ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 323 คืนก่อกบฏ

จอมศาสตราพลิกดารา

“พวกหูตัวยังไม่มาอีกอย่างนั้นรึ?”

บนหอทูตส่งสาร อูลาปู้ตัวใช้ภาษาที่ราบทุ่งหญ้าเอ่ยด้วยใบหน้าหงุดหงิด

ขั้นปรมาจารย์สูงสุดสามคน ยอดปรมาจารย์หนึ่งคน และองครักษ์สี่คนไปจัดการเด็กไร้ชื่อไร้สกุลคนหนึ่ง เป็นเรื่องง่ายๆ เหมือนกับใช้มือบี้มด ตอนนี้กลับเกิดข้อผิดพลาดขึ้น ทั้งสี่คนหายไปอย่างไร้ร่องรอย

นี่มันเรื่องอะไรกัน?

วันนี้ตอนบ่ายพวกเขาสังเกตบนร่างของเด็กหนุ่มคนนั้น ก็ไม่มีคลื่นกำลังภายในแม้แต่น้อย

ต่อให้อู๋เป่ยเฉินส่งคนไปแอบคุ้มกันก็ใช่ว่าจะคุ้มครองได้

ทว่า คนที่หายตัวไปไม่ใช่เด็กหนุ่มผมสั้น แต่กลับเป็นยอดฝีมือสี่คนใต้บัญชาการของเขา

แปลกนัก

อูลาปู้ตัวสังหรณ์ใจไม่ดี

“ไม่มีร่องรอยการลงมือ ไม่พบรอยเลือดและศพ” ว่าที่ขั้นฟ้าประทานที่ท่าทางเหมือนขุนพลชายแดนของฉินตะวันตกคนหนึ่ง ใบหน้าก็ฉายแววงุนงงสงสัยเช่นกัน “หากประมาณการตามหลักแล้วละก็ ด้วยพลังของพวกเขา น่าจะเจอกับยอดฝีมืออย่างน้อยๆ ก็เป็นผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์ ถึงได้ไม่เหลือแม้แต่ซาก”

อูลาปู้ตัวแค่นเสียงเย็น เปลี่ยนสีหน้า แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ยอดฝีมือขั้นฟ้าประทานบริบูรณ์? ผู้แข็งแกร่งฟ้าประทานสมบูรณ์ในเมืองก็มีไม่กี่คน ทั้งหมดล้วนอยู่ใต้บัญชาการของข้า ต่างไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น คงไม่ใช่…คนของพวกเจ้าราชวงศ์ต้าเยวี่ยลงมือหรอกกระมัง?”

ขุนพลฉินตะวันตกตอบ “ทำแบบนั้นไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกเราเลย ท่านทูตอู วันนี้พวกเราร่วมมือกันแล้ว อย่าได้คาดเดาโดยไม่มีมูลเหตุ”

อูลาปู้ตัวแค่นเสียงหยัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

ตอนนี้เอง เสียงโห่ร้องสังหารดังขึ้นในด่านเมืองมังกร แสงไฟลุกโชติช่วงส่องสะท้อนฟ้ายามราตรีในเวลาห้ามออกจากเคหสถาน เมฆดำถูกย้อมด้วยแสงไฟจนแดงฉานเหมือนดวงตาที่มีเลือดแดงสดไหลริน

สงครามที่พวกเขาเฝ้ารอปะทุขึ้นแล้ว

อูลาปู้ตัวตื่นเต้นคึกคัก เดินมายังหน้าต่างแล้วเปิดออก

หอที่เขาอยู่ห่างจากค่ายของกองกำลังกระบี่เหล็กประมาณสองลี้ สามารถมองเห็นด่านเมืองมังกรตอนนี้ได้ว่าโกลาหลวุ่นวายไปทั่ว เสียงตะโกนสังหารดังรอบทิศ

ทหารชายแดนฉินตะวันตกที่ปักหลักอยู่ในเมืองมีทั้งหมดสามหมื่นนาย

ในนั้นมีกองกำลังกระบี่เหล็กหนึ่งหมื่น กองกำลังบุกฐานที่มั่นกับกองกำลังทวนสังหารรวมแล้วมีประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันคน รองลงมาคือทหารรักษาเมืองที่คอยดูแลความเรียบร้อยอีกห้าพันกว่านาย การก่อกบฏของกองกำลังกระบี่เหล็กที่ควบคุมกำลังพลมากที่สุด เห็นได้ชัดว่าเหนือความคาดหมายของทุกคน เกราะหนังสีดำของกองกำลังกระบี่เหล็กเหมือนคลื่นบ้าคลั่งในด่านเมืองมังกรท่ามกลางฟ้าราตรี โหมบ่าไปยังประตูเมืองฝั่งตะวันออกอย่างทรงพลัง คิดจะครอบครองเมืองฝั่งตะวันออกในทันที

หากมีคนยืนอยู่บนที่สูงแล้วก้มมองดู จะเห็นว่าห่างจากด่านเมืองมังกรไปประมาณสิบลี้ มีทหารขี่หมาป่าจากที่ราบทุ่งหญ้าสามหมื่นนายของเผ่าแมงมุมดำที่เคารพนับถือวิหารเทพแมงมุมเป็นสัญลักษณ์พุ่งโจมตีมายังประตูเมืองฝั่งตะวันออกของด่านเมืองมังกร ราวกับสายน้ำไหลบ่าไร้เสียงสีดำมืด

นี่คือการกบฏที่มีการวางแผนล่วงหน้า

กองกำลังกระบี่เหล็กของทัพชายแดนร่วมมือกับวิหารเทพแมงมุมแห่งที่ราบทุ่งหญ้า

อูลาปู้ตัวมองเมืองด่านมังกรที่อยู่ท่ามกลางไฟลุกท่วมยามกลางคืน บนใบหน้าอ้วนฉุเผยยิ้มเหี้ยมเกรียม

ดินแดนฉินตะวันตกทั้งอุดมสมบูรณ์และเย้ายวนใจ

แต่ไหนแต่ไร ชนเผ่าที่ราบทุ่งหญ้าใฝ่ฝันว่าจะย่างก้าวเข้ามาในแผ่นดินกว้างใหญ่ผืนนี้ตลอด แต่ทหารชายแดนของฉินตะวันตกกลับขัดขวาง นักรบผู้กล้าแห่งที่ราบทุ่งหญ้าต้องถูกฝังอยู่ชายแดนฉินตะวันตกนับไม่ถ้วน ยากที่จะได้เหยียบย่างเข้ามาในผืนดินนี้ และตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว ในที่สุดเผ่าแมงมุมดำก็จะทำประวัติศาสตร์ให้เป็นจริงแล้ว

เสียงตะโกนสังหาร เสียงร้องน่าสังเวช เสียงคำรามโกรธแค้น เสียงร้องอ้อนวอน…

เสียงเหล่านี้ สำหรับอูลาปู้ตัวแล้วก็ไม่ต่างจากเพลงบรรเลงอันงดงาม

ทันใดนั้น…

ตูม!

กลิ่นอายที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานสายหนึ่ง คลื่นพลังราวครึ่งขั้นเหนือมนุษย์พวยพุ่งสู่ท้องฟ้าเหนือที่ทำการขุนพลใจกลางด่านเมืองมังกร ตลบกระจายไปทั่วทั้งเมือง

“กองกำลังกระบี่เหล็กก่อกบฏ โจวอันปลุกปั่น ถ่ายทอดคำสั่งของข้าลงไป สังหารมันให้หมด”

เสียงอันเคยคุ้นคือเสียงของ ‘แปดกรพิพากษา’ จงเหว่ย ขุนพลรักษาการณ์ด่านเมืองมังกรนั่นเอง

เสียงนี้ทำให้กองกำลังอื่นๆ ในด่านเมืองมังกรที่แตกตื่นวุ่นวายได้สติขึ้นมาบ้าง

ชื่อเสียงและบารมีของ ‘แปดกรพิพากษา’ จงเหว่ยในด่านเมืองมังกรเป็นที่เลื่องลือมาก ปกป้องคุ้มครองที่แห่งนี้มาสิบปีราวกับหลักศิลา เคยสังหารคนที่ราบทุ่งหญ้าจนแค่ได้ยินชื่อก็ขวัญหนี เสียงของเขาเหมือนยากระตุ้นท่ามกลางความวุ่นวาย ทำให้ทหารฉินตะวันตกที่สับสนสงบใจลงเล็กน้อย

และแทบจะในขณะเดียวกัน กลิ่นอายแข็งแกร่งอีกหลายสายก็พวยพุ่งขึ้นมา สะดุดตาเหมือนสัญญาณควันไฟท่ามกลางท้องฟ้ามืดมิด คลื่นพลังซัดโหมดุจคลื่นคลั่ง นั่นคือหัวหน้ากองกำลังบุกฐานที่มั่น ‘ดาบเหมันต์ด่านมังกร’ เซี่ยหย่วนจื้อและหัวหน้ากองกำลังทวนสังหาร ‘ทวนสะท้านมังกร’ เปาอีเหมิง ในที่สุดก็ลงมือพร้อมกัน

“โจวอัน ตาย”

เสียงคำรามของเซี่ยหย่วนจื้อดังกังวานเป็นพิเศษท่ามกลางฟ้าราตรี

เห็นได้ชัดมากว่าหัวหน้ากองกำลังบุกฐานที่มั่นที่อารมณ์ฉุนเฉียวประจันหน้ากับหัวหน้ากองกำลังกระบี่เหล็ก ‘กระบี่สะท้านเมืองมังกร’ โจวอันที่ก่อกบฏ ผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานบริบูรณ์สองคนเข้าประหัตประหาร สิ่งก่อสร้างไม่รู้เท่าไหร่พังครืนในชั่วพริบตา

ทูตอูหมุนตัวกลับเข้าห้อง

บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มได้ใจ หัวเราะเรียบๆ แล้วเอ่ย “ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง แต่ยอดฝีมือของฉินตะวันตกที่อยู่ในเมืองยังไม่ลงมือ พวกเจ้าก็อย่าประมาท กลับไปบอกนายของพวกเจ้าด้วยว่าจะต้องเปิดประตูเมืองฝั่งบูรพาให้ได้ภายในหนึ่งถ้วยชา ต้องรอให้ทัพหมาป่าของวิหารเทพเข้าไปในด่านเมืองมังกรได้ พวกเราถึงจะนับว่ายืนได้มั่น”

ขุนพลโจวพยักหน้า เตือนว่า “อย่าลืมเงื่อนไขที่ท่านตกลงก่อนหน้านี้”

อูลาปู้ตัวหัวเราะอย่างหยิ่งยโส ใบหน้าอ้วนฉุเต็มไปด้วยหนวดเคราดก กล่าวอย่างกำแหงว่า “วางใจเถอะ” พูดแล้วเขาก็ตบมือ

คนสวมชุดเกราะหนังสีดำสิบคนเดินเข้ามา ทั่วร่างพันล้อมด้วยหมอกประหลาดประดุจไหมสีดำ

อูลาปู้ตัวเอ่ยอย่างจองหอง “วางใจเถอะ องครักษ์แมงมุมมารที่วิหารเทพแมงมุมนำมาทุกนายล้วนมีพลังขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์ มากพอจะจัดการยอดฝีมือฝ่ายทหารทั้งด่านเมืองมังกรได้”

ขุนพลโจวหันไปมององครักษ์แมงมุมมารโดยไม่รู้ตัว

มองผ่านละอองหมอกสีดำแปลกประหลาดพวกนั้น จะเห็นว่าหน้าตาขององครักษ์แมงมุมมารทุกคนล้วนเป็นชาวฉินตะวันตก ผิวดำเหมือนเหล็ก ไม่มีกลิ่นอายคนเป็นแม้แต่น้อย ที่ใบหน้า มือ และคอเต็มไปด้วยลวดลายประหลาดสีขาว เหมือนกับลวดลายตามธรรมชาติบนตัวแมงมุม ในใจของเขาอดเกิดอารมณ์ตกใจและโกรธแค้นอย่างยากจะบรรยายขึ้นไม่ได้

เพราะเขาได้ยินมาเลาๆ ว่า องครักษ์แมงมุมมารทั้งสิบคนนี้ใช้เคล็ดวิชาลับของวิหารเทพแมงมุม ใช้คนเป็นๆ สังเวย และวัตถุดิบในการสร้างก็คือยอดฝีมือในยุทธจักรฉินตะวันตกนั่นเอง องครักษ์แมงมุมมารยามมีชีวิตล้วนมีชื่อเสียงไม่น้อย แต่วิหารเทพแมงมุมกลับจับมาสังเวยเป็นองครักษ์แมงมุมมารทั้งเป็น ความเจ็บปวดที่ได้รับราวกับทัณฑ์แล่เนื้อนับร้อยนับพันครั้ง

และที่สำคัญคือ พวกเขาในวันนี้ยังมีจิตวิญญาณและความนึกคิด แต่กลับไม่ต่างอะไรกับคนตาย เป็นเหมือนหุ่นเชิด ต้องทนรับการฝึกฝนและควบคุมจากวิหารเทพแมงมุมไปตลอดกาล

วิหารเทพแมงมุมเดิมก็เป็นวิหารเทพชั่วร้ายน่าสะพรึงในที่ราบทุ่งหญ้าที่ทำเรื่องลอบสังหาร ทำลายล้าง วางยาพิษ ฆ่าล้างบาง และวางแผนชั่วเป็นหลัก

“ไปเถอะ ไปสังหารยอดฝีมือกองกำลังชายแดนฉินตะวันตกที่อยู่ในรายชื่อให้หมด”

อูลาปู้ตัวตบมือ

องครักษ์แมงมุมมารหายไปจากห้องอย่างไร้ร่องรอยดุจหมอกสีดำ

พวกมันคือปีศาจร้ายที่ท่องไปในเงามืด เรื่องที่เชี่ยวชาญที่สุดคือการลอบสังหาร

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะกลับไปรายงานองค์รัชทายาทของข้า” ขุนพลโจวเก็บสายตากลับมา ไม่อยากจะสนทนากับคนพวกนี้อีกต่อไป ครั้งนี้ก็แค่หยิบยืมพลังของคนที่ราบทุ่งหญ้าเท่านั้น รอให้องค์รัชทายาทฟื้นฟูราชวงศ์ต้าเยวี่ยให้ได้ก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นคนที่ราบทุ่งหญ้าก็ต้องไสหัวกลับไปยังที่ราบทุ่งหญ้าอยู่ดี

เขาหมุนตัวจากไปเช่นกัน

อูลาปู้ตัวหัวเราะ ยามมองแผ่นหลังของขุนพลฉินตะวันตกผู้นี้ ใบหน้าฉายแววประหลาด

ก็แค่พวกเหลือรอดจากราชวงศ์ก่อนที่ฟื้นตัวขึ้นมา เกือบจะโดนคนฉินตะวันตกบดขยี้ไม่เหลือแล้วแท้ๆ คิดจะยืมกำลังทหารทำลายฉินตะวันตก ฟื้นราชวงศ์ต้าเยวี่ย มันง่ายแบบนั้นเสียที่ไหนกัน ยืมกำลังทหารก็ได้ แต่ราคาของการยืมกำลังทหาร…ฮี่ๆ เกรงว่าพวกกบฏราชวงศ์ก่อนอย่างเจ้าจะจ่ายไม่ไหว

“ทหาร” อูลาปู้ตัวเก็บความคิดกลับมา เรียกองครักษ์สิบคนมาอีกแล้วออกไปจากหอสูง

ท่ามกลางราตรี เขามุ่งหน้าไปยังเขตที่พักของไช่ไช่สองย่าหลานด้วยสีหน้าหิวกระหาย

“นึกไม่ถึงว่าจะเจอร่างเทพอันไร้ที่ติในเมืองทหารชายแดนฉินตะวันตกเช่นนี้ กายเนื้อที่บริสุทธิ์เป็นที่สุด หากเอามาสังเวยบูชาแล้วละก็ ไม่แน่ว่าอาจทำให้เทพแมงมุมลงมาจุติจริงๆ ก็ได้ ฮ่าๆๆๆ…”

ระหว่างเดินอยู่บนถนน มองเห็นเขตเรือนของแม่เฒ่าไช่ย่าหลานอยู่ไกลๆ ในใจของเขาก็ตื่นเต้นลิงโลดเป็นที่สุด

หากเทพแมงมุมมาเยือนโลกใบนี้ได้สำเร็จ เช่นนั้นแผ่นดินใหญ่จะต้องหมอบกราบอยู่แทบเท้าวิหารเทพแมงมุม และในฐานะที่เป็นข้ารับใช้ผู้ภักดีที่สุดของเทพแมงมุม เขาจะกลายเป็นผู้มีอำนาจเหนือแผ่นดินใหญ่อย่างแท้จริง

รอบๆ มีเสียงตะโกนสังหารต่างๆ ดังมาไม่ขาดสาย เสมือนมารราตรีกำลังเริงระบำอย่างบ้าคลั่ง ด่านเมืองมังกรเหมือนตกอยู่ในนรกก็ไม่ปาน

อูลาปู้ตัวสาวเท้าไปข้างหน้า ใช้เท้าถีบประตูลานบ้านของแม่เฒ่าไช่ดังตึง

“ฮ่าๆๆ นังเด็กชั้นต่ำ พูดดีๆ ไม่รู้เรื่องต้องให้ใช้กำลังบังคับ เป็นเจ้าที่รนหาที่เอง…” อูลาปู้ตัวพุ่งเข้าไป เบื้องหลังมีองครักษ์โหดเหี้ยมดุจเสือตามมา

……

“สมควรตาย โจวอัน กองกำลังกระบี่เหล็กกล้าก่อกบฏ…พี่น้องทั้งหลาย ฆ่ามันเสีย ต่อให้ตายก็ต้องรักษาประตูเมืองเอาไว้ให้ได้”

ในมือของอู๋เป่ยเฉินสาดแสงกระบี่เป็นพันเป็นหมื่นสาย เหมือนดาวตกอย่างไรอย่างนั้น กำลังภายในธาตุไฟแผ่ระลอก สังหารทหารกองกำลังกระบี่เหล็กที่พุ่งมาสามนายจนกลายเป็นก้อนเนื้อทันใด

ประตูเมืองฝั่งบูรพาเป็นพื้นที่หลักซึ่งกองกำลังกระบี่เหล็กโจมตี ตอนนี้เต็มไปด้วยซากศพระเนระนาด เลือดไหลนองเป็นสาย

ในฐานะที่เป็นขุนพลหลักของประตูเมืองฝั่งบูรพา อู๋เป่ยเฉินแทบจะตั้งกองกำลังที่หอสังเกตการณ์กำแพงประตูเมืองทุกคืน ไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย คืนนี้ก็เช่นกัน ดีที่เขาได้รับข่าวกองกำลังกบฏสังหารทันที จึงจัดกระบวนทัพป้องกันได้ ไม่ถูกลอบโจมตี และประคองสถานการณ์เอาไว้ได้ ประตูเมืองฝั่งบูรพายังคงอยู่ในการควบคุมของกองทหารชายแดนฉินตะวันตก

ทว่า จากการบุกโจมตีของทัพกบฏกองกำลังกระบี่เหล็ก ประตูเมืองฝั่งบูรพาประดุจหินที่ถูกคลื่นซัดโจมตี ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง สามารถถูกบดขยี้ได้ทุกเมื่อ ร่างของอู๋เป่ยเฉินมีบาดแผล ทหารคนสนิทข้างกายแต่ละคนล้มลง จำนวนทหารประจำประตูเมืองฝั่งบูรพามีจำนวนเต็มหนึ่งพันคน ในตอนนี้สูญเสียไปแล้วกว่าครึ่ง

อู๋เป่ยเฉินไม่อาจคาดเดาเหตุผลที่แท้จริงของการก่อกบฏของกองกำลังกระบี่เหล็ก แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาแน่ใจได้…

ระหว่างโจวอันหัวหน้ากองกำลังกระบี่เหล็กกับทูตอูลาปู้ตัวของวิหารเทพแมงมุมแห่งที่ราบทุ่งหญ้า จะต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่อาจบอกใครได้อย่างแน่นอน

ดูออกได้จากที่โจวอันพยายามสนับสนุนอูลาปู้ตัวให้รับไช่ไช่เป็นบุตรบุญธรรมในช่วงที่ผ่านมา

หนึ่งกระบี่ฟันทหารกองกำลังกระบี่เหล็กที่พุ่งมาขาดเป็นสองท่อน อู๋เป่ยเฉินมองไปยังทางเขตเรือนของย่าหลานไช่ไช่ที่อยู่ไกลลิบ ใบหน้าปรากฏอาการร้อนรน

ค่ำคืนสังหารวุ่นวายเช่นนี้ ย่าหลานไช่ไช่จะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เขาจัดองครักษ์ไว้นอกเขตที่พักอาศัยแล้ว แต่ท่ามกลางศึกสงครามวุ่นวายเช่นนี้ กลัวว่าจะไม่มีประโยชน์อะไร สิ่งที่เขากังวลคืออูลาปู้ตัวทูตของวิหารเทพแมงมุมจะฉวยโอกาสนี้ลงมือลักพาตัวคนไป

ทำอย่างไรดี?

…………………………………