ตอนที่ 150 หลอกให้ตายใจ

เมื่อได้ยินแบบนี้ซูหวานหว่านก็เดินไปเปิดประตู และออกไปทันที “ที่บ้านของฉีเฉิงเฟิงไม่มีคนไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดถึงมีคนมาสู่ขอเขา?”

“โอ้? สวัสดี!” หลี่ฉือโทวตบเข่าตนเองแล้วเอ่ยออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “แม่นางซู เจ้ายังคงไม่รู้อะไรสินะ แม่นางคนนั้นและพ่อกับแม่ของนางก็อยู่ที่นั่นด้วย ข้าไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก พวกเจ้าสองคนรีบกลับไปดูเองเถอะ!”

“ตกลง” ซูหวานหว่านเห็นด้วย เด็กสาวเหลือบไปมองฉีเฉิงเฟิง และชายหนุ่มก็เดินตามออกมา เมื่อเห็นความตื่นตระหนกบนใบหน้าของอีกฝ่าย ฉีเฉิงเฟิงก็ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นที่มุมริมฝีปาก

หลังจากผ่านพ้นไปหนึ่งชั่วยาม ทั้งสองก็ได้เดินทางมาถึงหมู่ บริเวณทางเข้าหมู่บ้านมีรถม้าหยุดอยู่ ซึ่งซูหวานหว่านรู้สึกคุ้นตามันอย่างบอกไม่ถูก

ทั้งสองรีบลงจากเกวียนวัว และเดินไปที่บ้านของฉีเฉิงเฟิง

บ้านที่ฉีเฉิงเฟิงอาศัยอยู่เดิมนั้นค่อนข้างห่างไกล เดิมทีเขาอยู่ที่นั้นตัวคนเดียวด้วยความเงียบสงบ หากแต่ตอนนี้มันดูครึกครื้นเป็นอย่างมาก เพราะชาวบ้านในหมู่บ้านนี้เกือบทั้งหมดได้มาอยู่ที่นี่หมดแล้ว พร้อมกับตะโกนเสียงดังเอะอะโวยวาย

เมื่อพวกเขาทั้งสองปรากฏตัว สายตาทุกคู่ก็หันมามองทันที ทว่าอย่างไรก็ยังมีคนส่งเสียงทะเลาะโวยวายกันอยู่

ซูหวานหว่านเห็นเพียงแผ่นหลังเท่านั้นก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเขาคือจ้าวซิ่วฉ่าย! และเสียงดังโวยวายอยู่นั้นก็คือเสียงของพ่อและแม่ของนาง!

ไม่ใช่ว่าคนที่จะมาสู่ขอฉีเฉิงเฟิงวันนี้คือจ้าวซิ่วฉ่ายหรอกนะ?

เมื่อคิดถึงเรื่องที่หลี่ฉือโทวพูดออกมาก่อนหน้าว่ามีคนมาสู่ขอเขา นางก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเขาต้องการให้ฉีเฉิงเฟิงแต่งเข้าบ้านหรืออย่างไร ช่วงขณะนั้นซูหวานหว่านรู้สึกสงสัยขึ้นมาทันที พลันได้ยินเสียงของจ้าวซิ่วฉ่ายดังขึ้น “ตระกูลซูมีสิทธิ์อันใดมาขัดขวางไม่ให้ฉีเฉิงเฟิงแต่งเข้าบ้านของตระกูลจ้าว? ลูกสาวของตระกูลจ้าวเก่งทั้งงานบ้านงานเรือน อีกทั้งเรื่องกิจการของตระกูล แน่นอนว่าภูมิหลังของตระกูลจ้าวของเราดีกว่าตระกูลซูของเจ้า!”

“คุณชายฉีหมั้นหมายกับลูกสาวของข้าแล้ว! แม้กระทั่งของหมั้นก็ถูกส่งมาที่บ้านของข้าแล้ว! นับว่าเขาเป็นลูกชายคนหนึ่งของข้า ข้าไม่อนุญาตให้เขาแต่งงานเข้าบ้านของใครเด็ดขาด!” แม่เจิ้นกล่าว

“เฮอะ! ครอบครัวของเจ้าตาไม่ดีหรืออย่างไรกัน! เจ้าดูรูปลักษณ์ของฉีเฉิงเฟิงกับครอบครัวของเจ้าเทียบได้ที่ไหนกัน? เจ้าใช้สัญญาเหล่านั้นผูกมัดตัวฉีเฉิงเฟิงเอาไว้ ไร้ยางอายที่สุด!” จ้าวซิ่วฉ่ายพูดออกมา

ซูหวานหว่านตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าจ้าวซิ่วฉ่ายที่ดูอ่อนโยนจะลั่นวาจาหยาบคายออกมาได้ถึงเพียงนี้ ในจังหวะที่หญิงสาวจะก้าวเท้าเข้าไป แม่เจิ้นก็ได้โต้กลับไปว่า “เจ้าพูดว่าครอบครัวของเจ้ามีภูมิหลังที่มีครอบครัวที่ดี แล้วเหตุใดจึงจ้องมาแย่งฉีเฉิงเฟิงไปอีก หากฉีเฉิงเฟิงถอนหมั้นอีกครั้ง ชื่อเสียงของลูกสาวข้าคงจะป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี! ในแง่ของศีลธรรม เจ้าเลวร้ายมาก! พวกเจ้ามาที่นี่พร้อมกับลูกสาวของเจ้า! อีกทั้งยังสาธยายเรื่องรักใคร่ของลูกสาวเจ้า มันเหมาะสมแล้วหรือไร!”

พูดได้ดี!

ซูหวานหว่านอยากจะปรบมือชื่นชมคำพูดของมารดาตนเอง!

จ้าวซิ่วฉ่ายกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เหลือบไปเห็นซูหวานหว่านจึงพูดออกมาอย่างเหยียดหยาม “ลูกสาวของเจ้าไม่คู่ควรกับคุณชายฉี! ดูเสื้อผ้าที่สวมใส่เสียก่อน!”

“เฮอะ” ซูหวานหว่านถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก หยิบบทความที่นางเคยอ่านเจอในหนังสือของฮวงเหล่าขึ้นมาพูดว่า “ท่านคิดว่าท่านเรียนหนังสือแล้วท่านจะเป็นผู้ก่อตั้งประเทศได้หรือไร? หรือที่ข้าสวมเสื้อผ้าลินินธรรมดานี้มันสามารถพิสูจน์จิตใจคนได้หรืออย่างไรกัน? ครั้งหนึ่งไทซูเคยเทศนาเรื่องการนำผ้าลินินมาทำชุดราชสำนักและเสื้อคลุมมังกรเพื่อแบ่งเบาความทุกข์ยากลำบากของกลุ่มคนรากหญ้า และไทซูเองก็ยังสวมใส่ผ้าลินินอีกด้วย เหตุใดข้าจะใส่ผ้าลินินไม่ได้ในฐานะคนคนหนึ่ง? หรือคิดว่าไทซูนั้นใส่ผ้าลินินไม่เหมาะอย่างงั้นหรือ?”

“เจ้า…” จ้าวซิ่วฉ่ายเหมือนถูกตบหน้าไปฉากใหญ่กับคำพูดเหล่านี้ของซูหวานหว่าน

ซูหวานหว่านเอ่ยออกมาอีกครั้ง “จ้าวซิ่วฉ่าย ท่านจะมาโกรธเคืองลูกของตัวเองไม่ได้ที่ไปอยู่กับชายชั่วผู้นั้นมาก่อน อีกทั้งพวกท่านยังเป็นคนขอถอนหมั้นเอง แล้วท่านต้องการหาคู่หมั้นให้ลูกถึงเพียงไหนถึงขนาดจะมาแย่งคู่หมั้นของข้าไป!”

“คำก็คู่หมั้น! สองคำก็คู่หมั้น ไร้ยางอายที่สุด!” จ้าวซิ่วฉ่ายเกือบจะพ่นคำสบถออกมาด้วยความโกรธ

ฉีเฉิงเฟิงเดินเข้าไปหมายเอ่ยแทนซูหวานหว่าน กลับกลายเป็นจ้าวซิ่วฉ่ายลากตัวฉีเฉิงเฟิงไป “คุณชายฉี! เจ้าบอกมาเลยว่าเจ้านั้นต้องการเป็นเขยตระกูลข้าหรือไม่ ตระกูลจ้าวของพวกเรานั้นเป็นตระกูลนักปราชญ์ เจ้าไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีกระทั่งภูมิหลังครอบครัว แต่เมื่อเจ้ามาอยู่บ้านของข้า ข้าจะมอบตําแหน่งให้กับเจ้า ข้าจะทำให้เจ้ามีชื่อเสียง เจ้าจะว่ายังไง?”

มีตระกูลจ้าวเพียงตระกูลเดียวงั้นหรือที่สอบชั้นขุนนางผ่าน? สมัยปู่ย่าตายายตระกูลจ้าวของพวกเขาก็เป็นเพียงชาวนาจะกลายมาเป็นคนที่ยศสูงได้อย่างไร เพียงแค่มาอาศัยอยู่ในเมืองก็คิดว่าตัวเองอยู่สูงกว่าคนอื่นแล้วอย่างงั้นหรือ?

ซูหวานหว่านกลอกตาและมองไปที่ฉีเฉิงเฟิง เพื่อให้ชายหนุ่มเป็นคนจัดการเรื่องนี้!

“โอ้!” ฉีเฉิงเฟิงถอนหายใจ “ข้าเกรงว่าท่านจะเข้าใจผิดแล้ว ข้ากับลูกสาวของท่านไม่เคยพบกันมาก่อน นับประสาอะไรจะมีเรื่องให้เกี่ยวข้องกัน อีกอย่างท่านจะมาสู่ขอข้าแต่งเข้าบ้านท่าน มันไม่น่าขันเกินไปหน่อยหรือ?”

เป็นเรื่องตลกอย่างงั้นหรือ? มันจะมากเกินไปแล้ว! พ่อหนุ่มนี้ดูถูกตระกูลเขางั้นรึ! ดวงตาของจ้าวซิ่วฉ่ายเบิกกว้างด้วยความโกรธ เขากำลังจะพ่นคำหยาบคายออกมา ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอ่อนหวานดังขึ้นมาจากระยะไกล “ฉีเฉิงเฟิง พูดได้อย่างไรว่าเราไม่เคยเจอกันมาก่อน? พูดได้อย่างไรว่าเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน?”

แก้มของจ้าวซิ่วเอ๋อร์นั้นแดงก่ำ หญิงสาวมีผิวพรรณละเอียดและใบหน้าที่งดงามราวกับดอกไม้ที่บานสะพรั่ง กระตุ้นความปรารถนาในใจของผู้คนที่พบเห็น

จ้าวซิ่วเอ๋อร์ไปห้องน้ำกับสาวใช้เมื่อครู่นี้ นางเลยเพิ่งเข้ามาในเหตุการณ์ ได้รู้ว่าห้องน้ำบ้านนอกสกปรกมาก และพูดออกมาว่า “ฉีเฉิงเฟิง ที่แห่งนี่มีอะไรดีอย่างงั้นหรือ?”

“หากเจ้าแต่งเข้าบ้านของข้า ของทุกอย่างของข้าก็จะเป็นของเจ้า และเจ้าจะไม่ต้องมีชีวิตที่ลำบากแบบนี้…”

พูดออกมาหลายประโยค แต่สุดท้ายก็เน้นว่าครอบครัวตัวเองนั้นรวย?

ซูหวานหว่านมองดูจ้าวซิ่วเอ๋อร์ด้วยสายตาว่างเปล่า แล้วพูดขัดขึ้นมาว่า “เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้ากับเขานั้นมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันมาก่อนหรือ? แต่ดูจากที่ข้าฟังเจ้า เหตุใดมันดูเหมือนจะเป็นความรู้สึกของเจ้าคนเดียว!”

“งั้นก็ต้องขอบคุณแม่นางซูเสียแล้ว” หลังจากนั้นจ้าวซิ่วเอ๋อร์ก็ยิ้มและมองไปที่ฉีเฉิงเฟิงด้วยความเขินอาย ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ “ฉีเฉิงเฟิง เจ้าจำเหตุการณ์สองวันก่อนที่ถนนทิศตะวันตกได้หรือไม่? ตอนนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งถูกปล้น และเจ้าก็เป็นคนทุบหัวขโมยคนนั้นและนำเงินมาคืนให้เจ้าของ…ผู้หญิงคนนั้นคือข้า”

เป็นเรื่องราวของบุรุษที่ขี่ม้าขาวช่วยหญิงงาม!

ซูหวานหว่านพ่นลมหายใจออกมาพลางมองไปที่ฉีเฉิงเฟิง ก็เห็นเขาขมวดคิ้วแน่น จึงพูดออกมาว่า “ฉีเฉิงเฟิง! ลูกสาวตระกูลจ้าวงดงามยิ่งนัก นางตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกเห็น! แต่นางนั้นไม่เคยดูถูกสภาพบ้านเจ้าเลย เจ้าอยากจะแต่งงานเข้าบ้านนางหรือไม่!”

สิ่งที่นางเอ่ยออกมาสตรีหลายคนที่ได้ฟังมันต่างเข้าใจความหมายดี เมื่อกล่าวจบนางก็เงียบลง หากแต่ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องก็พูดออกมาว่า “คุณชายฉี! เจ้าจะสนใจซูหวานหว่านด้วยเหตุใด! จ้าวซิ่วเอ๋อร์ทั้งอ่อนโยนและอ่อนหวาน หากเจ้าแต่งเข้าบ้านนาง เจ้าต้องมีความสุขเป็นแน่แท้!”

“ใช่แล้ว! ถอนหมั้นกับซูหวานหว่านเถอะ! จะเก็บนางไว้ทำไม!”

“…”

เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้หัวใจของซูหวานหว่านรู้สึกเหมือนถูกบีบรัด เมื่อเห็นดวงตาของฉีเฉิงเฟิงจับจ้องไปที่ความอ่อนโยนของจ้าวซิ่วเอ๋อร์ หัวใจของนางก็เจ็บปวดพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “ฉีเฉิงเฟิง เจ้าพูดออกมา หากเจ้าตอบตกลงข้าจะไม่โทษเจ้า”