บทที่ 408 สัมภาษณ์

บทที่ 408 สัมภาษณ์

เมื่อถูกอีกฝ่ายซักถาม หลิวว่านฉิงจึงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย

เธอเรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยไหนน่ะเหรอ หลังจากเรียนจบมัธยมปลาย เงินในครอบครัวก็ร่อยหรอ ดังนั้น…เธอจึงเลือกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่มีค่าใช้จ่ายไม่แพง

“ฉัน…”

เธอลังเลอยู่พักหนึ่ง เพราะไม่รู้ว่าจะตอบยังไง พอเห็นอย่างนั้น พนักงานหญิงก็ไม่ได้ถามต่อ

“ลืมไป ฉันไม่ใช่คนที่จะสัมภาษณ์คุณสักหน่อย ก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งเปลี่ยนให้ยัยแม่มดเป็นคนสัมภาษณ์ ขอให้โชคดีนะคะ”

ในที่สุดทั้งสองคนก็มาถึงล็อบบี้

หลังจากเดินผ่านล็อบบี้ พนักงานหญิงพาหลิวว่านฉิงไปที่ห้องขนาดใหญ่

“เข้าไปรอข้างในได้เลยค่ะ การสัมภาษณ์จะเริ่มตอนสิบโมงครึ่ง คุณควรเตรียมตัวให้พร้อม”

ตอนนี้มีหนุ่มสาววัยทำงานกว่าสิบคนนั่งรออยู่ในห้อง เมื่อหลิวว่านฉิงเดินเข้าไป พนักงานคนนั้นก็พูดบางอย่างก่อนเดินจากไป

“เฮ้? เธอยังเด็กอยู่เลย มานั่งด้วยกันสิ”

หลังจากที่พนักงานหญิงจากไป ผู้หญิงวัยสามสิบก็พูดทักทายเธอ ซึ่งแน่นอนว่าหลิวว่านฉิงไม่ปฏิเสธ

พอเธอนั่งลง ผู้หญิงคนนั้นจึงแนะนำตัว “ฉันชื่อถงเสวี่ยอิง ยินดีที่ได้รู้จัก”

“เช่นกันค่ะ ฉันชื่อหลิวว่านฉิง”

ทั้งสองทักทายกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเธอไม่ได้เป็นที่สนใจของคนรอบข้างสักเท่าไหร่

“ฉันเดาว่าคุณเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยใช่ไหมคะ”

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้หญิงที่ชื่อว่าถงเสวี่ยอิงจึงถามเกี่ยวกับการศึกษาของเธอ

แต่หลิวว่านฉิงประหม่าเล็กน้อย

“ใช่ค่ะ ฉันเพิ่งเรียนจบปีนี้”

ถ้าอวี้ฮ่าวหรานไม่ออกปากชวนด้วยตัวเอง เธอคงไม่กล้ามาสมัครงานที่บริษัทขนาดใหญ่อย่างนี้หรอก

“ฮ่า ๆ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หลาย ๆ คนก็เพิ่งเรียนจบเหมือนกัน คุณมาถูกที่แล้วล่ะ ฉันได้ยินมาว่าผู้บริหารที่นี่สนับสนุนการจ้างงานนักศึกษาจบใหม่”

ถงเสวี่ยอิงสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังประหม่า เธอจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที

“คุณพักอยู่แถวนี้เหรอคะ?”

เธอหยุดพูดเรื่องการศึกษา

“ค่ะ ฉันพักอยู่ไม่ไกลจากที่นี่”

หลิวว่านฉิงตอบอย่างรวดเร็ว เธออดรู้สึกประทับใจผู้หญิงคนนี้ไม่ได้

“ดีจัง น่าเสียดายที่ฉันอยู่ไกล ไม่รู้ว่าถ้าผ่านการสัมภาษณ์แล้วจะมีปัญหาเรื่องที่พักไหม”

ถงเสวี่ยอิงพูดคุยอย่างเป็นกันเอง แต่แล้วจู่ ๆ ผู้หญิงอายุประมาณสามสิบหรือน้อยกว่านั้นก็โพล่งขึ้น

“การสอบสัมภาษณ์ที่นี่จะเน้นเรื่องวุฒิการศึกษาและประสบการณ์ทำงานเป็นหลักค่ะ”

ขณะพูด ผู้หญิงคนนั้นมองหลิวว่านฉิงด้วยสีหน้าสดใส

“ฉันคิดว่าที่นี่ไม่เหมาะกับคุณนะคะ คุณดูเด็กเกินไป ฉันขอถามได้ไหมคะว่าทำไมคุณถึงมาสมัครงานที่นี่?”

ถงเสวี่ยอิงขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน

“คุณเพิ่งเรียนจบเหมือนกันนี่คะ ทำไมถึงพูดอย่างนี้”

เธอไม่ชอบความคิดของอีกฝ่ายจริง ๆ

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”

หลิวว่านฉิงพูดปราม เธอไม่อยากเป็นต้นเหตุให้สองคนนี้ทะเลาะกัน แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะเบา ๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเจือความเสียดสี

“ฮ่า ๆ แต่ถ้าคุณเรียนจบมหาวิทยาลัยชื่อดังก็ไม่เป็นไรหรอก”

พูดจบ เธอจึงมองแผ่นประวัติโดยย่อในมือของหลิวว่านฉิง

“จุ๊ ๆ ประวัติการทำงานน้อยจังนะคะ ขอให้โชคดีแล้วกันค่ะ”

คำพูดเหล่านั้นแฝงความเย้ยหยันและความภูมิใจในตัวเอง ทำให้ถงเสวี่ยอิงเริ่มโมโหเล็กน้อย นี่คือวิธีที่คนหนุ่มสาวใช้แกล้งกันเหรอ?

“ฉันขอให้คุณโชคดีเหมือนกันนะคะ ฉันเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ม่อตู แล้วคุณล่ะคะ?”

เธอบอกชื่อมหาวิทยาลัยของตัวเอง

หลิวว่านฉิงตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจบมาจากมหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ อย่างนี้

เมื่อผู้หญิงอีกคนได้ยินอย่างนั้น เธอก็รู้สึกว่าตัวเองสู้ไม่ได้ จึงมองทั้งสองคนสลับกันอย่างเงียบ ๆ

พวกเธอเพิ่งพบหน้ากันจึงไม่จำเป็นต้องสนทนาอะไรกันให้มากความ จริงไหม?

ถงเสวี่ยอิงไม่พูดอะไรต่อ

“ถง…ฉันขอเรียกคุณว่าพี่ถงได้ไหมคะ?” แต่กลับเป็นหลิวว่านฉิงที่ออกปากถามอีกฝ่าย

“ได้สิ โชคดีจริง ๆ ที่เรามาเจอกันที่นี่”

“ค่ะพี่ถง พี่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ เลยนี่คะ”

หลิวว่านฉิงออกปากชมอีกฝ่ายทันทีที่ได้รับอนุญาต

มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ม่อตูเป็นหนึ่งในห้ามหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของประเทศจีน บริษัทชื่อดังมากมายต่างอ้าแขนรับนักศึกษาที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยนี้

มากไปกว่านั้นดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีประสบการณ์การทำงานมามากมาย

แต่ถงเสวี่ยอิงก็ไม่ใช่คนถือตัว ตรงกันข้ามกลับดูเป็นมิตรและเป็นกันเองมากด้วยซ้ำ

“ฮ่า ๆ ครอบครัวฉันสนับสนุนให้เรียนที่ม่อตูมาตั้งแต่เด็กน่ะ อีกอย่างฉันกำลังจะแต่งงานเลยหางานทำที่นี่”

“อ๋อ… พอดีว่าฉันเรียนไม่เก่งสักเท่าไหร่…”

สามสิบนาทีก่อนการสัมภาษณ์ ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนิทสนมราวกับรู้จักกันมานาน

“เธอเรียนจบจากที่นี่เหรอ?”

พอถงเสวี่ยอิงเห็นประวัติของอีกฝ่าย เธอก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

นั่นคือมหาวิทยาลัยระดับสามไม่ใช่เหรอ?

แม้แต่บริษัทขนาดเล็กยังไม่สนใจรับคนที่จบจากมหาวิทยาลัยระดับนี้ แล้วเธอกล้ามาสมัครงานที่บริษัทใหญ่อย่างนี้ได้ยังไง?

ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงประหม่าอย่างมาก

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันได้ยินว่าการสอบสัมภาษณ์ของที่นี่โหดมาก ถ้าอยากรู้ ฉันสามารถแนะนำเธอได้นะ”

ถ้าให้พูดตามตรง มันเป็นไปได้ยากที่คนจบจากมหาวิทยาลัยระดับสามจะได้เข้าทำงานที่นี่

เธอพูดเสียงแผ่ว ถงเสวี่ยอิงรู้สึกประทับใจและอยากเป็นเพื่อนกับหญิงสาว

หลิวว่านฉิงไม่รู้จะพูดยังไงดี…เธอไม่สามารถบอกกับคนอื่นว่าตัวเองรู้จักประธานบริษัทแห่งนี้ เพราะมันไร้สาระเกินไป

ไม่นานหลังจากปิดลงทะเบียน การสัมภาษณ์ก็เริ่มขึ้น

กลุ่มคนมากมายมารวมตัวกัน ก่อนถูกพาไปยังห้องประชุมใหญ่

“คนแรกฉางเสี่ยว”

ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไป

ผู้สัมภาษณ์เป็นหญิงวัยกลางคนอายุราว ๆ สี่สิบปี เธอมองผู้เข้าสัมภาษณ์ด้วยใบหน้าบึ้งตึง

“ฉันอ่านประวัติของคุณแล้ว คุณมีความสามารถอื่นนอกเหนือจากที่เขียนไหมคะ?”

“ตอนเรียน ผมเป็นสมาชิกสมาพันธ์นักศึกษาครับ”

“นับเป็นความสามารถด้วยเหรอ? ฮึ ถ้าคุณไม่มีความสามารถอื่น เราคงพิจารณารับคุณเข้าทำงานไม่ได้”

ผู้สัมภาษณ์วัยกลางคนถอนหายใจพลางแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์

“ไม่…ให้โอกาสผมเถอะครับ ผมอยากเข้าทำงานที่เครือฮ่าวหรานจริง ๆ”

เมื่อเห็นว่าการสัมภาษณ์กำลังจะจบลง ชายหนุ่มก็ตื่นตระหนกอย่างมาก

“โอกาส? เราให้โอกาสคุณแล้ว แต่เราไม่สามารถรับคนที่มีประสบการณ์การทำงานหนึ่งปี และจบจากมหาวิทยาลัยระดับสองอย่างคุณเข้าทำงานได้จริง ๆ

ไม่นาน ชายหนุ่มก็เดินคอตกออกจากห้องประชุม

ขณะเดียวกัน ผู้หญิงที่พูดถากถางหลิวว่านฉิงก่อนหน้านี้ก็หันไปซุบซิบกับคนที่นั่งข้างเธอ

“ฮ่า ๆ ฉันขำแทบตาย พวกคนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยอันดับสองจะกล้าแข่งกับพวกเราอีกไหม?”

ถงเสวี่ยอิงได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นอย่างชัดเจน ก่อนหันมองหลิวว่านฉิงอย่างอดไม่ได้

เธอรู้สึกว่าบางทีตนเองน่าจะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายให้ล้มเลิก แต่ตอนนี้เธอชักจะละอายใจซะแล้ว

เห็นได้ชัดว่าหญิงวัยกลางคนที่เป็นผู้สัมภาษณ์อยู่ในวัยหมดประจำเดือน เธอมีสีหน้าบึ้งตึงราวกับทุกคนติดหนี้เธอ

แน่นอนว่าผู้เข้าสัมภาษณ์ที่มีประสบการณ์น้อยหรือไม่มีประสบการณ์หลายคนต่อจากนั้นถูกปฏิเสธอย่างเลือดเย็น

ขนาดแม้แต่ผู้เข้าสัมภาษณ์ยังเย้ยหยันกันเอง และแล้วไม่นานก็ถึงคิวสัมภาษณ์ของหลิวว่านฉิง!