ตอนที่ 331 อันหลิงเกอตัวปลอม

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 331 อันหลิงเกอตัวปลอม

มู่จวินฮานเห็นท่าทีเยี่ยงนั้นของอันหลิงเกอ เขาจึงยื่นมือไปกุมมือนางเอาไว้และเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เมื่อสิบปีก่อน คนของสำนักหมอหลวงนามว่าขงเสี้ยง อยู่ ๆ ก็ขอออกจากราชการเพื่อกลับบ้านเกิด จากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”

เมื่อเขาพูดจบก็เห็นท่าทางตกตะลึงของอันหลิงเกอ “แต่เขามีบุตรชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ระหว่างเมืองหลวงกับฉู่โจว หากไปหาเขาบางทีอาจทราบอันใดบ้างก็ได้”

อีกด้านหลี่ซื่อที่ยังมิรู้ว่าใกล้จักโดนอันหลิงเกอหาจุดอ่อนเจอ ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ที่เรือนของอันหลิงอี นางปลอบโยนอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล

“อีเอ๋อ ครั้งนี้ท่านพ่อใจแข็งมาก แม่เองก็ทำอันใดมิได้เหมือนกัน แต่เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก แม่สั่งพวกสาวใช้ที่เรือนจวงจื่อแล้วว่าให้ดูแลเจ้าอย่างดี”

“หากเจ้าอยู่ที่นั่นแล้วลำบากจนกลับมาจวนโหวด้วยความซูบผอม แม่จักถลกหนังของพวกมันเสีย ! ”

อันหลิงอีหัวเราะออกมาเสียงเย็นยะเยือก เปลือกตาของนางยกขึ้น ไร้ท่าทีออดอ้อนดังที่ผ่านมา “จักมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ ? ถลกหนังพวกสาวใช้แล้ว ลูกจักมิลำบากเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

อันหลิงอีกล่าวออกมาเสียงแหลม คิ้วเรียวยาวทั้งสองข้างเลิกสูงขึ้นเผยให้เห็นความเย็นชาและความมิพอใจที่เป็นอยู่ในตอนนี้

“ท่านแม่ก็โทษว่าลูกทำผิดใช่หรือไม่ ท่านจึงมิสนใจปล่อยให้ลูกไปอยู่ในที่ทุรกันดารเยี่ยงนั้นคนเดียว ! ”

ตอนนั้นนางและอันหลิงเกอถูกส่งไปอยู่ที่วัดชิงหยุนด้วยกัน อันหลิงเกอเจ้าเล่ห์หลบพ้นจากแผนการของนางไปได้ อีกทั้งยังใส่ร้ายเอาคืนนางด้วย

สถานที่ทุรกันดารเช่นนั้น นางมิอยากไปเป็นครั้งที่สอง !

หลี่ซื่อยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ใช่ที่ไหนกัน อันหลิงเกอสมควรตายอยู่แล้ว มันเกิดมาเพื่อขวางทางของเจ้า ยึดตำแหน่งบุตรีของภรรยาเอกไปอีกทั้งตอนนี้ยังมีชื่อเสียงและโดดเด่นจนบดบังเจ้าไว้”

“หากมิฆ่าอันหลิงเกอให้ตาย แล้วเมื่อไรอีเอ๋อของแม่จักได้มีที่ยืน ! ”

หลี่ซื่อกล่าวไปพลางน้ำตาก็ไหลรินออกมาราวกับโศกเศร้าในสิ่งที่อันหลิงอีต้องเผชิญ

หากอันหลิงเกออยู่ที่นี่ด้วยและได้ยินในสิ่งที่หลี่ซื่อกล่าวคงต้องหัวเราะออกมาด้วยความโมโหเป็นแน่

เพราะอันหลิงเกอมิเคยดูถูกหรือรังแกอันหลิงอีมาก่อน รวมทั้งมิเคยเป็นฝ่ายเริ่มใส่ร้ายอันหลิงอีสักครั้ง ส่วนที่อันหลิงอีโดนความโดดเด่นของนางบดบังเอาไว้ก็เป็นเพราะหน้าตาและความสามารถของนางเอง

ทว่าในเมืองหลวงมีสตรีที่งดงามและมีความสามารถมากกว่าอันหลิงอีตั้งมากมาย หรือหลี่ซื่อจักไล่กำจัดคนเหล่านั้นทั้งหมดเลยหรือ ?

กล่าวไปกล่าวมาก็เป็นเรื่องการแก่งแย่งชิงดีระหว่างบุตรของภรรยาเอกและบุตรของอนุภรรยาเท่านั้น

แต่เมื่ออันหลิงอีได้ยินดังนั้นกลับมีสีหน้าดีขึ้น แม้ยังทำหน้าตามิสบอารมณ์อยู่บ้างแต่ก็มิได้เย็นชาเช่นเมื่อครู่อีก “อันหลิงเกอเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน เมื่อก่อนมันเป็นคนโง่เง่าทั้งยังขี้ขลาด ถูกพวกเรากลั่นแกล้งถึงเพียงนั้นก็ยังคิดว่าเราหวังดีกับมันอยู่ แต่ตอนนี้ลื่นอย่างกับปลาไหล สามารถรอดจากแผนการของเราได้ทุกครั้งเจ้าค่ะ”

กล่าวถึงเรื่องนี้หลี่ซื่อก็นึกถึงจางโมโม่ขึ้นมา

“หากมิใช่เพราะจางโมโม่คอยกันท่าไว้ แม่คงกำจัดอันหลิงเกอตั้งแต่ตอนที่มันยังเด็กโดยมิให้ผู้ใดรู้ไปแล้ว ใครจักคิดว่ามันใจอ่อนเลี้ยงลูกเสือมาจนโต ตอนนี้อยากกำจัดก็มิง่ายแล้ว ! ”

อันหลิงอีขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไปจริง ๆ

นางหันไปมองหลี่ซื่อก็เห็นมารดายังโมโหอยู่ “ท่านแม่ยังจำได้หรือไม่ว่าอันหลิงเกอเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไรเจ้าคะ ? ”

หลี่ซื่อนึกย้อนไปครู่หนึ่ง จากนั้นแววตาที่ชั่วร้ายก็เปล่งประกายขึ้นมา “ตอนที่เจ้าสั่งให้สาวใช้คนหนึ่งใส่ร้ายนาง”

ตอนนั้นมารดาของลู่จิงหยูป่วยหนัก หลังจากที่อันหลิงอีทราบก็สั่งให้เขาไปทำเรื่องนี้

แต่มิเพียงอันหลิงเกอมิโดนทำลายชื่อเสียง ยังสั่งให้คนไปเชิญอันอิงเฉิงมาเพื่อสอบสวนลู่จิงหยูจนหลี่ซื่อเกือบโดนอันอิงเฉิงลงโทษสถานหนักไปแล้ว

นับแต่นั้นเป็นต้นมาอันหลิงเกอก็มิใช่คนโง่เง่าและขี้ขลาดเหมือนอดีต ราวกับเป็นกระบี่ที่ซ่อนคมอยู่ภายในฝัก แม้ดูมิอันตราย แต่ยามที่ไปแตะต้องเข้าก็มักโดนกระบี่เล่มนั้นทำร้ายทุกครั้งไป

“ท่านแม่มิคิดว่าอันหลิงเกอเปลี่ยนแปลงมากเกินไปหรือเจ้าคะ ? ”

หลังจากที่พ่ายแพ้ให้อันหลิงเกอหลายต่อหลายครั้ง อันหลิงอีก็รับรู้ได้เป็นอย่างดีถึงการเปลี่ยนแปลงของอันหลิงเกอว่ามากมายเพียงใด

หากที่ผ่านมาเป็นการแสดงของอันหลิงเกอที่ปกปิดตัวตนเพื่อความปลอดภัยจริง ๆ เช่นนั้นการแสดงของอันหลิงเกอก็ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว อายุแค่มิเท่าไรก็รู้จักแสร้งทำตัวเป็นคนโง่เขลาเพื่อเอาชีวิตรอด

แต่ความโง่แบบมิลืมหูลืมตาของอันหลิงเกอตอนนั้นมิเหมือนกับการแสดงเลยแม้แต่น้อย !

ส่วนหลี่ซื่อคิดไปอีกทาง โดยเฉพาะเมื่อนางมีกู่โมโม่ที่เชี่ยวชาญในด้านการปลอมตัว จึงทำให้นางคิดว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับอีกเรื่องหนึ่งเป็นแน่

“นิสัยของอันหลิงเกอเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก แม้แต่สมองของนางก็ราวกับถูกเปิดทำให้นางฉลาดขึ้นจนเป็นคนละคน” หลี่ซื่อเม้มริมฝีปากแน่น สมองกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก “อีกทั้งนางมิได้ศึกษาศิลปะใด แต่ตอนงานเลี้ยงในวังหลวงกลับแสดงได้อย่างโดดเด่น แม้กระทั่งตอนที่จ้างโจรภูเขาไปสังหาร นางก็สามารถใช้ธนูได้อย่างแม่นยำทำให้โจรภูเขาได้รับบาดเจ็บตั้งหลายคน อันหลิงเกอเติบโตขึ้นมาในจวนแห่งนี้ แล้วจักไปร่ำเรียนวิชายิงธนูแสนร้ายกาจเช่นนั้นจากที่ใด ? ”

อันหลิงอียังกล่าวเสริมอีกว่า “ทั้งนางยังหาวิธีรักษาโรคระบาดได้ด้วย ยังบอกว่าเจอมาจากในตำราโบราณ แล้วเหตุใดหมอหลวงตั้งหลายคนมิมีผู้ใดเคยรู้มาก่อน มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่อ่านเจอ”

อยู่ ๆ นิสัยก็เปลี่ยนไป ฝีมือธนูร้ายกาจ เก่งวิชาแพทย์ทั้งที่มิมีอาจารย์สอน มิรู้ว่าไปเรียนศิลปะมาตั้งแต่เมื่อไร เรื่องแล้วเรื่องเล่าที่ปะติดปะต่อกันทำให้หลี่ซื่อและอันหลิงอีใจเต้นแรง ภายในใจอดมีความคิดประหลาดผุดขึ้นมามิได้

หรืออันหลิงเกอคนนี้จักเป็นตัวปลอม !

คนผู้หนึ่งต่อให้มีนิสัยเปลี่ยนไปหรือมีท่าทางเปลี่ยนไปก็มิสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่มิเคยรู้มาก่อนได้ในระยะเวลาอันสั้น

หลี่ซื่อคิดได้ดังนั้นลมหายใจของนางก็แรงขึ้น

หากอันหลิงเกอที่อยู่ในจวนเป็นตัวปลอม เช่นนั้นอันหลิงเกอตัวจริงอยู่ที่ใด ตายไปแล้วหรือไร ?

อันหลิงอีก็คิดเช่นเดียวกับมารดาจึงรีบกล่าวออกมา “ท่านแม่ เรื่องสำคัญคือตอนนี้เราต้องหาวิธียืนยันว่าอันหลิงเกอใช่ตัวจริงหรือไม่เจ้าค่ะ”

หากอันหลิงเกอเป็นตัวปลอม พวกนางแค่เอาเรื่องนี้ไปเปิดโปงก็เรียบร้อยแล้ว ต่อไปท่านพ่อก็จักมิมีบุตรีของภรรยาเอก นางก็จักกลายเป็นคุณหนูที่โดดเด่นที่สุดของจวนโหว !

แววตาของอันหลิงอีระยิบระยับเต็มไปด้วยความหวัง ในสายตาของนางคืออันหลิงเกอตัวปลอมทำให้นางต้องลำบากหลายต่อหลายครั้ง อีกทั้งยังอับอายผู้คนนับครั้งมิถ้วน ทำให้นางกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมือง

ถ้านางหาจุดอ่อนของอันหลิงเกอและหลักฐานเจอเมื่อไร นางจักทำให้อันหลิงเกอตายทั้งเป็น !

แม้หลี่ซื่อมีท่าทีสงบนิ่ง แต่แววตาก็แฝงไว้ด้วยความยินดี

นางแค่ต้องสืบให้ได้ว่าอันหลิงเกอคนนี้เป็นตัวปลอมหรือไม่ หากอันหลิงเกอโดนคนสวมรอย นางก็แค่เปิดโปงจากนั้นก็ยึดอำนาจในการดูแลจวนคืนมา มิแน่อาจลากเว่ยซื่อลงนรกไปด้วยก็ได้

ผู้ใดใช้ให้อันหลิงเกอช่วยเว่ยซื่อออกจากเรือนเพียนกันเล่า นี่เป็นโอกาสดีที่จักจัดการให้ราบคาบในคราวเดียวกัน !