกัน นอกที่พำนักของท่านเสนาบดีก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย

เหลียงซิงที่ได้รับอำนาจทางการทหาร ทำราวกับตนเป็นม้าป่าที่หนีจากสนามรบ เขาระบายความโกรธและความหดหู่ใจทั้งหมดที่มีลงกับทุกอย่าง จนทำให้ไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง จี้หยาง ฮ่าวชุนก็รวบรวมลูกน้องทั้งหมดของตัวเอง และเหลียงซิง รวมไปถึงขุนนางอื่นที่เชื่อถือได้เข้าด้วยกัน ก่อนจะจัดตั้งกองทัพหลายพันคน แล้วตรงไปยังที่พำนักของถังหยินเพื่อปิดล้อมโดยเฉพาะ

แม้ว่าเขาจะมีตรากองทัพของกองทัพชานซุย แต่นั่นยังไม่อาจสั่งให้คนไปกำจัดกลุ่มของชิวเจิ้นได้ ดังนั้นเมื่อคิดจะกำจัดชิวเจิ้นและคนอื่น ๆ เขาในตอนนี้จึงได้แต่พึ่งพาความสามารถของตัวเองเท่านั้น

ในฐานะหนึ่งในสี่ขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ ความคิดและฝีมือของเหลียงซิงระหว่างการต่อสู้นั้นย่อมไม่ธรรมดา วิธีการของเขาทั้งรวดเร็ว เฉียบขาด น่ากลัว หนำซ้ำยังมีจี้หยาง ฮ่าวชุนที่เก่งในการบัญชากองทัพทหารคอยช่วยเหลือเขาด้วย

แม้ว่าคำสั่งของเหลียงซิงจะบอกให้แค่ไปจับอู่หยูและคนของเขา แต่สถานการณ์ ณ เวลานี้ก็คล้ายจะสูญเสียการควบคุมไปอย่างรวดเร็ว ฝ่ายเสนาบดีจะเต็มใจถูกจับได้อย่างไร? บ่าวรับใช้ในบ้านและลูกน้องของพวกเขาต่างก็เต็มใจที่จะต่อสู้กับทหารของกองทัพชานซุย เมื่อพวกเขาเคลื่อนไหวแล้ว ความตายหรือการบาดเจ็บย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อพวกเขาเห็นว่าพี่น้องของพวกเขาเสียชีวิตด้วยมือของกองทัพชานซุย ก็ยิ่งไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป

มันจึงกลายเป็นการสังหารหมู่ในที่สุด สำหรับเหลียงซิงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ พวกเขาต่างคิดว่าการที่อู่หยูยังมีตัวตนอยู่ อย่างไรแล้ว หากต้องสู้ก็ย่อมต้องมีการตกตายหรือบาดเจ็บ และในความเป็นจริง มันก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้

เหลียงซิงหมายมุ่งที่จะฆ่าทั้งอู่หยูและลูกน้องของอีกฝ่ายทั้งหมด แน่นอนว่ามันจะช่วยเขาได้มากในอนาคต เป็นเรื่องดีที่ตอนนี้ทั้งอู่หยูและครอบครัวของเขาถูกจับตัวเรียบร้อยแล้ว ข่าวนี้ทำให้เหลียงซิงตื่นเต้นมาก เขาไม่เคยคิดเลยว่าการจับอู่หยูจะประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้! เพราะอย่างนั้นจึงไม่สามารถระงับความตื่นเต้นในใจได้ เหลียงซิงรีบออกคำสั่งให้ส่งคนมายังวังทันที

ตอนนี้กองทัพชานซุยที่เหลียงซิงบัญชาการ กำลังเข้าใกล้กับทางเข้าหลักของพระราชวังแล้ว และผู้ที่รับผิดชอบในการดูแลพระราชวังคือกองทัพปิงหยวน

เมื่อเห็นว่ามีกองทัพชานซุยจำนวนมากอยู่ด้านหน้า เหล่าผู้บัญชาการกับทหารของกองทัพปิงหยวน ต่างมึนงงและสับสนว่ามีอันใดเกิดขึ้น

เหลียงซิงรออยู่ที่หน้ารถม้า เขาเรียกผู้บัญชาการกองทัพปิงหยวนมาพูดด้วย ผู้บัญชาการกองทหารมีนามว่าไฉหยู เขาเกิดและเติบโตในเขตปิงหยวน ร่างกายของเขาสูงใหญ่ ใบหน้าครั่นคร้าม ดูองอาจกล้าหาญและชอบทำสงคราม เขาถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการที่โหดร้ายเพียงไม่กี่คนในกองทัพปิงหยวน

แน่นอนว่าเขารู้จักเหลียงซิง แต่การที่อีกฝ่ายเรียกเขามาคุยด้วย เพราะเหตุนี้มันจึงแปลกยิ่งกว่า เขาจับมือเหลียงซิงและพูดว่า “ดูเหมือนว่าจะท่านสินะที่เรียกข้ามา”

เขาพูดโดยไม่ก้มหัวให้อีกฝ่าย ด้วยศักดิ์ฐานะนี้เขาย่อมไม่จำเป็นต้องทำสิ่งนั้น

เหลียงซิงแอบโกรธอยู่ในใจ แต่การแสดงออกของเขายังคงเหมือนเดิม เขาเอ่ยคำพูดอย่างจริงจัง “ยามนี้ทหารรักษาวังถูกแทนที่ด้วยกองทัพของข้าแล้ว”

ไฉหยูขมวดคิ้ว พระราชวังล้วนได้รับการคุ้มครองโดยกองทัพปิงหยวนมาเสมอ เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นพวกชานซุยได้? ทำไมเขาถึงไม่ได้ข่าวอะไรเลย? ไฉหยูเต็มไปด้วยความสงสัยในขณะที่ถามว่า “มีคำสั่งจากนายท่านอย่างนั้นหรือ”

เหลียงซิงมีเพียงตราคำสั่งสำหรับกองทัพชานซุย แล้วเขาจะไปมีตราของกองทัพปิงหยวนได้อย่างไร? นอกจากนี้ ถังหยินไม่เคยให้ตรากองทัพอยู่ห่างกายเลยแม้แต่เพียงนิด …ทว่าเหลียงซิงเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้แล้ว เขาเอื้อมมือไปที่อก ก่อนจะหยิบบางสิ่งออกมาส่งให้

ไฉหยูหยิบมันขึ้นมาด้วยความสงสัย สิ่งนี้ไม่หาใช่ตราคำสั่งจากถังหยิน กลับกันมันเป็นประทับตราของแม่ทัพใหญ่ และคนที่รับรองไว้ด้านล่างก็คือจี้หยาง ฮ่าวชุน หลังจากอ่านจบเขาก็ไม่ได้คิดอะไรอีก แต่โยนจดหมายทิ้งในมือทิ้งไปทันที แล้วกล่าวเหลียงซิงว่า “นี่ไม่ใช่คำสั่งจากนายท่าน เช่นนั้นข้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำตาม!”

เมื่อเห็นเช่นนี้ ใบหน้าของเหลียงซิงก็มืดมนลง เขายื่นมือออกมาและชี้หน้าไฉหยู ก่อนจะตะโกนว่า “เจ้ากล้าดูหมิ่นคำสั่งของแม่ทัพใหญ่ได้อย่างไร!? เจ้าโดนโทษทัณฑ์เป็นคนแรกแน่!”

ผู้อื่น ๆ อาจจะเกรงใจเหลียงซิง แต่ไฉหยูย่อมไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา “ข้าเชื่อฟังคำสั่งของนายท่านผู้เดียวเท่านั้น!”

เมื่อกล่าวจบ เขาก็หันหลังกลับไปยังพระราชวัง

เมื่อต้องมาทนรับความอับอายในที่สถานที่โจ่งแจ้งเช่นนี้ ขณะที่อีกฝ่ายเป็นเพียงแม่ทัพนายหนึ่งเท่านั้น แล้วเหลียงซิงจะทนได้อย่างไร? เขาหันกลับมาพูดกับเหล่าทหารภายใต้อาณัติ “ชายผู้นี้ฝ่าฝืนคำสั่งของแม่ทัพ เขาตั้งใจจะกบฏ จับเขาเอาไว้!”

เมื่อเหลียงซิงออกคำสั่ง ทหารกองทัพชานซุยก็เคลื่อนพลพร้อมทำตามคำสั่ง

ทหารกองทัพปิงหยวนหลายร้อยนายที่ประจำอยู่หน้าประตูพระราชวัง รุดหน้าเข้าไปขวางกั้นเหลียงซิงไว้ ในขณะเดียวกัน เสียงขึ้นสายธนูก็ดังขึ้นทั่วสารทิศเหนือประตูวัง บนกำแพงวังนั้น มีทหารกองทัพปิงหยวนหลายพันคนเล็งธนูมายังเหลียงซิงและคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านนอก

เหลียงซิงพลันตกตะลึงในทันที เขาจ้องมองไปยังทหารของกองทัพปิงหยวนตรงหน้า ก่อนจะกัดฟันพูดว่า “มัวรออะไรอยู่เล่า มันเป็นศัตรูนะ!!!”

หลังจากพูดแบบนั้น เขาก็หันกลับมาและตะโกนใส่รองหัวหน้านายกองของกองทัพชานซุย “เห็นไหม!? คนเหล่านี้เป็นกบฏ! ฆ่าพวกมันให้หมด!”

หากคิดให้กองทัพชานซุยไปจับตัวเสนาบดีนี่ย่อมไม่เป็นอันใดมาก แต่หากต้องให้พวกเขาสู้กับทัพปิงหยวน ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าจะกระทำเช่นนั้นแน่นอน และมันก็หาใช่สิ่งที่พวกเขาอยากจะทำด้วย ดังนั้นหลังจากได้ยินคำพูดของเหลียงซิง เหล่าทหารทุกคนก็หันมองหน้ากัน ก่อนจะลดศีรษะลงอย่างไม่อยากรับรู้ ไม่พูดไม่เอ่ยและยิ่งไม่คิดต่อสู้

เมื่อเห็นเช่นนั้น เหลียงซิงก็เลิกคิ้ว หยิบตรากองทัพออกมาแล้วตะโกน “เจ้ากล้าดูหมิ่นคำสั่งของข้าหรือ?”

“ไม่ขอรับ” เมื่อเห็นตรากองทัพในมือ ทหารทุกคนต่างหน้าเสียและคุกเข่าลง

“ดีมาก! ถ้าเช่นนั้นก็สังหารพวกกบฎให้หมด!” เหลียงซิงตะโกน

ทหารทุกคนมองหน้ากันด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ

หากไม่สามารถควบคุมพระราชวังได้ ก็เท่ากับว่าเขาไม่อาจดำเนินแผนการอื่นต่อไปได้ เหลียงซิงโกรธจนแทบไฟลุก เขาดึงดาบเหล็กออกมาจากลูกน้องคนหนึ่ง แล้วชี้ไปยังรองหัวหน้านาย “ใครขัดขืนฆ่าทิ้งซะ! ”

เมื่อเห็นเหลียงซิงกระทำตัวเฉกเช่นกับคนบ้า ในใจทหารทุกคนพลันรู้สึกหนาวสั่นไปหมด ภายใต้การบีบบังคับของเหลียงซิง พวกเขาทั้งหมดยืนขึ้นหันมองหน้ากัน ก่อนจะส่ายหัวและถอนหายใจ พวกเขาจะสู้ศึกครั้งนี้ได้เช่นไร?

ทั้งพวกเขาและกองทัพปิงหยวนต่างก็มากจากฝ่ายเดียวกัน นอกจากนี้ หากนับเรื่องความแข็งแกร่ง กองทัพปิงหยวนย่อมเป็นที่สุดของที่สุด แม้พวกเขาจะอาศัยแค่กำแพงวังป้องกัน และแม้ว่าฝั่งของชานซุยจะมีคนมากกว่า แต่พวกเขาก็ยังไม่อาจหาญจะเข้าไปต่อสู้หรอกนะ!

ทุกคนในทัพชานซุยมองหน้ากัน และพยักหน้าเข้าใจกันโดยปริยาย จากนั้นพวกเขาก็ประสานมือไปทางเหลียงซิงและพูดว่า “รับทราบขอรับ!”

เมื่อเห็นว่าในที่สุด ทหารก็เต็มใจที่จะฟังคำสั่งของเขา ใบหน้าของเหลียงซิงพลันผ่อนคลายลง เขากลอกตาไปมาและพูดว่า “พวกเรามีจำนวนมากกว่า โจมตีครั้งเดียวให้พวกมันแตกพ่ายไปเลย!”

เหลียงซิงหาใช่คนธรรมดา ในฐานะเสนาบดีฝ่ายซ้าย เขาย่อมอ่านกลยุทธ์ทางทหารออก และมีความเชี่ยวชาญในการใช้กำลังพลเป็นอย่างดี

คราวนี้เหล่าทหารของชานซุยไม่ลังเลอีกต่อไป กองทัพทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนเพื่อโจมตีจากทุกทิศทาง

ในขณะที่กระบวนทัพของกองทัพชานซุยแผ่ขยายออกไป ทั้งภายในภายนอกของพระราชวังก็เต็มไปด้วยเสียงตะโกนและเสียงร้องแห่งการเข่นฆ่า ทว่ากลับไม่มีสักคนเดียวที่ก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อโจมตี จากระยะไกลนั้น เห็นเพียงกองทัพปิงหยวนตะโกนอยู่บนกำแพงวังและนอกกำแพง ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ต่อสู้กันเลย