ราชันย์สามง่ามราตรี

“เผ่าสามง่ามราตรี! เผ่ามนุษย์ของพวกเราไม่เคยประมือกับเผ่าท่านในสงคราม ทุกท่านมารบกวนการล่าสมบัติของพวกเราอย่างไม่เป็นธรรม และยิ่งไปกว่านั้นยังมาล้อมพวกเราไว้ มีเหตุผลอันใดหรือ?” ชายหนุ่มแซ่จู้มีสีหน้าเขียวคล้ำไปเล็กน้อย แต่หลังจากที่เห็นหัวหน้าของเผ่าสามง่ามราตรีซึ่งไม่อาจมองพลังยุทธ์ออกได้จากไปแล้ว ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความรู้สึกว่าโชคดีเล็กๆ

 

 

“ลงมือ!”

 

 

สตรีเผ่าสามง่ามตรีคนหนึ่งที่มีกลิ่นอายแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนของเผ่าที่เหลือร้อยกว่าคนได้ยิน พลันหัวเราะร่วนให้พวกของชายหนุ่มแซ่จู้ แต่ปากเล็กๆ กลับพ่นคำสั่งสังหารที่เย็นเยียบออกมา คาดไม่ถึงว่าจะไม่อธิบายเลยสักนิด

 

 

ชั่วขณะนั้นบุรุษและสตรีที่อยู่รอบๆ พลันสะบัดมีดดาบในมือ แล้วทยอยกันปล่อยมีดลำแสงที่หนาเป็นพิเศษเป็นสายๆ ออกมาจากขวานและใบมีดยักษ์

 

 

สถานการณ์เช่นนี้เหมือนกับครั้นเมื่อเผ่ามนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรร่วมมือกันโจมตีฝูงมดโลหิตดำก่อนหน้านี้ก็ไม่ปาน แต่แค่ผู้ที่ถูกล้อมไว้เปลี่ยนเป็นฝั่งมนุษย์บ้างเท่านั้น

 

 

แม้นว่าจำนวนคนและพละกำลังจะค่อนข้างแตกต่างกัน แต่ชายหนุ่มผมสีเงินก็ไม่ได้เหลือทนจนต้องโจมตีอย่างมดโลหิตดำ ทันใดนั้นคนของเผ่ามนุษย์สิบกว่าคนก็ทยอยกันปล่อยสมบัติที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมาด้วยความลนลาน กลายเป็นลำแสงหลากสีสันต้านทานเอาไว้อย่างสุดชีวิต หนึ่งในนั้นมีคนสำแดงเคล็ดวิชาอำพรางกายออกมา ร่างกายพลิ้วไหวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากกลางอากาศ หมายจะสะบัดก้นแนบ

 

 

ท่ามกลางความตกตะลึงระคนโกรธแค้นของชายหนุ่มแซ่จู้ เขากลับร่างกายพลิ้วไหวมาอยู่ข้างสตรีผู้งดงาม ทั้งสองคนยื่นมือที่กำแน่นข้างหนึ่งออกมา ชั่วขณะนั้นลำแสงสีฟ้าและแดงสองสายก็เปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด ทันใดนั้นพลันอ้าปากออก พ่นธงเล็กๆ ด้ามหนึ่งออกมา

 

 

เมื่อพ่นธงเล็กๆ ที่มีอักขระนิรนามหนาแน่นตั้งไม่รู้กี่ชั้นออกจากปากสองด้าม ก็เปล่งแสงนับหมื่นสายออกมา ทันใดนั้นทั้งสองก็ประสานเข้าด้วยกัน กลายเป็นลำแสงยักษ์สีแดงฟ้าชั้นหนึ่ง ห่อหุ้มพวกเขาเอาไว้

 

 

ในตอนนั้นเองมีดลำแสงเหล่านั้นก็ตวัดไปกลางอากาศกลายเป็นรอยสีขาวเป็นสายๆ

 

 

เสียง “ตูมๆ” ดังสนั่นขึ้น มีดลำแสงระเบิดออก

 

 

ลำแสงที่มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรสร้างขึ้นต้านทานเอาไว้ได้เพียงชั่วครู่ ก็ถูกมีดลำแสงสับทะลุออก แล้วถูกกลบไปจนหมด

 

 

เสียงร้องอันเจ็บปวดรวดร้าวดังออกมาท่ามกลางระเบิดอย่างต่อเนื่อง

 

 

แต่มีดลำแสงยักษ์สองสามสายนี้กลับไม่ได้เข้าร่วมการโจมตี แต่ฉับพลันนั้นกลับเปลี่ยนทิศทางสับลงไปกลางอากาศห่างจากใจกลางไปไม่ไกลนักสองสามที่

 

 

หลังจากตวัดผ่านรอยแยกสีขาวเป็นสายๆ ไปแล้ว ลำแสงสีโลหิตกลางอากาศก็ทยอยกันทะลักออกมากลางอากาศ ร่างที่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนสองสามร่างร่วงดิ่งลงไปหาพสุธา

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นที่แต่เดิมอำพรางกายอยู่ ไม่อาจหนีรอดจากเงื้อมมือของเผ่าสามง่ามราตรีเหล่านั้นไปได้ ถูกสับร่างออกอย่างง่ายดาย

 

 

ครานี้ลำแสงตรงใจกลางค่อยๆ หม่นแสงลง เผยสถานการณ์ด้านในออกมา

 

 

เห็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรที่แต่เดิมมีสิบกว่าคน ครานี้เหลือยืนอยู่แค่ห้าหกคน หนึ่งในนั้นมีชายหนุ่มแซ่จู้และภรรยารวมอยู่ด้วย

 

 

คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะอาศัยสมบัติที่แข็งแกร่ง ต้านทานการร่วมมือกันโจมตีของสามง่ามราตรีเอาไว้ ส่วนคนอื่นๆ นั้น แน่นอนว่าต่างถูกโจมตีจนกลายเป็นผุยผง

 

 

และไม่ว่าจะเป็นธงยักษ์ของชายหนุ่มและภรรยา หรือว่าสมบัติสองสามชิ้นที่ลอยอยู่เบื้องหน้าของคนอื่นๆ ครานี้ล้วนหม่นแสงลง บ้างก็สำแดงรอยแตกเป็นเส้นเล็กๆ ออกมา

 

 

เห็นได้ชัดว่าล้วนได้รับความเสียหาย ไม่อาจรับการโจมตีต่อไปได้อีก

 

 

แต่หลังจากที่ผู้บำเพ็ญเพียรที่ยังเหลืออยู่เห็นความน่ากลัวจากการโจมตีจากเหล่าสามง่ามราตรีเมื่อครู่ ก็ไม่อาจยืนนิ่งรอความตายอยู่ที่เดิมได้อีก

 

 

ทันใดนั้นชายหนุ่มแซ่จู้และหญิงงาม พลันชี้ไปที่ธงยักษ์สองด้ามเบื้องหน้า

 

 

หลังจากที่ธงทั้งสองด้ามหมุนติ้วๆ แล้วก็เปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นก็สั่นคลอนเกิดเสียงระเบิดดังขึ้น พวกมันระเบิดตัวเองออกพร้อมกัน

 

 

ชั่วขณะนั้นพายุเฮอร์ริเคนสีแดงฟ้าสองกลุ่มพลันปรากฏขึ้น พวยพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าในชั่วพริบตา!

 

 

ชายหนุ่มแซ่จู้และหญิงงามร่างกายพลิ้วไหวกลายเป็นลำแสงสองสายจมหายเข้าไปในพายุเฮอร์ริเคน จากนั้นก็กระตุ้นพายุเฮอร์ริเคนสองกลุ่มให้เป็นหนึ่งเดียวกัน กลายเป็นสิ่งมหึมาสูงสองสามร้อยจั้ง เปล่งเสียงคำรามราวกับฟ้าร้องออกมาพุ่งตัดท้องฟ้าไปอย่างดุดัน

 

 

เหล่าสามง่ามราตรีบุรุษและสตรีที่ต้านอยู่เบื้องหน้านั้น แม้ว่าจะมีนิสัยชอบความรุนแรง เห็นความน่ากลัวของพายุเฮอร์ริเคน ก็อดที่จะเกิดความโกลาหลขึ้นไม่ได้

 

 

มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลืออีกสองสามคนทั้งตกตะลึงระคนดีใจ และถือโอกาสนี้กลายเป็นสายรุ้งไล่ตามพายุเฮอร์ริเคนไปติดๆ เป็นสายๆ

 

 

เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้รู้ดีว่า หากไม่คว้าโอกาสรอดชีวิตครั้งสุดท้ายนี้ ก็ไม่มีหนทางให้รอดแล้ว

 

 

จุดที่พายุเฮอร์ริเคนสีฟ้าแดงพุ่งผ่านไปบรรยากาศรอบๆ พลันรางเลือนบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดถึงพลานุภาพที่น่ากลัว เมื่อเห็นพายุเฮอร์ริเคนทะลวงเข้าไปในฝูงชนของสามง่ามราตรี ฉับพลันนั้นเงาสีดำขนาดยักษ์สองสายก็ปรากฏขึ้นเหนือพายุเฮอร์ริเคน ยังไม่ทันที่ผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลืออยู่จะพบว่าเกิดอะไรขึ้น เสียง “ตูม” พลันดังขึ้นสี่ครั้ง พลังมหาศาลไร้รูปร่างสี่กลุ่มโจมตีไปยังพายุเฮอร์ริเคนพร้อมกัน

 

 

ชั่วขณะนั้นพายุเฮอร์ริเคนพลันสั่นคลอน ถูกต้านทานเอาไว้ที่เดิม

 

 

คาดไม่ถึงว่าสามง่ามราตรียักษ์สูงห้าสิบหกสิบจั้งสองตนที่ลอยอยู่ด้านหลังสามง่ามราตรีตนอื่นๆ จะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาปรากฏขึ้นทั้งสองฝั่งของพายุเฮอร์ริเคน กำปั้นทั้งสี่ที่ใหญ่ยักษ์ราวกับห้องห้องหนึ่งโจมตีออกไปพร้อมกัน อาศัยแค่แรงมหาศาลก็ต้านทานพายุเฮอร์ริเคนเอาไว้ได้

 

 

ชายหนุ่มแซ่จู้และหญิงงามที่อยู่ในพายุเฮอร์ริเคนพลันตกตะลึง ทั้งสองใส่ลมปราณทั้งหมดลงไปในทันทีอย่างไม่ต้องคิด พายุเฮอร์ริเคนสีฟ้าแดงหนาแค่ครึ่งหนึ่งพุ่งออกไปอีกครั้ง

 

 

แต่สิ่งที่ดูเหมือนภูเขาขนาดย่อมทั้งสองที่อยู่กลางอากาศ พลันเปล่งแสงสีแดงสว่างวาบที่ดวงตา แขนทั้งสี่โบกสะบัด คาดไม่ถึงว่าจะรางเลือนไป

 

 

กำปั้นเงาขนาดยักษ์สองสามสายปรากฏขึ้นทั้งสองฝั่งของพายุเฮอร์ริเคน ครู่ต่อมา ก็โจมตีไปยังพายุเฮอร์ริเคนอย่างบ้าคลั่ง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เห็นเช่นนั้นพลันตกตะลึง ชั่วขณะนั้นลำแสงหลีกหนีก็เปลี่ยนทิศทาง หมายจะหนีไปจากบริเวณนั้น

 

 

แต่ในตอนนั้นเอง รอบด้านพลันมีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น มีดลำแสงขนาดยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนพลันเปล่งเสียงร้องครวญออกมา

 

 

คนของเผ่าสามง่ามราตรีนับร้อยตนที่อยู่รอบๆ คาดไม่ถึงว่าจะเริ่มโจมตีระลอกที่สอง

 

 

ครานี้ไม่เพียงผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีจะเผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา ชายหนุ่มแซ่จู้และหญิงงามในพายุเฮอร์ริเคนเองก็หน้าถอดสี

 

 

เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น สั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน

 

 

……

 

 

ในส่วนลึกของใต้ดิน หานลี่ที่รอบกายมีลำแสงสีเทาเปล่งแสงระยิบระยับ กำลังหนีไปอย่างรวดเร็ว

 

 

สิ่งที่น่าแปลกก็คือ รอบกายของเขามีลำแสงสีเงินปรากฏขึ้นรอบๆ ไม่หยุด ตัดสลับกับลำแสงสีเทาที่ห่อหุ้มเรือนร่างของเขาไปมาไม่หยุด จากนั้นก็เปล่งแสงระยิบระยับเป็นชั้นๆ

 

 

หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก!

 

 

ถึงแม้ว่าเมื่อครู่เขาจะไม่ได้ตามคนส่วนใหญ่ขึ้นไปบนพื้นดิน แต่เสียงอันดังสนั่นเมื่อครู่ แม้ว่าเขาจะอยู่ใต้ดินลึกขนาดนี้ก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือน เห็นได้ชัดถึงความน่ากลัวของระเบิดในครั้งนี้

 

 

หรือว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่พุ่งออกไป จะถูกสังหารจนหมดแล้ว

 

 

หานลี่ครุ่นคิดแล้วพลันใจหายวาบ

 

 

จะว่าไปแล้วที่ถ้ำใต้ดินพังถล่มลงมาและระลอกคลื่นยักษ์พัดมาเมื่อครู่นั้น คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าสำแดงความสามารถลี้ธรณีหนีไปใต้ดินเพราะชีพจรศิลาแม่เหล็ก จึงทำได้เพียงพุ่งออกไปบนพื้นดินจากช่องหิน แต่เขาที่มีลำแสงเทวะดูดปราณ เดิมทีก็สามารถควบคุมพลังเบญจธาตุและพลังแม่เหล็กจำนวนมากในใต้หล้าอยู่แล้ว จึงลองเสี่ยงหนีไปทางใต้ดิน

 

 

ประกอบกันเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของเขาจึงสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของเผ่าประหลาดที่แข็งแกร่งกลางอากาศในทันที ไหนเลยจะกล้ารั้งรออยู่ที่นี่ต่อไป จึงปล่อยลำแสงเทวะดูดปราณออกมาอย่างไม่ต้องคิด หมายจะหนีไปทางใต้ดิน

 

 

ทว่าก่อนที่จะหนีลงใต้ดิน คางคกเที่ยงแท้ดวงตาสีเขียวมรกตกลับพุ่งออกมาจากส่วนลึกของถ้ำในสภาพที่มีแผลเต็มตัวฝูงหนึ่ง และมาพบกับหานลี่อย่างพอดิบพอดี

 

 

มีเรื่องดีๆ เข้ามาหาถึงที่ แน่นอนว่าเขาจึงไม่มีทางปล่อยไป ทันใดนั้นจึงสำแดงความสามารถต่างๆ ออกมาอย่างไม่เสียดายลมปราณ แค่พบหน้าก็สังหารคางคกเที่ยงแท้ที่เดิมทีก็สู้ไม่ไหวเหล่านั้นทิ้ง หลังจากเก็บซากมันไปแล้ว ก็หนีไปใต้ดินทันที

 

 

ส่วนสมุนไพรดอกพันใจที่ชายหนุ่มแซ่จู้พูดถึง เขานั้นไม่มีเวลาไปตามหาเลยสักนิด

 

 

ความร้ายกาจของชีพจรศิลาแม่เหล็กนั้นเหนือกว่าที่หานลี่คิดเอาไว้ แต่ลำแสงเทวะดูดปราณของเขาก็ไม่ธรรมดา อาศัยพลังของภูเขาเทวะดูดปราณก็พอจะคุ้มครองตนเองได้ ชดเชยพลังแรงดูดมหาศาลในส่วนลึกของใต้ดินไป

 

 

แม้นว่าเผ่าประหลาดเหล่านี้จะแข็งแกร่งมาก แต่ในอาณาเขตของชีพจรศิลาแม่เหล็ก คิดดูแล้วก็ไม่กล้าแอบตามรอยเขาเข้าไปใต้ดิน

 

 

เมื่อขบคิดเช่นนั้น หานลี่พลันรู้สึกผ่อนคลายลง

 

 

น่าเสียดายที่ไม่อาจตรวจสอบสถานการณ์รอบๆ ได้ เพราะชีพจรศิลาแม่เหล็ก มิเช่นนั้นก็คงวางใจมากกว่านี้

 

 

ในตอนที่ในหัวของหานลี่มีความคิดผุดขึ้นเต็มไปหมดนั้น เขาที่อยู่ใต้ดินก็พุ่งหนีไปได้สองสามพันลี้แล้ว ลำแสงสีเงินรอบด้านก็ค่อยๆ จางลง

 

 

หลังจากที่ลำแสงสีเงินสลายหายไป หานลี่ก็เปลี่ยนสีหน้า รู้สึกว่าน่าจะปลอดภัยแล้ว ทันใดนั้นจึงแผ่จิตสัมผัสขึ้นไปบนพื้น

 

 

ด้านบนมีสิ่งประหลาดเหมือนกับหุบเขาแห่งหนึ่ง สามด้านติดกับภูเขา มีทางออกเพียงด้านหนึ่ง ทุกแห่งล้วนเป็นสีเขียวขจี ไม่มีสิ่งใด และสัมผัสถึงกลิ่นอายของอสูรโบราณที่แข็งแกร่งและเผ่าประหลาดไม่ได้

 

 

หลังจากที่หานลี่ตรวจสอบซ้ำอีกสองสามครั้ง ในที่สุดถึงได้วางใจ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งไปบนพื้นดิน

 

 

เบื้องหน้าเปล่งประกาย หลังจากที่ลำแสงหม่นแสงลง คนก็มาหยุดอยู่กลางอากาศห่างจากพื้นไปยี่สิบสามสิบจั้ง

 

 

แต่เมื่อหานลี่กวาดสายตาไป สายตาก็ตกไปที่บริเวณรอบๆ ร่างทั้งร่างหนาวสะท้าน พลันชะงักค้าง

 

 

เห็นเพียงห่างจากต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่งไปได้ร้อยจั้งเศษ มีภูตอัปลักษณ์ร่างกายสูงใหญ่สองตนกำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่

 

 

ปีกที่แผ่นหลังของสามง่ามราตรีสองตนใหญ่โตเป็นพิเศษ ร่างกายสูงสิบจั้งเศษ ครานี้กำลังเอียงศีรษะมองมา แววตาประหลาดใจ

 

 

แต่สิ่งที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเห็นสามง่ามราตรีสองตน แต่เพราะเขาคิดไม่ถึงว่าจะไม่อาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบนร่างของสามง่ามราตรีทั้งสองตน เมื่อกวาดจิตสัมผัสไป ดูเหมือนว่ายอดของต้นไม้ยักษ์นั้นจะว่างเปล่า

 

 

นั่นหมายถึงอะไร หานลี่ย่อมรู้ดี

 

 

สามง่ามราตรีสองตนนี้มีพลังยุทธ์เหนือกว่าเขา ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าราชันย์สามง่ามราตรีในเผ่าสามง่ามราตรี

 

 

เช่นนั้นเขาจะไม่รู้สึกหนาวสะท้านจนแม้แต่ลมหายใจยังหยุดชะงักได้อย่างไร

 

 

ในตอนที่หานลี่ร้องอุทานอย่างขมขื่นอยู่ในใจ สามง่ามราตรีสองตนยังไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ อีกด้านหนึ่งห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง ลำแสงพลันสว่างวาบ ลำแสงหลีกหนีห้าสีอีกสายหนึ่งพุ่งออกมาจากใต้ดิน คาดไม่ถึงว่าจะมีผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนหนึ่งปรากฏตัว

 

 

หานลี่มองไปตาค้าง เมื่อเห็นคนผู้นี้อย่างชัดเจน ใบหน้าก็อดที่จะฉายแววประหลาดใจไม่ได้

 

 

คนผู้นี้มีร่างกายอรชรอ้อนแอ้น ใต้ฝ่าเท้าเหยียบอยู่บนสำเภาหยกห้าสี นั่นก็คือสตรีผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เสี้ยว

 

 

สตรีผู้นี้มองเห็นหานลี่พลันมีสีหน้ายินดี คิดจะเอ่ยปากทักทาย เมื่อสายตากวาดไปมองเห็นสามง่ามราตรีระดับสูงสองตนที่ยืนนิ่งอยู่ สีหน้าก็เขียวคล้ำไปเล็กน้อย