ตอนที่ 472 ความได้เปรียบเหนือพสุธา

พันธกานต์ปราณอัคคี

“เจ้ารอง ที่เจ้าพูดถึงคือที่นี่หรือ” บนท้องฟ้าปรากฏชายชราผมขาวเคราขาวสวมเสื้อแขนกว้างทับด้วยเสื้อคลุมสีเข้ม ดูราวเทพเซียนกำลังพินิจพิเคราะห์ป่าดอกสาลี่ข้างล่างเป็นผู้ถามขึ้น

 

 

ป่าดอกสาลี่แห่งนี้วางค่ายกลพรางตาเอาไว้แน่นอน แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานยังหาไม่พบ นับประสาอะไรกับคนธรรมดาทั่วไป แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเช่นเขาแล้วไม่ใช่เรื่องยาก

 

 

ชายที่ยืนข้างผู้เฒ่ารูปร่างสมส่วน หน้าตาดูดี เพียงแต่จมูกที่เชิดขึ้นมาเล็กน้อยทำให้เขาดูเย็นชาขึ้นหลายส่วน เขารีบตอบ “ขอรับอาวุโสใหญ่ ร้องรอยที่น้องสามทิ้งไว้หายไปตรงนี้ขอรับ”

 

 

ผู้เฒ่าแค่นหัวเราะออกมา ”พวกเจ้าสามสืบหาเบาะแสของพี่น้องตระกูลพานจนหายไปสามเดือนกว่าแล้ว เจ้ารอง เจ้านี่ช่างใจเย็นนัก เพิ่งจะเริ่มตามหาเอาป่านนี้”

 

 

ชายหนุ่มรีบกอบหมัดแสดงความนอบน้อม “อาวุโสใหญ่ขอรับ น้องสามและน้องห้าล้วนเป็นเด็กหัวกะทิของตระกูล ทันทีที่ถึงที่แห่งนี้ร่องรอยของน้องสามและน้องห้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ชนรุ่นหลังคิดว่าจะต้องมีลับลมคมนัย เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานจะรับมือได้ จึงไม่ได้ลงมือและรออาวุโสใหญ่มาจัดการขอรับ”

 

 

ผู้เฒ่าปรายตามองชายหนุ่ม เห็นท่าทีแสดงความเคารพอย่างจริงใจไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวจนดูต้อยต่ำ ก็ได้แต่แอบพยักหน้าและยิ้มออกมา “ที่เจ้าทายไว้ก็ไม่ผิดหรอก ป่าดอกสาลี่แห่งนี้จะต้องเป็นที่อยู่ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอย่างแน่นอน”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นอาวุโสใหญ่ก็…” ชายหนุ่มถามหยั่งเชิง

 

 

ผู้เฒ่าหัวเราะออกมาเบาๆ “ค่ายกลพรางตาป่าดอกสาลี่นี่ยังอ่อนด้อย แล้วคนข้างในจะเก่งได้อย่างไร ไฟดวงจิตของเจ้าสามกับเจ้าห้ายังไม่มอด แค่นี้ก็รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นคนใจอ่อน แล้วคนเช่นนี้มีอะไรให้ต้องกลัวกันเล่า”

 

 

ชายหนุ่มยิ้มพลางกล่าว “อาวุโสใหญ่ปราดเปรื่องยิ่งนัก”

 

 

ผู้เฒ่าลูบเคราขาวราวหิมะของตน ใช้พลังวิญญาณของตนส่งเสียงออกไป “สหายแห่งป่าดอกสาลี่ แสดงตัวออกมาได้หรือไม่”

 

 

น้ำเสียงนี้ฟังดูแล้วรื่นหู ทว่าคลื่นเสียงที่กระจายออกไปทีละระลอก ทำให้ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านดอกสาลี่ต่างตกใจจึงวิ่งออกมาดู

 

 

“พี่จางหยาง รีบมาดูเร็ว มีเซียนอยู่บนฟ้าด้วย” สาวน้อยวัยสิบสองสิบสามปีเขย่งเท้าขึ้นและมองไปรอบๆ ท้องฟ้า ใบหน้ามีริ้วสีแดงสดจากความตื่นเต้นพาดอยู่ ชวนให้เด็กหนุ่มข้างกายจ้องมองเหม่อลอย

 

 

“นั่นไม่ใช่เซียน แต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเช่นเดียวกันกับข้า” เด็กหนุ่มในวัยต่อต้านผู้นี้รู้ดีว่าผู้บำเพ็ญเพียรกับคนที่ยืนอยู่บนฟ้านั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว หากแต่ไม่ยอมเสียหน้าต่อหน้าเด็กสาวที่เขาชื่นชม

 

 

เด็กสาวเบิกตากว้าง นัยน์ตาเป็นประกาย “พี่จางหยางพูดเช่นนี้ แสดงว่าพี่เองก็เหาะได้เช่นนั้นหรือ”

 

 

เด็กหนุ่มร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว ”หลังจากนี้เหาะได้แน่นอน เสี่ยวยา ถึงตอนนั้นข้าจะพาเจ้าเหาะ”

 

 

“อือ” เด็กสาวยิ้มจนตาหยี “ไม่รู้ว่าพี่ตู้รั่วจะเป็นอย่างไร มีท่านเซียนคอยชี้แนะ ป่านนี้เขาอาจจะเหาะได้แล้วกระมัง”

 

 

“จะเป็นไปได้อย่างไร!” จางหยางเบะปาก ทันใดนั้นก็หยุดนิ่งและหันไปมองเหล่าสหายที่ยืนอยู่ด้วยกัน พลางพูดเสียงต่ำ “เอ้อร์โก่วจื่อ พวกเจ้ามานี่ ข้าคิดว่านี่มันไม่ใช่เรื่องดีแน่”

 

 

“ทำไมหรือ” เด็กหนุ่มวัยสิบสี่สิบห้าที่รวมกลุ่มกันอยู่ถามขึ้น

 

 

จางหยางชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า “ข้าคิดว่าสองคนนั้นจะต้องมาหาเรื่องท่านเซียนเป็นแน่”

 

 

เหล่าเด็กหนุ่มกระซิบกระซาบกัน มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “พวกเขากับท่านเซียนใครจะเก่งกว่ากัน หากท่านเซียนแพ้คงจะไม่ดีนัก”

 

 

“ข้าไม่รู้ ระดับอย่างพวกเราจะไปดูออกได้อย่างไร แต่ข้าคิดว่าชายชราผู้นั้นกับท่านเซียนอยู่ในระดับเดียวกัน” จางหยางพูดอย่างกังวลใจ

 

 

เอ้อร์โก่วจื่อทำหน้าบึ้งตึงและพึมพำออกมา “จบกัน ท่านเซียนเอาชนะไม่ได้แน่”

 

 

“เพราะเหตุใด”

 

 

เอ้อร์โก่วจื่อบุ้ยปาก “ยังจะต้องถามอีกหรือ เจ้าดูชายชราผู้นั้นสิ เคราขาวหมดแล้ว ไม่รู้ว่าบำเพ็ญเพียรมานานแค่ไหนแล้ว ท่านเซียนจะเป็นคู่แข่งของเขาได้อย่างไร แล้วอีกอย่างพวกเขาก็มีกันตั้งสองคน”

 

 

“เหอะ!” เหล่าเด็กหนุ่มปรายตามองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม

 

 

จางหยางยื่นมือไปเขกหัวเอ้อร์โก่วจื่อหนี่งที “เอ้อร์โก่วจื่อ เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียร เข้าใจไหมว่าเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียร อย่าเที่ยวเอาความคิดสมัยเป็นเด็กเลี้ยงวัวมาใช้บ่อยนัก จะระดับสูงหรือระดับต่ำดูได้จากอายุที่ไหนกัน ผู้ใหญ่บ้านหวังก็อายุมากจนฟันร่วงจะหมดปากแล้ว เจ้าคิดว่าเขาเก่งเท่าเจ้าหรืออย่างไรกัน”

 

 

“พูดกันตามตรงแล้ว ข้าว่าท่านเซียนจะต้องเก่งกว่าเขาแน่” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูด

 

 

“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เหล่าวัยรุ่นถาม

 

 

วัยรุ่นคนนั้นอ้ำอึ้ง ก่อนจะตอบขึ้นมาอย่างเขินๆ ว่า “เพราะว่าข้าคุ้นเคยกับท่านเซียนมาก แน่นอนว่าต้องพูดเพื่อสนับสนุนท่านเซียน”

 

 

ครานี้เหล่าเด็กหนุ่มไม่พูดอะไรกันอีก ทำเพียงกลอกตา

 

 

“ดูสิ ดูเร็ว ท่านเซียนมาแล้ว”

 

 

ในตอนที่มั่วชิงเฉินปรากฏกายและค่อยๆ ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เสียงพูดคุยกันของชาวบ้านก็ดังขึ้น

 

 

เมื่อเหาะขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกันกับชายชราและเว้นระยะห่างออกไปหลายจั้ง มั่วชิงเฉินจึงหยุดกายและกล่าวออกมาเสียงเรียบ “สหายอยากพบข้าหรือ”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายปล่อยพลังกดดันออกมาอย่างไม่ปิดบัง จนชายหนุ่มข้างกายชายชรายืนไม่อยู่ ใบหน้าซีดขาวขึ้นมาโดยพลัน

 

 

“เจ้ารอง เจ้าลงไปรอข้างล่าง” ชายชราหันไปบอก

 

 

“ขอรับ…” ชายหนุ่มตอบปลายเสียงสั่นและร่อนลงไปข้างล่างอย่างจนใจ

 

 

ใบหน้าของมั่วชิงเฉินยังคงราบเรียบเสมือนไม่เห็นอะไร

 

 

ชายชราสูดหายใจลึกๆ เขาไม่คิดเลยว่าผู้บำเพ็ญเพียรในป่าดอกสาลี่จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย สูงกว่าเขาหนึ่งระดับ!

 

 

หมู่บ้านดอกสาลี่มีคนเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เหตุใดเขาถึงไม่ได้ยินข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย

 

 

ไตร่ตรองอยู่ครู่ ก็จัดการเก็บท่าทางหยิ่งยโสของตัวเอง “สหาย ข้าน้อยคืออาวุโสใหญ่ตระกูลอู๋ ได้ยินลูกหลานพูดว่า มีหลานสองคนพลัดหลงเข้าไปในเขตพำนักของสหายจนถึงวันนี้ยังไม่กลับมา ขอรบกวนถามสักหน่อยว่าตอนนี้หลานทั้งสองคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

เอ๋ ดูท่าจะไม่ได้ลงไม้ลงมือเสียแล้วกระมัง

 

 

มั่วชิงเฉินแอบเบะปาก “เกรงว่าจะไม่ใช่พลัดหลงเข้ามากระมัง”

 

 

น้ำเสียงไม่แยแสเช่นนี้ ทำให้ชายชราผู้เคยชินกับการทำตัวสูงส่งถึงกับขมวดคิ้ว ข่มอารมณ์และพูดออกมาว่า “หลานข้าสองคนนั้นเพียงแค่ตามร่องรอยของคนทรยศตระกูลอู๋แค่นั้น หากรบกวนถึงสหายโปรดอภัย ได้โปรดปล่อยตัวพวกเขาออกมาเพื่อเป็นการไว้หน้าข้าน้อยด้วยเถิด”

 

 

“คนทรยศตระกูลอู๋หรือ” มุมปากของมั่วชิงเฉินยกขึ้น ปรากฏเป็นรอยยิ้มหยอกล้อ

 

 

ชายชราขมวดคิ้ว แอบพูดเงียบๆ ในใจ นางเด็กนี่ เป็นเพราะข้าทำตัวสุภาพด้วยเลยคิดว่าข้ากลัวนางเช่นนั้นหรือ

 

 

ฮึ ถึงจะอยู่สูงกว่าข้าหนึ่งระดับก็เถอะ แต่ระดับไม่ได้รับประกันศักยภาพ อายุยังน้อยเช่นนี้ หากสู้กันจริงใครแพ้ใครชนะก็มิอาจด่วนสรุปได้

 

 

คิดได้เช่นนั้น ใบหน้าก็ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มออกมาและจ้องมองไปยังมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกตื่นเต้น หรือว่าวันนี้จะได้ลงไม้ลงมือ

 

 

คิดได้ดังนี้มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

 

 

ชายชรารู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นดูแพรวพราวผิดปกติ จึงกล่าวเสียงหนักว่า “สหายเอาแต่ยิ้มไม่พูดไม่จาเช่นนี้ หรือคิดว่าข้าน้อยอยู่ในระดับต่ำกว่าจึงขี้ขลาด ถึงได้ยืนยันจะแทรกแซงเรื่องภายในตระกูลอู๋เช่นนั้นหรือ”

 

 

“สหายดูออกหมดเลยหรือ ที่จริงแล้วข้าน้อยไม่ได้คิดเช่นนั้นหรอก” มั่วชิงเฉินพูดด้วยใบหน้าจริงใจ

 

 

ท่าทางเช่นนี้ของนางยิ่งทำให้ชายชราเดือดดาลมากกว่าเดิมเสียอีก น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบทันที “เช่นนั้นสหายส่งตัวลูกหลานตระกูลอู๋ทั้งสี่คนให้ข้าได้หรือไม่”

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะเสียงใสและเอื้อนเอ่ยสองคำออกมา “ไม่ได้”

 

 

ชายชราโมโหจนหนวดกระตุก เขากัดฟันและเปล่งเสียงออกมา “สหายอย่ารังแกกันจนเกินไปนัก!”

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก สีหน้าไม่แยแสมากกว่าชายชราเสียอีก นางเปล่งวาจาออกมาช้าๆ “บุกรุกเข้ามาในที่พำนักข้าตามอำเภอใจแล้วยังคิดจะสังหารลูกศิษย์ของข้า จากนั้นก็มีคนคิดอยากจะมาพาคนกลับไป สหาย ที่จริงแล้วใครรังแกกันจนเกินไปกันแน่”

 

 

“สหายพูดเช่นนี้เพราะอยากจะใช้ไม้แข็งเช่นนั้นหรือ” ชายชราถามพลางหรี่ตา

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินไม่ได้ส่งเสียงอันใดออกมา เขาจึงสะบัดแขนเสื้อ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าน้อยคงต้องขอคำชี้แนะจากสหายสักรอบหนึ่ง เชิญ!”

 

 

พูดมากเสียจริง สู้กันแต่แรกก็สิ้นเรื่อง!

 

 

มั่วชิงเฉินไม่พูดอะไรต่อ นางหยิบก้อนอิฐออกมาแล้วโยนออกไป

 

 

ชายชราเกือบจะกระอักเลือด หลบหลีกอย่างจนตรอก เขากัดฟันพูด ”สหายลงมือรวดเร็วยิ่งนัก!”

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าไม่รู้สึกผิด “เอ่อ ข้าไม่รู้ว่าต้องพูดว่าเริ่มได้ก่อน…”

 

 

จู่ๆ แขนเสื้อของชายชราก็พุ่งขึ้นสูงและคว้าก้อนอิฐที่บินวนอยู่บนท้องฟ้าเอาไว้ จากนั้นแขนเสื้ออีกข้างก็ส่งมีดบินหลายเล่มออกมา ปรากฏเป็นแสงสีที่ดูน่าหวาดหวั่นพุ่งตรงไปยังมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น ลูกดอกลับที่อยู่ในแขนเสื้อพุ่งออกมาปะทะกับมีดบินอย่างพอดิบพอดีจนมีดบินร่วงหล่น นางพูดยิ้มๆ “สหายมีความสามารถแค่นี้เองหรือ เช่นนั้นข้าคงต้องขออภัย”

 

 

ขณะพูดปลายนิ้วก็ส่งแสงวิญญาณสายหนึ่งออกมา แสงนั้นปะทะเข้ากับก้อนอิฐที่ถูกดูดเข้าไปในแขนเสื้อของชายชรา

 

 

ชายชรามีสีหน้าเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย ฝ่ามือเรียกสมบัติวิเศษประจำกายออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินตะลึงไปชั่วขณะ

 

 

นางคาดไม่ถึงว่าชายชราผู้ดูดุจเทพเซียนผู้นี้ ที่แท้ก็มีสมบัติวิเศษประจำกายเป็นลูกตุ้มดาวตกหนึ่งคู่

 

 

สมัยนี้เขานิยมของเช่นนี้กันหรือ

 

 

ชายชราสะบัดแขนเสื้อ ก้อนอิฐลอยออกมา จากนั้นก็ดึงโซ่ให้ลูกตุ้มปะทะกับก้อนอิฐอย่างแรง

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก พลันระดมพลังวิญญาณเพื่อควบคุมก้อนอิฐ

 

 

ก้อนอิฐแหวกฟ้าขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่ง และพลังวิญญาณของนางเองก็สูงกว่าชายชราอยู่เล็กน้อย ถึงกระนั้นก็ยังกลัวจะแพ้เช่นนั้นหรือ

 

 

เสียงลูกตุ้มกับก้อนอิฐปะทะกันดังสนั่นราวเสียงฟ้าร้อง เมฆบนท้องฟ้าเริ่มม้วนวน กระแสอากาศรุนแรงกระจายไปทั่ว ผืนดินเองก็โดนลูกหลงจนระเบิดออกเป็นหลุมกว้าง

 

 

ชายชราถอยหลังไปสองก้าว เลือดลมแปรปรวน การปะทะกันอย่างแท้จริงเช่นนี้ เขาแพ้แล้ว!

 

 

มั่วชิงเฉินชอบใช้ก้อนอิฐเมื่อเจอกับคนที่มีกำลังด้อยกว่าตน ไม่มีเหตุผลอันใดหรอก เพียงแต่ความสบายใจเช่นนี้ไม่ได้หาได้จากของวิเศษชิ้นอื่น

 

 

เห็นชายชราถอยหลัง มั่วชิงเฉินก็ไม่เกรงใจ ร่ายอาคมทีหนึ่ง ก้อนอิฐขยายใหญ่ขึ้นในทันที คล้ายภูเขาขนาดย่อมกำลังจะทับลงบนตัวชายชรา

 

 

ชายชราเค้นเลือดออกจากปลายนิ้ว หยาดเลือดซึมเข้าไปในลูกตุ้มดาวตก ลูกตุ้มดาวตกพลันส่องแสงเรืองรอง

 

 

ตามด้วยสองมือของเขาที่ควงโซ่ เร็วขึ้น เร็วขึ้น ลูกตุ้มคู่หนึ่งลอยวนอยู่บนท้องฟ้า ค่อยๆ ปรากฏเป็นภาพลวงตา บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยภาพเลือนรางของลูกตุ้ม จนแยกไม่ออกว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าเรียบนิ่ง ในที่สุดธนูเขียวซ่อนเร้นก็ปรากฏออกมา ปลายนิ้วคล่องแคล่วประหนึ่งผีเสื้อสยายปีกอย่างอ่อนช้อย ยิงศรกว่าร้อยเล่มออกไป

 

 

เกิดเสียงดัง ฟิ้ว ในตอนที่ศรวิญญาณกระทบกับเงาของลูกตุ้ม ปรากฏให้เห็นแสงที่ห่อหุ้มเงาของลูกตุ้มถูกยิงจนกระจัดกระจาย เหลือเพียงเศษแสงวิญญาณ

 

 

ปรากฏเป็นภาพศรวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนปะทะกับเงาลูกตุ้ม

 

 

ชาวบ้านบนพื้นดินเห็นแสงดาวแวววาวทั้งที่ดวงอาทิตย์ยังเจิดจ้า แม้จะเป็นแค่ช่วงพริบตาเดียว แต่ทิวทัศน์แปลกตาเช่นนั้นก็ประทับลงในใจของทุกคน

 

 

มั่วชิงเฉินถือธนูเขียวซ่อนเร้นเอาไว้ไม่ขยับ ท่ามกลางเสียง ฟิ้ว ก็ได้ยินเสียงสิ่งของกระทบกันอันไพเราะ

 

 

ชั่วพริบตาเดียวธนูยาวในมือก็ยิงศรแหลมคมสีทองออกไป

 

 

เสียงโลหะกระทบกันในอากาศเกิดเสียงดังกึกก้อง ประกายไฟจำนวนมากกระจายไปรอบๆ ศรแหลมคมหมุนด้วยความเร็วสูงและพุ่งเข้าชนลูกตุ้ม

 

 

ชายชราเจ็บปวดมาก ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

 

 

ในตอนที่ลูกตุ้มดาวตกกำลังจะร่วงหล่นลงมา ก้อนอิฐที่กลายเป็นภูเขาขนาดย่อมก็ทับลงมาพอดี