บทที่ 294 ไม่คุกเข่า (1)
หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นบนท้องฟ้าก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก เมฆหมอกที่พลุ่งพล่านสลายไปพร้อมกับแสงพุทธบนร่างของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ที่จางหายไป
เขาลืมตาขึ้น ดวงตาสาดแสงแห่งปัญญาออกมา ก่อนจะจางหายไปหลังจากนั้นในพริบตา
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์เห็นเหล่าสาวกของสำนักพุทธยังคงครุ่นคิดและเข้าสู่สภาวะวิเศษ ในสำนักพุทธ นี่คือกระบวนการการตรัสรู้
สิ่งที่ตามองเห็น สิ่งที่หูได้ยิน จิตจะเกิดการรู้แจ้ง
แน่นอนว่า นี่ต่างจากการตรัสรู้ทันใดของไต้ซือตู้เอ้อร์อย่างมาก
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ไม่ได้ไปรบกวนการตระหนักรู้ของเหล่าสาวก เขาพนมมือและกล่าวเสียงดัง “ปราชญ์กล่าวไว้ว่า การเรียนรู้ไม่เกี่ยวกับอายุ ผู้บรรลุเข้าใจก็เป็นเซียนได้ คำกล่าวนี้สมเหตุสมผล ถึงแม้ประสกสวี่จะไม่ใช่คนในสำนักพุทธของอาตมา แต่ก็มีรากพุทธที่ยิ่งใหญ่ ทำให้อาตมาเกิดความกระจ่างแจ้งในทันใด ความคิดก็ยกระดับ นี่พิสูจน์ว่าทุกคนมีพุทธภาวะและทุกคนสามารถบรรลุการตรัสรู้ได้เมื่อเห็นตัวเอง ขอบคุณประสกสวี่สำหรับคำแนะนำ ทำให้อาตมาตระหนักรู้ถึงพุทธศาสนานิกายมหายาน ประสกสวี่ถือเป็นอาจารย์ของอาตมา ด่านที่สามนี้ ประสกชนะ”
ทฤษฎีทางพุทธศาสนาที่ลึกลับซับซ้อน เหล่าสามัญชนฟังไม่เข้าใจ พวกเขาดึงใจความหลักจากในคำพูดของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ออกมาได้ว่า
‘ประสกสวี่ช่างยอดเยี่ยม ประสกสวี่ถือเป็นอาจารย์ของข้าและประสกสวี่ผ่านด่านที่สามแล้ว’
“เมื่อครู่ ภิกษุชั้นสูงจากสำนักพุทธรูปนี้เหมือนจะพูดว่า ‘ประสกสวี่ถือเป็นอาจารย์ของข้า’ ใช่หรือไม่”
ในแถวหน้า ชายหนุ่มที่แต่งตัวเป็นปัญญาชนคนหนึ่งถามอย่างตะกุกตะกัก
‘อาจารย์ของข้าหรือ’
ชาวยุทธภพที่เป็นทหารต่างก็ตื่นเต้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทหารถูกระบบใหญ่ทุกระบบดูหมิ่นว่า ทหารใช้กำลังทำผิดกฎหมาย ทหารที่หยาบคายทำได้เพียงใช้ความรุนแรงทำลายและสังหารผู้คน
นอกจากประโยชน์ตอนทำสงครามแล้ว เวลากับสถานการณ์อื่นก็ไม่มีประโยชน์เลย แต่ก็เป็นปัจจัยที่ไม่มั่นคงของสังคมจิ่วโจว
ทว่าตอนนี้ ภิกษุชั้นสูงแห่งสำนักพุทธ พระอรหันต์ระดับสองเอ่ยว่า ทหารคนหนึ่ง ‘เป็นอาจารย์ของข้า’
เมื่อชาวยุทธภพที่อยู่รอบๆ ได้ยินประโยคนี้ก็อิ่มอกอิ่มใจ พวกเขาแทบจะคำรามเสียงดังลั่นสะเทือนฟ้า
“ชาวยุทธภพทั่วทั้งต้าฟ่งควรจดจำชื่อสวี่ชีอันไว้ เขาคือนักรบที่แท้จริง”
“ในที่สุดระบบทหารก็ถือกำเนิดบุคคลที่มีความสามารถ ข้าท่องไปทั่วยุทธภพมาหลายปี ไม่เคยมีทหารคนไหนถูกผู้แข็งแกร่งสูงสุดของระบบอื่นยกย่องเป็นอาจารย์มาก่อน”
“รอข้ากลับไปที่บ้านเกิด ข้าจะป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปให้ทั่ว การมาเมืองหลวงในครั้งนี้ช่างเป็นการเดินทางที่คุ้มค่า ข้าได้ความรู้มากมาย”
“หลังจากกลับไปที่บ้านเกิดและดื่มกับญาติมิตรแล้ว ข้าจะนำเรื่องนี้ไปเล่าสามวันสามคืน…จู่ๆ ข้าก็อดใจรอที่จะกลับบ้านไม่ไหว”
มุมหนึ่ง หญิงสาวที่ยังคงมีเสน่ห์ละสายตาจากร่างของสวี่ชีอันอย่างไม่เต็มใจและหันไปมองลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของตัวเอง หัตถ์รื่นรมย์หรงหรง
“หรงหรง อาจารย์ตรวจสอบดูแล้ว ใต้เท้าสวี่ผู้นี้…อืม เป็นแขกประจำของสำนักสังคีต”
หรงหรงที่แต่งองค์ทรงเครื่องแต่กลับดูไม่เข้ากับยุคสมัยกัดริมฝีปาก หันกลับไปมองหญิงสาวคนนั้น “ท่านอาจารย์ ท่านอยากจะพูดอะไรหรือ”
“สตรีชาวยุทธ์เช่นพวกเราไม่สนใจสถานะ” หญิงงามคนนั้นเอ่ยเสียงเบา “หรงหรง ด้วยหน้าตาอันงดงามของเจ้า การได้เป็นภรรยาของใต้เท้าสวี่อาจเป็นการฝืนความจริงอยู่สักหน่อย ทว่าสถานะของเจ้าไม่เพียงพอ ทว่าหากเป็นนางสนมย่อมไม่มีปัญหา”
“ข้า…”
หรงหรงอยากปฏิเสธ แต่ผู้ชายคนนั้นเปล่งปลั่งมากจริงๆ เปล่งปลั่งจนทำให้ผู้หญิงที่ภูมิใจในความงามของตัวเองเช่นนางอดใจเต้นไม่ได้
…
สวี่ชีอันปีนขึ้นบันได ระหว่างทางเขาไม่พบด่านใดอีกจนเดินมาถึงปลายบันไดและก้าวเข้าสู่สนามเล็กๆ ข้างนอกวัดบนยอดเขา
นี่เป็นวัดเดี่ยวที่มีหลังคาเรียบ ชายคาสูง ไม่มีโถงด้านข้าง ไม่มีห้องปีกและมีเพียงโถงใหญ่
“ข้างในวัดน่าจะเป็นด่านสุดท้าย ข้าจำได้ว่าพระอรหันต์ตู้เอ้อร์บอกว่า เมื่อเข้าไปในวัด หากยังคงไม่ยอมเปลี่ยนไปเข้าสำนักพุทธ เช่นนั้นก็จะถือว่าสำนักพุทธพ่ายแพ้…”
ทันใดนั้น ในหัวของสวี่ชีอันก็นึกถึงหนึ่งร้อยแปดกระบวนท่าที่เหล่าคณิกาแห่งสำนักสังคีตสอน ด้วยเหตุนี้ภายในใจจึงปนเปื้อนและร่างทั้งร่างก็ย้อมด้วยสีของราชวงศ์
เมื่อยืนยันว่าตัวเองกลายเป็นเฒ่าหื่นกามแล้ว เขาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ผลักประตูวัดและเข้าไปภายในโถง
…
เมื่อเห็นฉากนี้ พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ก็พนมมือและเอ่ยว่า “เมื่อเข้าไปในวัดแห่งนี้ แม้แต่ก้อนหินก็สามารถตรัสรู้ได้และเปลี่ยนไปเข้าสำนักพุทธ”
นี่หมายความว่าอย่างไร
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ทุกคนก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็นึกถึงหัวข้อของการต่อสู้ครั้งนี้ ‘เปลี่ยนไปเข้าสำนักพุทธ’
สมณทูตแดนประจิมไม่เพียงต้องการเอาชนะและได้รับแผ่นความลับสวรรค์เท่านั้น แต่ยังต้องการให้นักรบเปลี่ยนไปเข้าสำนักพุทธเพื่อตบหน้าต้าฟ่งด้วย
“ภิกษุหน้าเหม็น ข้าอยากเห็นสถานการณ์ภายในวัด” ยายตัวร้ายผุดลุกขึ้นทันใด นัยน์ตาดอกท้ออันทรงเสน่ห์ชวนให้หลงใหลเผยความดุร้ายที่หาได้ยากออกมาและกล่าวด้วยความโกรธ
“ใครจะรู้ว่าสำนักพุทธของพวกเจ้าวางกลอุบายสกปรกอะไรไว้ข้างในเพื่อทำร้ายฆ้องเงินแห่งต้าฟ่งของข้า”
นางไม่เชื่อว่าสวี่ชีอันจะละทางโลกและเข้าสู่ประตูพุทธ แต่วิธีการของสำนักพุทธนั้นแปลกประหลาด อาจบีบให้ ‘พ้นทุกข์’ ก็เป็นไปได้ เมื่อไม่ได้เห็นสถานการณ์ภายในวัด ยายตัวร้ายก็จินตนาการไม่หยุด นางจินตนาการว่าสวี่ชีอันได้รับบาดเจ็บ
นางจึงอดไม่ได้ในทันที
“ในเมื่อเป็นการต่อสู้ ย่อมควรเปิดเผย พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ โปรดแสดงฉากภายในวัดด้วยเถิด” ฮว๋ายชิ่งกล่าวอย่างเย็นชา
เหล่าขุนนางที่อยู่ในซุ้มไม้เอ่ยปากทีละคนๆ
“มีเหตุผล!”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์พนมมือและยิ้ม เขาสะบัดแขนเสื้อกว้างและภาพแดนพุทธก็เปลี่ยนไป ทุกคนจึงเห็นโถงใหญ่ที่มีแสงเทียนริบหรี่
ภายในโถง ร่างทองสูงหกฟุตนั่งขัดสมาธิ ยอดศีรษะเกือบจะแตะกับยอดโถง
พระพุทธรูปองค์นี้ หูสองข้างอวบอ้วนห้อยลง ใบหน้าราวกับแผ่นทอง ดวงตาหรี่ลงราวกับยิ้มด้วยความเมตตา แต่กลับแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขามที่ยากจะอธิบายและส่งไปถึงจิตวิญญาณ
ทำให้คนที่มองดูอดพนมมือเพื่อทำความเคารพไม่ได้
“ในวัดมีธรรมลักษณะทั้งหมดสององค์ องค์นี้เป็นธรรมลักษณะระดับเพชร ประสกสวี่ ความลึกลับของพระสูตรระดับเพชรอยู่ภายในร่างทอง หากประสกสามารถบรรลุได้ ประสกก็จะสามารถฝึกฝนจนกลายเป็นระดับเพชรไร้พ่ายแห่งสำนักพุทธได้”
เสียงของไต้ซือตู้เอ้อร์ส่งเข้ามา
พระสูตรระดับเพชรอยู่ภายในธรรมลักษณะ…ดวงตาของสวี่ชีอันลุกเป็นไฟทันที เขาอิจฉากายสิทธิ์ระดับเพชรของสำนักพุทธมาโดยตลอด หากเขาสามารถฝึกฝนพลังเทวราชคุ้มกายานี้ได้ เขาก็จะอยู่ยงคงกระพันในขอบเขตทหารระดับหก
ยิ่งไปกว่านั้น หากมีพลังเทวราชนี้ ข้อบกพร่องสุดท้ายของสวี่ชีอันก็จะได้รับการเติมเต็ม หลังจากฟันดาบเดียวเสร็จ ใต้เท้าสวี่ที่พลังปราณหมดก็จะโยนดาบทิ้ง ล้มตัวนอนกับพื้นและพูดกับศัตรูว่า ‘เข้ามา เคลื่อนไหวเอง’
ไม่แปลกใจที่ท่านโหราจารย์ยืนยันว่าจะให้ข้าเป็นตัวแทนของสำนักโหราจารย์ไปต่อสู้…ท่านโหราจารย์ ทั้งหมดนี้อยู่ในการคาดการณ์ของท่านใช่หรือไม่
นอกจากจะรู้สึกตื่นเต้นแล้ว สวี่ชีอันยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบอีกด้วย ท่านโหราจารย์น่ากลัวเกินไป
ด้านนอก หลังจากฟังคำพูดของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์จบ ดวงตาของทหารที่อยู่ในที่นี้ก็เปล่งประกายทันที พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองพระพุทธรูป แทบจะจ้องตาเขม็งและยึดติดกับพระพุทธรูป
สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิบนเบาะและเงยหน้าขึ้นเพ่งพินิจธรรมลักษณะระดับเพชร
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์กำลังมองเขาอยู่ พลังเทวราชระดับเพชรเหมาะกับจอมยุทธ์ภิกษุเท่านั้น หากไม่ถึงขอบเขตพระอรหันต์ ภิกษุที่ฝึกพระธรรมก็ไม่อาจควบคุมพลังเทวราชระดับเพชรได้
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์กำลังวาดมโนภาพให้สวี่ชีอันเพื่อปูทางให้เขาเข้าสู่สำนักพุทธ
สาวกชาวพุทธที่เกิดมาพร้อมกับรากปัญญา ไม่ว่าอย่างไร พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ก็จะช่วยเขาละทางโลกและกลายเป็นศิษย์ของสำนักพุทธ
เขาไม่ได้เพียงแค่เสียดายความสามารถเท่านั้น แต่เพราะสวี่ชีอันเป็นผู้บุกเบิกพุทธศาสนานิกายมหายานและพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ก็ต้องการเป็นผู้ก่อตั้งพุทธศาสนานิกายมหายาน
ด้วยเหตุนี้ หากเขาต้องการเผยแพร่แนวคิดพุทธศาสนานิกายมหายานให้มากยิ่งขึ้นและต้องการเปลี่ยนนิกายหินยานเป็นนิกายมหายาน การดำรงอยู่ของสวี่ชีอันมีความสำคัญอย่างมาก
ผู้บุกเบิกที่นำเสนอแนวคิดพุทธศาสนานิกายมหายานเช่นสวี่ชีอันจะต้องเข้าร่วมสำนักพุทธ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นถึงจะแสดงให้เห็น ‘ความดั้งเดิม’ ได้
พระสูตรระดับเพชรอยู่ในพระพุทธรูปหรือ ของระเกะระกะอะไรอย่างนี้ เห็นๆ อยู่ว่าไม่มี…สวี่ชีอันจ้องมองพระพุทธรูปและพินิจอยู่หนึ่งเค่อโดยไม่กะพริบจนดวงตาของเขาเจ็บ
ข้าช่างเป็นทหารหยาบคายที่ไร้ซึ่งรากพุทธจริงๆ…เขาเยาะเย้ยตัวเองในใจ
ทันใดนั้น ภายในท้องก็มีกระแสน้ำอุ่นพุ่งขึ้นมา พุ่งขึ้นจากตันเถียน ไหลผ่านตันเถียนกลางและเข้าสู่ตันเถียนบน คิ้วของเขากระตุกทันทีราวกับฟิล์มพลาสติกถูกดึงออก
พระพุทธรูปที่อยู่เบื้องหน้าเขามีการเปลี่ยนแปลง…
มันยังคงนั่งขัดสมาธิไม่เคลื่อนไหว แต่พุทธสัมผัสกลับไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ก่อนที่เซนลึกลับจะปรากฏขึ้นต่อหน้าสวี่ชีอัน
สิ่งที่ทำให้ผู้คนคาดไม่ถึงคือ เขาเข้าใจเซนและพุทธสัมผัสที่แฝงอยู่ในธรรมลักษณะ
กำ กำ…กำลังช่วยข้าหรือ?!
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา สวี่ชีอันเปลี่ยนท่านั่งโดยไม่รู้ตัว เขาพนมมือและหรี่ตาลงเหมือนกับพระพุทธรูปทุกประการ
กระบวนการนี้ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเพียงใด ทันใดนั้น ระหว่างคิ้วของเขาก็มีจุดสีทองปรากฏขึ้น จากนั้นมันก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีพู่กันล่องหนวาดอยู่บนร่างของเขา
ไม่กี่อึดใจ ทั่วทั้งร่างของสวี่ชีอันก็ปกคลุมไปด้วยแสงสีทองอร่ามราวกับว่าเขาเป็นธรรมลักษณะร่างทอง
…
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ตกตะลึง
“เขา เขาเปลี่ยนเป็นร่างทองได้อย่างไร?!”
“นี่ นี่…เขาเปลี่ยนไปเข้าสำนักพุทธจริงๆ หรือ”
เมื่อเห็นฉากนี้ ประชาชนในเมืองก็แทบทรุด ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนสีทันที แต่ละคนเหมือนกับลูกโป่งที่ถูกเจาะและลอยออกไปนับพันลี้ ไม่มีความสุขและความภาคภูมิใจเช่นก่อนหน้านี้อีกต่อไป
ใต้เท้าผู้นี้ผ่านสามด่าน ทำให้ต้าฟ่งโดดเด่นและทำให้ประชาชนในเมืองหลวงรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ แต่สุดท้ายเขากลับถูกสำนักพุทธทำให้ ‘พ้นทุกข์’
ผลการตบของสำนักพุทธนั้นโหดร้ายเกินไปจริงๆ
“ระดับเพชรไร้พ่าย เขาฝึกฝนจนกลายเป็นระดับเพชรไร้พ่ายแล้ว!” ภายในฝูงชนจู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนอันแหลมสูงดังขึ้นมา
นั่นคือผู้ชายที่แต่งตัวเป็นชาวยุทธ์ เขาชี้ไปที่สวี่ชีอันอย่างตื่นเต้น ริมฝีปากสั่นไม่หยุด
“ระดับเพชรไร้พ่ายอะไร ไม่ใช่ว่าเขาเปลี่ยนไปเข้าสำนักพุทธแล้วหรือ”
คนที่อยู่ข้างๆ ชายหนุ่มคนนั้นรีบถาม
“แน่นอนว่าไม่ใช่ เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้เปลี่ยนไปเข้าสำนักพุทธเท่านั้น แต่เขายังฝึกฝนพลังเทวราชของสำนักพุทธจนสำเร็จ ระดับเพชรไร้พ่าย” ชายที่แต่งตัวเป็นชาวยุทธ์อธิบายพลางกระโดดโลดเต้นและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ฉวยโอกาสไม่สำเร็จยังขาดทุนอีกต่างหาก ฮ่าๆๆ! สำนักพุทธฉวยโอกาสไม่สำเร็จยังขาดทุนอีกต่างหาก ฆ้องเงินคนนี้เป็นอัจฉริยะ อัจฉริยะ ต่อไปในภายภาคหน้า ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเหนือกว่าอ๋องสยบแดนเหนือและกลายเป็นนักรบอันดับหนึ่งของต้าฟ่งก็เป็นได้”
ทันใดนั้นเสียงดังกึกก้องราวกับน้ำท่วมที่ทะลักเข้ามาก็โหมกระหน่ำ เหล่าประชาชนที่ไม่เข้าใจการฝึกตนต่างโล่งใจและหัวเราะออกมาอีกครั้ง
ที่แท้ไม่ใช่อัจฉริยะหนุ่มของต้าฟ่งเปลี่ยนไปเข้าสำนักพุทธ แต่ฝึกฝนร่างทองของสำนักพุทธจนสำเร็จ
ต่อไปในภายภาคหน้า ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเหนือกว่าอ๋องสยบแดนเหนือ…เมื่อหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ สวี่ซินเหนียนได้ยินคำพูดนี้ก็หูขยับ เขาเงยหน้าขึ้นและจ้องมองสวี่ชีอันด้วยท่าทีซับซ้อน
โกหก ต้าฟ่งจะมีคนที่เหนือกว่าอ๋องสยบแดนเหนือในด้านสายยุทธ์ได้อย่างไร
ในพื้นที่เดียวกัน ฆ้องทองคำเก้าคนอิจฉาอยู่ในใจ กรดในท้องปั่นป่วน พวกเขาที่แข็งแกร่งพอๆ กับทหารระดับสี่ต่างก็น้ำลายสอเพราะระดับเพชรไร้พ่าย
ภายใต้สถานการณ์ที่พลังต่อสู้ต่างกันไม่มาก ใครแข็งแกร่งที่สุด คนนั้นก็จะชนะ
‘ระดับเพชรไร้พ่าย…’ เว่ยเยวียนขมวดคิ้ว จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา
เขาไม่ได้สืบเสาะเรื่องราวภายใน ขอเพียงสวี่ชีอันก้าวหน้าด้านการทหาร สับสนบ้างก็ดีมากเช่นกัน
ปฏิกิริยาตอบสนองของเหล่าขุนนางบุ๋นยังดี ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้ฝึกวิทยายุทธ์ พวกเขาทอดถอนใจว่าพรสวรรค์ของสวี่ชีอันช่างน่ากลัวจริงๆ
ดวงตาของเหล่าผู้บัญชาการทหารเบิกโพลงและอิจฉาอยู่ในใจ พวกเขาทั้งอิจฉาสวี่ชีอัน ทั้งอิจฉาเว่ยเยวียน
เมล็ดพันธุ์ทางวรยุทธ์ที่โดดเด่นเช่นนี้ถูกมอบให้เว่ยเยวียน
“ท่านพ่อ หลังจากวันนี้ ท่านอาจจะทำตัวไม่สมกับเป็นมนุษย์แล้วอีกต่อไป” สวี่ซินเหนียนกระซิบ
อารองสวี่ที่กำลังมีความสุขหันหน้ามาและถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมหรือ”
“เพราะท่านเลี้ยงดูอัจฉริยะด้านวรยุทธ์เช่นพี่ใหญ่ออกมา” สวี่ซินเหนียนยิ้ม “ในอนาคตคนที่ฝึกวิทยายุทธต่างจะต้องยกนิ้วและสรรเสริญท่าน”
“ฮ่าๆๆๆ” อารองสวี่หัวเราะเสียงดัง
สวี่หลิงเยวี่ยยืดหน้าอกที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างรู้สึกเป็นเกียรติ ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ นี่คือพี่ใหญ่ของนาง
“เฮ้ๆๆ” หลินอันเลิกคิ้ว
“อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไป ยังมีธรรมลักษณะอีกหนึ่งรูป” ฮว๋ายชิ่งเอ่ยเสียงขรึม
ด้านบนร้านอาหาร เหิงหย่วนอิจฉาไม่หยุด “พลังเทวราชระดับเพชร…”
“มั่นคง” ฉู่หยวนเจิ่นตบไหล่ของคนหัวล้านและยิ้ม “กลับไปค่อยขอระดับเพชรไร้พ่ายจากสวี่หนิงเยี่ยน เส้นทางจอมยุทธ์ภิกษุของเจ้าสามารถไปได้ไกลกว่านั้น แต่การเลื่อนขั้นเป็นระดับเพชรระดับสามเป็นไปไม่ได้”
ผู้คนที่อยู่ด้านนอกฟังเนื้อหาการสนทนาของภิกษุเฒ่าผู้หมกมุ่นกับสวี่ชีอันโดยไม่ขาดสักคำ ด้วยสติปัญญาของฉู่หยวนเจิ่นจึงไม่ยากที่จะเดาว่าระดับต่อไปของจอมยุทธ์ภิกษุระดับแปดคือระดับเพชรระดับสาม
ท่ามกลางเสียงกู่ก้องร้องยินดี พระอรหันต์ตู้เอ้อร์กล่าวอามิตตาพุทธ เสียงที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยกระจายไปทั่วทั้งสนาม “ด่านนี้มีชื่อว่าเทพอสุราถามใจ”
‘เทพอสุราถามใจหรือ’
เสียงร้องดังกึกก้องค่อยๆ สงบลง สายตาแต่ละคู่ละจากแดนลับฝอซานและมองไปที่ไต้ซือตู้เอ้อร์ ในกลุ่มนั้นรวมถึงเว่ยเยวียนกับสมุหราชเลขาธิการหวางและจักรพรรดิหยวนจิ่งที่อยู่ชั้นบนสุดของหอดูดาวด้วย
“นี่เป็นตำนานศาสนาพุทธของข้า…”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์เล่าออกมาตรงๆ
ตามตำนานเล่าว่า ขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังก่อตั้งสำนักที่แดนประจิม แดนประจิมก็ถูกชนเผ่าป่าเถื่อนที่ชื่อว่า ‘เทพอสุรา’ เข้ายึดครอง เผ่าเทพอสุรานั้นเป็นคู่ต่อสู้ที่ดุร้ายและกินขนดื่มเลือด
เพื่อแย่งชิงดินแดน พวกเขาสังหารภิกษุของสำนักพุทธอย่างโหดเหี้ยม
หลังจากพระพุทธเจ้าทรงทราบ พระองค์ก็เสด็จไปยังอาณาเขตของเผ่าเทพอสุราด้วยพระองค์เอง พระองค์นั่งสมาธิสามวันสามคืน อดทนรับการทุบตีและไม่โต้ตอบเลย
เผ่าเทพอสุราที่โหดร้ายนำดาบกับหอกมาเพิ่มทันที เมื่อฟันดาบหนึ่งเล่มลงไป ผิวหนังก็ฉีกลอกออกจนเห็นเนื้อและโชกไปด้วยเลือด แต่กลับมีเสียงกระทบดังสนั่นดังออกมาจากภายในเลือดเนื้อ
เมื่อฟันดาบสองเล่มลงไป ผิวหนังก็ฉีกลอกออกจนเห็นเนื้อ ภายในเลือดเนื้อมีแสงสีทองสว่างขึ้นมา
หลังจากฟันดาบสามพันหกร้อยเล่ม พระพุทธเจ้าก็สูญเสียเลือดเนื้อไปและเผยให้เห็นธรรมลักษณะร่างทองของพระองค์
ในระหว่างที่ฟันสามวันสามคืน เหล่าชนเผ่าเทพอสุราก็รู้ตัวเองและตรัสรู้อย่างยิ่งใหญ่ ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็ละทิ้งจิตใจที่อยากฆ่าและเปลี่ยนไปเข้าสำนักพุทธ
ผู้คนในตลาดที่มุงดูต่างฟังด้วยความเพลิดเพลิน แต่สีหน้าของสมุหราชเลขาธิการหวางและเหล่าขุนนางขั้นสูงที่สืบเชื้อสายกันมากลับเปลี่ยนไปยกใหญ่
แน่นอนว่าภายในวัดไม่มีพระพุทธเจ้า แต่ในเมื่อด่านนี้มีชื่อว่า ‘เทพอสุราถามใจ’ เช่นนั้นผลลัพธ์ก็ต้องเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าทำให้เผ่าเทพอสุราพ้นทุกข์เป็นแน่
แม้แต่เผ่าเทพอสุราที่โหดร้ายและกินขนดื่มเลือดก็สามารถพ้นทุกข์ได้ แล้วจะไม่สามารถทำให้สวี่ชีอันพ้นทุกข์ได้หรือ
ในขณะเดียวกัน ภายในวัด ธรรมลักษณะระดับเพชรที่หรี่ตาอยู่องค์นั้นจู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น
ชั่วพริบตา ความสง่างามของพระธรรมก็ราวกับแผ่นดินถล่ม ราวกับสึนามิ ซึ่งเค้นพลังที่ไม่อาจควบคุมได้กลืนกืนสวี่ชีอัน
แสงพุทธะที่สวี่ชีอันเห็น เป็นแสงพุทธะที่ไร้ขอบเขต แสงพุทธะนี้ไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกสงบสุข แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกราวถูกครอบงำอย่างไร้เหตุผล
มันบดขยี้ความมุ่งมั่นของเขาในพริบตา ทั้งยังแปรเปลี่ยนจิตใจของเขา
“ทุกข์แปดประการในชีวิตนั้นไร้ความหมาย การเข้าร่วมสำนักพุทธเป็นเพียงที่พำนักเดียว…”
“ข้าคือผู้ก่อตั้งพุทธศาสนานิกายมหายาน สำนักพุทธจึงเหมาะกับการพัฒนาของข้า”
“ลังเลอะไร เจ้าเต็มใจที่จะเป็นทหารผู้หยาบคายจริงๆ หรือ”
ความคิดแต่ละอย่างผุดขึ้นมา บอกประโยชน์ต่างๆ ของสำนักพุทธและสวี่ชีอันก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลมาก
ความคิดของผู้คนจะเปลี่ยนไป ซึ่งอาจต้องใช้เวลายาวนานในการเปลี่ยนแปลง แต่เวลานี้สวี่ชีอันกลับเปลี่ยนใจของเขาในเวลาอันสั้น
เริ่มใฝ่หาศาสนาพุทธ ใฝ่หาพระธรรม
แม้แต่เหล่าคณิกาของสำนักสังคีตก็ไม่หอมหวานอีกต่อไป
ท่ามกลางสายตาจดจ้องของทุกคน สวี่ชีอันยืนขึ้น เขาดึงดาบยาวสีดำทองออกมาช้าๆ มืออีกข้างกดลงบนหมวก…
บัดซบ ถอดไม่ได้ ถอดไม่ได้!
ความรู้สึกละอายใจอันใหญ่หลวงทำให้เขากลับมาเป็น ‘ตัวเอง’ เล็กน้อย
ชักดาบ ถอดหมวก…นี่เป็นการโกนหัวให้ตัวเอง แต่เขาไม่มีผม หากถอดหมวกออก ไข่พะโล้ขนาดใหญ่ของเขาก็จะถูกเปิดเผยต่อสายตาของผู้คนนับหมื่นนับพัน…
…………………………………………………