ตอนที่ 272 อู๋หลิงเอ๋อร์ที่โมโหร้าย

นายน้อยเจ้าสำราญ

นี่เป็นปัญหาที่ทำให้ข้าลำบากใจมากยิ่งนัก

“หากยอมรับนาง ก็ควรต้อนรับนางตามราชพิธีสำหรับองค์หญิง แต่หากว่านางเป็นผู้ลอบสังหารเล่า…นี่จะเป็นอันตรายถึงตายได้ ! ถ้าข้ามิยอมรับ ควรโจมตีออกไปหรือไม่ ? ในเมื่อพวกเขาตั้งฐานทัพไว้ตรงนี้แล้ว ก็รอจนถึงพรุ่งนี้ก่อนเถิดแล้วค่อยคิดอีกที พรุ่งนี้พวกเราจะต้องออกเดินทางต่อ หากพวกเขาต้องการที่จะหยุดยั้ง พวกเราก็คงจะมีเหตุผลมากพอที่จะสู้ศึกกับพวกเขา ถ้าหากมิมาหยุดยั้ง…ก็ไปทางใครทางมัน ข้ากับอู๋หลิงเอ๋อร์มิเคยได้พบหน้ากัน ดังนั้นเมื่อไปถึงเมืองกวนหยุน ข้าสามารถชี้แจงเหตุผลให้กับจักรพรรดิเหวินได้”

ต่งซูหลานนึกสงสัยอยู่ในใจว่าเหตุใดต้องทำให้ยุ่งยากถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดอู๋หลิงเอ๋อร์ถึงได้เดินทางมาที่นี่โดยไม่คำนึงถึงระยะทางที่ไกลเป็นพันลี้เยี่ยงนี้ ?

นางรู้สึกสะดุดใจอย่างฉับพลัน ความคิดที่ไม่ดีก็เกิดขึ้นมา โดยอาศัยการหยั่งรู้ของสตรีแล้วดูเหมือนนางจะรู้แล้วว่าเหตุใดอู๋หลิงเอ๋อร์ถึงมาที่นี่

เจ้านี่…ชอบทำให้ข้าเป็นกังวลอยู่เรื่อย !

ยามเย็นจวนค่ำ

ฟู่เสี่ยวกวนมีเตาเป็นจำนวนมากกว่าสิบเตาที่กำลังมีเปลวไฟลุกโชนโถมกระหน่ำ ไอน้ำลอยขึ้นจากหม้อ กลิ่นหอมของอาหารลอยอยู่ในอากาศและถูกส่งไปยังฐานทัพของกองทัพหญิงด้วยสายลมยามค่ำคืน

ในค่ายของกองทัพหญิงกลับมีแสงไฟสว่างเพียงแค่ในกระโจมเท่านั้น ไม่เห็นมีการตั้งเตาหรือตั้งเครื่องหม้อเพื่อทำอาหาร

ขณะนี้อู๋หลิงเอ๋อร์ได้นั่งอยู่ในกระโจมของแม่ทัพใหญ่ที่ตั้งอยู่ศูนย์กลางอย่างเงียบสงบ แต่องครักษ์หญิงซ้ายและขวาของนางมิได้เงียบเฉยอีกต่อไป

ด้วยเหตุว่าพวกเขามิได้พกพาอาหารหรือเครื่องครัวมาเลย !

แม้แต่เสบียงกรังก็มิได้พกมาด้วยซ้ำ !

ตามแผนเดิม ฟู่เสี่ยวกวนและพรรคพวกของเขาควรจะข้ามภูเขาฉีซาน และมาถึงชายแดนราชวงศ์อู๋ในวันนี้ เดิมพวกเขาจะต้องรออยู่ที่เมืองเชียนเย่ แต่มิคาดคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนและพรรคพวกของเขาจะมิได้มาที่เมืองเชียนเย่

อู๋หลิงเอ๋อร์กังวลว่า ฟู่เสียวกวานและพรรคพวกของเขาอาจจะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางเดินเขา ดังนั้นจึงรีบเร่งมาพร้อมยกกองทัพมาด้วย ออกเดินทางมาจนถึงหุบเขาซีกู่ และได้คาดคิดว่าการพบหน้ากันครานี้คงปรีดามากยิ่งนัก และแน่นอนว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น แต่สิ่งที่คาดคิดไว้ทั้งปวงกลับแตกเป็นเสี่ยง ๆ ดุจฝันมายาฟองสบู่เงา

สำหรับกองทัพหญิงที่ยึดมั่นในตน เคยถูกมองข้ามเยี่ยงนี้เมื่อใดกัน ?

“ องค์หญิง โจมตีไปเลยเจ้าค่ะ ! โปรดออกคำสั่งเถอะเจ้าค่ะ ! ” ลั่วยิงที่เป็นรองแม่ทัพอีกคนของอู๋หลิงเอ๋อร์ได้เอ่ยขึ้นมา

นางกดดาบในมือและใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความโกรธ

“ใช่เจ้าค่ะ องค์หญิง แม้ว่าพวกเราจะมิฆ่าคนของพวกเขา ทว่าได้ทุบหม้อข้าวของพวกเขาก็ยังรู้สึกดีขึ้นสักนิด ! ” หนีซางกล่าวพลางกัดฟันด้วยความแค้น คิดอยู่ในใจว่าในวันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ พวกเจ้าได้กินอาหารกันอิ่มหนำสำราญ แต่องค์หญิงยังคงอดอยากและหนาวเหน็บอยู่ที่นี่ หากพวกเรามิได้กิน ทุกคนก็อย่าหวังจะได้กินเลย !

ในกระโจมของแม่ทัพใหญ่ตกอยู่ในความเงียบงัน

จากนั้นเพียงแค่ครึ่งก้านธูป อู๋หลิงเอ๋อร์ก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างเนิบนาน “ ข้าคิดเข้าข้างตนเองมากเสียเกินไป ฟู่เสี่ยวกวนยังมิเคยพบข้า อีกทั้งข้าก็มิมีหนังสือราชโองการจากเสด็จพ่อ คิดเพียงแค่จะมาที่นี่ด้วยความกระตือรือร้น มันก็สมเหตุสมผลแล้วที่เขามิยอมพบข้า”

หนีซางและลั่วยิงมองหน้ากันแวบหนึ่ง ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย นี่มิใช่นิสัยที่แท้จริงองค์หญิง ท่านเป็นอันใดไปเยี่ยงนั้นรึ ?

ในขณะที่ทั้งสองคนยังรู้สึกประหลาดใจอยู่ ทหารหญิงผู้หนึ่งก็ได้เดินเข้ามาจากนอกกระโจมของแม่ทัพใหญ่อย่างรีบร้อน พร้อมกับถือจดหมายไว้ในมือ

“กราบทูลองค์หญิง มีจดหมายมาจากเมืองเชียนเย่เจ้าค่ะ”

“วางไว้ที่นี่เถอะ” อู๋หลิงเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ในอารามที่จะอ่านเนื้อหาใด ๆ ในขณะนี้นางมีปมในใจเป็นพัน ๆ เงื่อน

“… องค์หญิง จดหมายจากฟู่เสี่ยวกวานเจ้าค่ะ” ทหารหญิงวางจดหมายลงและได้กล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยค

อู๋หลิงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่มืดครึ้มลงอย่างเห็นได้ชัด “เหตุใดจึงมิแจ้งให้เร็วกว่านี้ ! ”

เมื่อนางเอ่ยจบนางก็ได้หยิบจดหมายขึ้นมาเปิดอ่าน ทหารหญิงที่นำจดหมายมาให้นางเพียงแค่ยิ้มแหย ๆ ออกมาเท่านั้น

หลังจากที่อู๋หลิงเอ๋อร์อ่านจดหมายแล้ว นางก็ขมวดคิ้วและลุกขึ้นยืนทันใด ถือดาบบนโต๊ะไว้ในมือ

“ยกฐานทัพ ออกเดินทาง ! ”

ทันใดนั้นหนีซางและทหารหญิงที่อยู่ในกระโจมอีกสามคนต่างก็ตกตะลึง “ ไปที่แห่งใดเจ้าคะ ?”

“ตามไล่ล่าเป่ยหวังฉวน ! ”

มิใช่ หนีซางกับลั่วยิงยิ่งสับสนมากยิ่งขึ้นโดยคิดไปว่าเป่ยหวังฉวนเป็นปรมาจารย์ที่ทรงพลังของแคว้นอู๋ฉาว อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ขององค์ชายและทั้งยังเป็นแขกรับเชิญของฝ่าปาท แต่เมื่อเห็นความกระเหี้ยนกระหือรือและความเร่งรีบขององค์หญิงแล้ว เป่ยหวังฉวนได้ทำอะไรบางอย่างที่ผิดร้ายแรงเยี่ยงนั้นรึ ?

ในดวงตาของอู๋หลิงเอ๋อร์เต็มไปด้วยความโกรธ ใบหน้าที่งดงามของนางดูเย็นชาดังน้ำแข็งและเค้นคำพูดออกจากปากเล็ก ๆ ของนางอย่างดุร้าย

“มิน่าเล่าที่ฟู่เสี่ยงกวนมิยอมพบข้า ก่อนมาถึงที่นี่ตาแก่เป่ยหวังฉวนได้ลอบโจมตีฟู่เสี่ยวกวนที่เมืองเปียนเฉิง ยกฐานทัพ ออกเดินทาง ! ”

หนีซางกับลั่วยิงตกอยู่ในความงุนงงอีกครา เป่ยหวังฉวนโจมตีฟู่เสี่ยวกวานที่เมืองเปียนเฉิงเยี่ยงนั้นรึ ?

แล้วเหตุใดฟู่เสี่ยวกวานถึงมิตาย?

ในความทรงจำของทุกคน ยังไม่เคยได้ยินว่าเป่ยหวังฉวนที่เป็นปรมาจารย์การใช้ธนูมิเคยพลาดในการยิงศรเลยสักครา กระบวนท่าที่มีนามว่าศรจากเทพของเขาเพียงพอที่จะทำให้คู่ต่อสู้ลำบาก แม้ว่าคู่ต่อสู้ผู้นั้นจะเป็นผู้มีพลังระดับปรมาจารย์เช่นกันก็ตาม ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงเพียงคนที่มิรู้จักวรยุทธ์เยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนเลย

ดังนั้นพวกเขาจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เป็นเพียงเพราะข่าวที่ได้ยินนี้สั่นสะเทือนใจเกินไปและมันก็ทำให้พวกเขาสับสนด้วย

แต่อู๋หลิงเอ๋อร์กลับโกรธเคืองเดือดดาลขึ้นมาในบันดล

“ ข้าสั่งว่าให้ ยกฐานทัพ ออกเดินทาง ตามไล่ล่าสังหารเป่ยหวังฉวน ! ”

สังหารได้เยี่ยงไรกัน ?

นั่นคือปรมาจารย์แห่งยุทธภพ !

และก็ยังเป็นปรมาจารย์แห่งยุทธภพของแคว้นอู๋ฉาวอีกด้วย !

หากสังหารชีวิตเขาจริง ๆ จะอธิบายให้กับองค์ชายเยี่ยงไรกัน ?

ความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นในใจเพียงแวบเดียว จากนั้นก็ได้ดำเนินการตามคำสั่งทันที

พวกเขาเก็บกระโจมทัพ แล้วจุดคบเพลิงให้ส่องสว่าง กองทัพหญิงเคลื่อนตัวขึ้นหลังม้าพร้อมพลม้าในชุดเกราะด้วยสีหน้าตึงเครียด แล้วกลับหันม้าในยามค่ำคืน

อู๋หลิงเอ๋อร์ยืนอยู่บนหลังม้าแล้วแผดเสียงใส่ไปยังฐานทัพของฟู่เสี่ยวกวน

“ฟู่เสี่ยวกวน ข้าคืออู๋หลิงเอ๋อร์ ข้ารับรู้แล้วว่าเจ้าลำบาก ข้าจะจับกุมเป่ยหวังฉวนมาให้เจ้าให้จนได้ ! ข้าต้องไปจัดการก่อน ไว้พบกันในคราหน้า ! ”

ฟู่เสี่ยงกวนยืนอยู่นอกกระโจมด้วยสีหน้างุนงง มองไปยังเงาที่คลุมเครือทามกลางความมืดมิดของค่ำคืน สิ่งที่เขากลับคิดในใจคืออู๋หลิงเอ๋อร์ผู้นี้เป็นสตรีที่เก่งกล้ามิแพ้บุรุษ !

เสียงเกือกม้าดังกระชั้นและคบเพลิงแถบยาวเคลื่อนไหวบนทางเดินภูเขาฉีซาน ไม่ช้านานก็หายไปในความมืดมิดของค่ำคืน

ทันใดนั้นฟู่เสียวกวนก็ได้เอ่ยถามซูเจวี๋ยว่า “นางเก่งกาจมากหรือไม่ ? ”

ซูเจวี๋ยยืดอกตอบพร้อมจัดหมวกบนศรีษะให้ตรง “นางมีความแข็งแกร่งเกือบเทียบเท่ากับปรมาจารย์ชั้นหนึ่ง”

ฟู่เสียวกวานก็รู้สึกสับสนเช่นกัน ขนาดซูเจวี๋ยที่อีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับปรมาจารย์แห่งยุทธภพก็สามารถต้านรับลูกธนูของเป่ยหวังฉวนได้เพียงไม่กี่ดอก แล้วสตรีเยี่ยงนางที่ยังมิถึงระดับปรมาจารย์ชั้นหนึ่งจะจัดการกับเป่ยหวังฉวนได้เยี่ยงไรกันเล่า ?

“ ศิษย์พี่ใหญ่คิดว่ากองทัพทหารม้าของนางจะสามารถทำลายเป่ยหวังฉวนได้หรือไม่ ? ”

ซูเจวี๋ยส่ายหัวเล็กน้อย “ถ้าเป็นปรมาจารย์แห่งยุทธภพคนอื่น พวกเขาอาจจะสามารถเข้าทำลายได้ในระดับหนึ่ง แต่เป่ยหวังฉวนใช้ธนู”

ลูกธนูเป็นอาวุธร้ายแรงระยะไกล วิชาตัวเบาของเป่ยหวังฉวนก็มิได้อ่อนแอเป็นแน่ เขาสามารถใช้วิชาตัวเบาไปได้ทั่วทุกหนแห่ง เมื่อยิงลูกศรออกไปก็มักจะตายหนึ่งหรือสองชีวิต จะเอาศีรษะไปสู้กับเขาเยี่ยงนั้นรึ ?

“ หากเช่นนั้นก็เท่ากับนางรนหาที่ตายให้กับตนเองมิใช่รึ ! ”

“มิถึงขนาดนั้น”

“เพราะเหตุใดกัน ?”

ซูเจวี๋ยเผยรอยยิ้มจาง ๆ และเอ่ยว่า

“เป่ยหวังฉวนเป็นปรมาจารย์แห่งยุทธภพของแคว้นอู๋ฉาวและมีสถานะสูงยิ่งนักในแคว้นอู๋ฉาว อีกทั้งเขายังเป็นอาจารย์ขององค์ชาย”

“ดังนั้นนางจึงไม่สามารถเอาชีวิตของเป่ยหวังฉวนได้ และเป่ยหวังฉวนก็ไม่สามารถลงมือฆ่านางได้ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจเบา ๆ และเอ่ยอย่าเนิบช้าว่า “นางเป็นสตรีที่ฉลาดเฉลียว เมื่อไปถึงแคว้นอู๋ฉาวแล้ว ข้าควรจะระวังตนให้มากกว่านี้ ! ”

ต่งซูหลานเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฟู่เสี่ยวกวานกล่าวออกมาทันที มีความรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีในใจเล็กน้อยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เมื่อกลับมาจากแคว้นอู๋ฉาวแล้ว จะมีนางอยู่ในรถคันนี้ด้วย !