บทที่ 969 ของเสียในโลกเชื้อไวรัส

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เจ้าสัตว์ประหลาดแน่นิ่งไปแล้ว…หลิงม่อใช้หนวดสัมผัสพลิกศพมันกลับมา จึงเพิ่งรู้ว่าหัวของมันเละไปหมดแล้ว ดวงตาปูดโปนของมันถูกกระแทกจนยุบเข้าไป เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลที่ลึกจนเห็นกระดูก การใช้เรี่ยวแรงเกินกำลังและการสร้างบาดแผลอย่างต่อเนื่อง ได้กลายเป็นดาบสองเล่มในการสังหารมันในท้ายที่สุด และการโจมตีอย่างบ้าคลั่งครั้งสุดท้ายของมัน กลับกลายเป็นการตัดเชือกฟางเส้นสุดท้ายของมันจนขาด…

ยิ่งบาดเจ็บก็ยิ่งบ้าคลั่ง เห็นชัดว่ามันได้เข้าสู่วังวนแห่งความตายแล้ว

“จากความเร็วที่มันแสดงให้เห็นเมื่อกี้ ถ้าจะให้ฉันเล็งมันก็ค่อนข้างยากอยู่…” หลิงม่อจ้องสัตว์ประหลาดอยู่นานสองนาน แล้วอยู่ๆ ก็พึมพำขึ้น มันมีขนาดตัวที่เล็กในขณะที่เคลื่อนไหวได้เร็วมาก เป้าหมายอย่างนี้ยากจะเล็งเป้าได้จริงๆ

“ใช่แล้ว…ถ้าหากไม่ได้เห็นกับตา ฉันก็ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าพวกนี้เป็นแผลที่มันทำตัวเองทั้งนั้น…” สวี่ซูหานอดพูดขึ้นไม่ได้

สติปัญญาของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ต่ำกว่าที่คิดไว้แฮะ…หรือว่านอกจากล่อเหยื่อแล้ว มันทำอย่างอื่นไม่เป็นเลย!

“แต่นายรู้ได้ยังไง?” สวี่ซูหานถาม

“ง่ายจะตาย” หลิงม่อพูดโดยไม่หันหน้ามา “ทั้งที่เห็นฉันอยู่กับเธอ แต่ท่าทางมันดูไม่แปลกใจเลยซักนิด…มัวแต่จ้องจนน้ำลายไหล”

“จริงด้วย…” สวี่ซูหานอึ้งไปอีกครู่หนึ่ง ไม่คิดว่าคำตอบของเขาจะง่ายดายขนาดนี้…แต่พอคิดดูอีกที ก็เพราะว่าเขาตอบด้วยคำง่ายๆ อย่างนี้ ถึงได้ทำให้ถูกมองข้ามไปได้ง่ายๆ! ตกลงว่าหมอนี่สังเกตเห็นได้ยังไงกันแน่นะ…

“คงเพราะฉันไม่รอบคอบพอล่ะมั้ง…จะว่าไปแล้ว เขาก็แค่สังเกตเห็นรายละเอียดทั้งหมดก็เท่านั้นเอง แต่ก็เพราะอย่างนี้แหละ ฉันถึงได้รู้สึกเทียบไม่ติดเลย…” สวี่ซูหานคิดอย่างรู้สึกพ่ายแพ้

หลิงม่อใช้ปากกัดไฟฉายไว้ จากนั้นก็ชักกริชออกมาเล่มหนึ่ง “ฉึบ”

“นายจะทำอะไรน่ะ!” สวี่ซูหานตกใจ เธอรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาทันที

“ก้อนเหนียวหนืด ตามบาดแผลพวกนี้มีกลิ่นเชื้อไวรัสรุนแรงมาก” หลิงม่อตอบคร่าวๆ จากนั้นก็ชี้ไปทางบาดแผลพวกนั้น

“นายนี่มันช่าง…” สวี่ซูหานหมายจะพูดจาเสียดสี แต่พอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า กลับพบว่าข้างในมีก้อนเหนียวหนืดที่หลิงม่อให้มาอยู่สองก้อน…

“ฉันทำเอง” อยู่ๆ เธอก็พูดขึ้นเสียงเบา

“เอ่อ…ไม่ต้องหรอก ฉัน…”

หลิงม่อเพิ่งจะตอบไปไม่กี่คำ แต่ก็ถูกดึงให้ลุกขึ้นยืน ขณะเดียวกันกริชที่ถืออยู่ในมือก็หายไป

ส่วนสวี่ซูหานที่ยืนอยู่ข้างๆ กำกริชแน่น แล้วสูดหายใจลึกๆ

“ฉันลงมือเองดีกว่า จะให้พึ่งแต่พวกนายไปตลอดก็คงไม่ได้…”

เธอพูด ขณะที่ดวงตาจับต้องไปที่ศพ สุดท้ายก็ขมวดคิ้ว แล้วค่อยๆ ยื่นมือออกไป…

“คือว่า…นายอย่าจ้องฉันได้ไหม…” ปลายมีดเพิ่งจะถูกยื่นไปถึงปากแผล อยู่ๆ เธอก็พูดขึ้น

หลิงม่อถือไฟฉาย มองหน้าเธอด้วยแววตาสับสน จากนั้นก็เบนหน้าออกไปเงียบๆ

“ฉึก!”

สองวินาทีต่อมา ในที่สุดเสียงมีดดแทงเข้าเนื้อก็ดังมา ไม่นานเสียงกรีดเฉือนอันน่ากลัวก็ดังตามมาติดๆ…

“อ่ะ เอาไป…”

สวี่ซูหานยื่นมีดและก้อนเหนียวหนืดให้หลิงม่อ จากนั้นก็หันหลังกลับไปทำท่าจะอ้วก

“ปฏิกิริยาตอบสนองครั้งแรกของเธอนี่รุนแรงจังนะ…” หลิงม่อหันหน้าออกด้านข้างช่วยเธอลูบหลัง พลางพูดขึ้น

“ฉัน…ตาบ้า!” สวี่ซูหานอ้าปากจะ “อ้วก” อยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นพร้อมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ฉันเพิ่งรู้ตอนนี้แหละ ว่าเป็นซอมบี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ…”

“หมายถึงเรื่อง?”

“ร้องไห้ไม่ได้ อ้วกก็ไม่ออก…” สวี่ซูหานพูดอย่างจนใจ

“ขนาดสามด่วนยังไม่มี เธอยังอยากจะอ้วกอะไรอีก…” (สามด่วน หมายถึง ปัสสาวะ อุจจาระ ผายลม)

“……”

ขณะที่พูด หลิงม่อยกก้อนเหนียวหนืดขึ้นสังเกตดูอย่างละเอียด เขาใช้แสงไฟฉายส่องอยู่นานสองนาน แล้วบอกว่า “เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ”

“อะไรหรอ?” สวี่ซูหานเองก็ชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วย แต่ไม่นานเธอก็ต้องรู้สึกเสียใจที่ทำอย่างนั้น เธอรีบหันหน้ากลับไปทำท่าจะอ้วกอีกครั้ง…

ภายใต้แสงไฟฉาย ก้อนเหนียวหนืดขนาดเท่าหัวแม่มือสะท้อนสีอันแปลกประหลาดออกมา…สิ่งที่ต่างจากก้อนเหนียวหนืดของซอมบี้ คือก้อนเหนียวหนืดของมนุษย์ประหลาดประเภทนี้แทบจะใสแจ๋วเลยทีเดียว แต่ผิวชั้นนอกกลับถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเส้นชีพจรสีดำสนิทมากมาย สัมผัสที่รู้สึกเวลากำไว้ในมือเหมือนหัวใจที่หดตัวจนเหลือขนาดเล็กมากดวงหนึ่ง และเนื่องจากว่ามันมรความยืดหยุ่นสูงมาก จึงทำให้รู้สึกราวกับว่ามัน “มีชีวิต” อย่างไรอย่างนั้น

สวี่ซูหานขยะแขยงจนอยากจะอ้วกก็เพราะลักษณะเด่นนี้ของมัน…น่าเกลียดยังพอรับได้ แต่มันกลับยังเต้นตุบตับด้วย…

“สิ่งมีชีวิตใต้ดินประเภทนี้ เป็นสิ่งมีชีวิตคนละสายพันธุ์กับซอมบี้ไปอย่างสิ้นเชิง โดยเนื้อแท้อาจจะยังเหมือนกัน แต่ในด้านอื่นๆ กลับวิวัฒนาการต่างกัน ขนาดตำแหน่งของก้อนเหนียวหนืดก็ยังต่างกันเลย…ของซอมบี้อยู่ที่สมองด้านหลัง แต่ของสัตว์ประหลาดประเภทนี้กลับอยู่ในร่างกาย ถ้าหากฉันเดาไม่ผิด น่าจะอยู่ตรงหัวใจหรือเป่า?” หลิงม่อถาม

“อื่ม…” สวี่ซูหานปิดปากพยักหน้าด้วยสีหน้าซีดเซียว “อยู่ใน…หัวใจ…อุแหวะ!” พอนึกถึงตอนควักหัวใจ เธอก็ก้มหน้าลงทำท่าจะอ้วกอีกครั้ง…

“จริงๆ ด้วยสินะ…ถ้าอย่างนั้น จะเป็นไปได้ไหมที่ร่างกายของมนุษย์จะสร้างก้อนเหนียวหนืดขึ้นมาได้? ยังไม่พูดถึงคนธรรมดา ท่ามกลางผู้มีความสามารถพิเศษ จะมีคนที่เชื้อไวรัสในตัวสะสมกันจนเกิด ‘แบตเตอร์รี่พลังงาน’ อย่างพวกก้อนเหนียวหนืดหรือไวรัสนางพญาอยู่ไหมนะ? แต่ช่างเถอะ สมมติฐานประเภทนี้พิสูจน์ยาก เอาวไค่อยคิดทีหลังแล้วกัน” หลิงม่อพูด พลางเก็บก้อนเหนียวหนืดก้อนนี้ไว้อย่างดี “สัตว์ประหลาดประเภทนี้ ดูเหมือนจะพวกมันจะผลิตก้อนเหนียวหนืดออกมาได้น้อยมาก…ถ้าอย่างนั้นพลังงานของมันน่าจะมากกว่าปกติหรือเปล่า? อย่างเช่นความเข้มข้นของเชื้อไวรัส?”

สวี่ซูหานมองหน้าเขาอย่างตกตะลึง “นี่นายคิดจะกินมันด้วยหรอ!”

“ไม่งั้นจะควักมันออกมาทำไมล่ะ? วีรบุรุษเขาไม่สนเรื่องหัวนอนปลายเท้ากันหรอกนะ…” หลิงม่อบอก

“มันจะกินได้ยังไง! นี่มันถือว่าเป็นของเสียในโลกเชื้อไวรัสเลยก็ว่าได้!” สวี่ซูหานโวย ล้อเล่นรึเปล่า! เจ้าพวกนี้ไม่ใช่ซอมบี้ด้วยซ้ำ! ถึงจะบอกว่าเป็นก้อนเหนียวหนืด แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่!บางทีมันอาจเป็นอวัยวะที่วิวัฒนาการขึ้นมาใหม่ก็ได้! ถึงหัวใจก็ถือเป็นอาหารประเภทเครื่องในได้เหมือนกัน แต่พวกเย่เลี่ยนก็ไม่กินอาหารประเภทเนื้อเหมือนกันไม่ใช่หรอ!

“แต่ก่อนหน้านั้น ฉันจะเอาให้เหล่าหลันวิจัยดูก่อน กินของมั่วซั่ว อาจส่งผลกระทบต่อวิวัฒนาการ…” หลิงม่อบอก “เชื้อไวรัสที่ไม่เหมือนกันอาจอาจส่งผลกระทบต่อเชื้อไวรัสในร่างกายได้ หากไม่ถูกกลืนกิน ก็อาจเป็นผลทำให้ร่างกายเกิดการกลายสภาพ…”

“อย่างนั้นเองหรอ ฉันก็หลงตกใจแทบแย่…” สวี่ซูหานถอนหายใจ นึกว่าเขาตั้งใจจะเอาให้พวกเย่เลี่ยนกินจริงๆ…ถ้าหากให้พวกเธอกินจริงๆ แล้วเธอจะมองหน้าพวกเธอยังไงล่ะ! ทว่าทฤษฎีเกี่ยวเชื้อไวรัสของหลิงม่อทำเธอลอบทึ่งไม่น้อย…ถ้าอย่างนั้นหากกินเชื้อไวรัสของซอมบี้เพศชายไปตลอด เธอจะวิวัฒนาการจนมีอะไรพิเศษขึ้นมาหรือเปล่า…

“กรี๊ดๆๆ! ห้ามคิดนะ…แค่เชื้อไวรัสเท่านั้น ไม่น่าจะส่งผลได้ถึงขั้นนั้นหรอก!” สวี่ซูหานส่ายหน้าไปมาหลายครั้ง

“แต่ถ้าไม่กินเยอะก็ไม่เป็นไรหรอก ลองไหม?” หลิงม่อกลับโพล่งถามขึ้น

“ไม่เอาด้วยหรอกย่ะ!”

“เดี๋ยวก่อน…”

สวี่ซูหานยังอยากจะพูดอะไร แต่กลับเห็นหลิงม่อยกมือขึ้นทำท่าให้เงียบ

ตอนนี้ทั้งสองได้เดินออกมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ข้างหลังยังคงมีแต่ความเงียบ แต่ท่ามกลางความมืดตรงหน้า กลับมีเสียงเบาๆ หนึ่งดังมารางๆ…

หลิงม่อใช้เสื้อห่อไฟฉายไว้ เขาค่อยๆ ถอดเสื้อตัวนอกออกอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็วางมันลงพร้อมกับไฟฉาย แล้วก็ดึงแขนสวี่ซูหานให้ถอยหลังไปซ่อนตัวอยู่ในความมืดด้วยกัน

สวี่ซูหานเข้าใจทันทีว่าหลิงม่อกำลังทำอะไรอยู่ มันเป็นวิธีการทดสอบอย่างหนึ่ง…ถ้าหากข้างหน้ามีอะไรอยู่จริงๆ สิ่งนั้นก็ต้องเห็นแสงไฟฉายของพวกเขาตั้งนานแล้ว ปิดไฟฉายตอนนี้ก็มีแต่จะทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ถ้าหากทำให้แสงมืดลงหน่อย สายตาของอีกฝ่ายก็จะได้รับผลกระทบ แสงไฟสลัวจะทำให้อีกฝ่ายเสียเป้าหมายไป กว่ามันจะปรับสายตาให้ชิน พวกหลิงม่อก็หายไปแล้ว และเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ให้แน่ชัด มันจึงจำเป็นต้องเดินเข้ามาใกล้อย่างไม่มีทางเลือก…

ถึงแม้สุดท้ายแล้วเสียงเหล่านี้จะเป็นเสียงปกติที่เกิดขึ้นในท่อน้ำทิ้ง ขั้แต่นตอนการทดสอบของเขาก็ไม่ทำให้เสียเวลามากนัก

“นี่แหละคือวิธีการเอาตัวรอดของมนุษย์…” สวี่ซูหานหลบอยู่ข้างหลังหลิงม่อ พลางอดคิดในใจไม่ได้ ตอนที่ยังเป็นมนุษย์ เธอกลับไม่ได้ตระหนักถึงจุดนี้มากนัก…อย่างเช่นเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ความจริงเธอชอบอาศัยความสามารถของตัวเองมากกว่า และถึงแม้เธอจะเคยใช้เทคนิคพวกนั้นบ้าง แต่เธอกลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากนัก ตอนนี้พอมองจากมุมของซอมบี้ อยู่ๆ เธอก็เข้าใจขึ้นมา ว่าทำไมมนุษย์ถึงสามารถใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอย่างนี้ได้…

“เทียบกับซอมบี้ มนุษย์เจ้าเล่ห์เพทุบายกว่ามาก!” สวี่ซูหานคิดอย่างเศร้าใจอีกครั้ง

————————————