เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินออกมา เฟิ่งจือเหยาก็ไม่หลบไปไหน ค่อยๆ เดินออกมาจากใต้ชายคา หลายปีที่ผ่านมา จะมากจะน้อยอย่างไร เยี่ยหลีก็ดูออกว่าคนที่อยู่ในใจเฟิ่งจือเหยานั่นคือผู้ใด เมื่อเห็นเฟิ่งจือเหยายังแสร้งทำตัวสบายๆ ดังเช่นปกติ นางก็ได้แต่ลอบถอนใจและคิดในใจว่า สวรรค์ช่างกลั่นแกล้งมนุษย์ยิ่งนัก ถึงแม้เฟิ่งจือเหยาจะอายุน้อยกว่าฮว่าฮองเฮาอยู่หลายปี แต่เมื่อเทียบกับม่อจิ่งฉี อย่างไรเฟิ่งจือเหยาก็ดูจะเป็นสามีที่ดีกว่า แต่น่าเสียดายที่คนสองคนกลับไม่มีบุญวาสนาต่อกัน
เฟิ่งจือเหยาเมื่อได้ยินสิ่งที่ฮว่าฮองเฮาต้องประสบพบเจอ ยามนี้ในใจเขามิอาจสงบลงได้
“พระชายา พวกเราจะไปดูทางฝั่งท่านอ๋องบ้างหรือไม่” เฟิ่งจือเหยาก้าวเข้ามาเอ่ยถามด้วยท่าทีสงบนิ่ง
เยี่ยหลีคิดเล็กน้อย แล้วจึงพยักหน้า ถึงแม้นางจะไม่นึกเป็นห่วงว่าม่อซิวเหยาจะได้รับบาดเจ็บหรืออันใด แต่ซูม่านหลินก็เคลื่อนกำลังพลฝีมือดีจำนวนหลายร้อยคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียงมา ยิ่งรวมกับองครักษ์ในเมืองนับพันนายที่นางมีอยู่ในมือ หากไม่ได้เห็นผลสุดท้ายกับตา อย่างไรก็อดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้
ม่อซิวเหยาและสวีชิงเฉินยามนี้ กำลังนั่งสบายๆ อยู่บนโรงสุราชั้นที่สูงที่สุดในเมืองหนานจ้าว กำลังร่ำสุรากันอยู่อย่างสบายใจ
โรงสุรานี้สูงสามชั้น เมื่อนั่งอยู่บนชั้นบนสุด มองลงไปด้านล่างแล้ว นอกจากส่วนที่เป็นพระราชวัง ก็สามารถมองเห็นสถานที่อื่นๆ ภายในเมืองได้อย่างชัดเจน
ยามนี้คนที่อยู่บนชั้นสาม มิได้มีเพียงม่อซิวเหยาและสวีชิงเฉินเท่านั้น แต่ยังมีคนที่หายไปจากลานหน้าพระราชวังพร้อมๆ กัน อย่างม่อจิ่งหลีและเหลยเถิงเฟิง รวมถึงเสนาบดีหลิ่วและหลิ่วกุ้ยเฟยรวมอยู่ด้วย
ทุกคนต่างพากันจิบสุราสบายๆ พลางสังเกตการณ์การต่อสู้ที่เกิดขึ้นในจุดต่างๆ ภายในเมือง
เสียงอึกทึกครึกโครมตรงบริเวณลานนั้น ดังกึกก้องมากเกินไป คนที่มัวเมาอยู่กับเสียงเพลง เต้นรำและสุรารสเลิศ ต่างไม่รับรู้ว่ายามนี้ภายในเมืองหลวง ได้กลายเป็นฝนเลือดที่กระสานซ่านเซ็นไปทั่วแล้ว
ผู้เป็นเจ้าบ้านกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดก้องไปถึงฟ้า แต่ผู้เป็นแขกกลับพากันรายล้อมดื่มสุรา ฟังดูแล้วช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก แต่กลับเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะแก้ปัญหาได้ในเวลานี้แล้ว ด้วยเพราะทหารที่มาหลายฝ่ายล้วนมีความสัมพันธ์กับตัวหลักทั้งหลายในการต่อสู้ครั้งนี้ จึงย่อมไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าไปร่วมวงในการต่อสู้ด้วย ดังนั้นจึงจำต้องให้ทุกคนอยู่ดื่มสุราร่วมกัน เพื่อเป็นการกันอีกฝ่ายไว้ด้วยไปในตัว
ม่อซิวเหยาเอนตัวพิงหน้าต่างอย่างเกียจคร้าน บิดจอกเหล้าในมือเล่นอย่างใจลอย แม้แต่จะมอง ยังคร้านที่จะมองออกไปด้านนอก ประหนึ่งว่าสุดท้ายแล้วอำนาจในมือหนานจ้าวอ๋องจะไปตกอยู่ที่ผู้เดียว ไม่เกี่ยวอันใดกับเขากระนั้น
หลินหานเดินเข้ามา ตรงไปกระซิบยังข้างหูม่อซิวเหยาอยู่สามสี่ประโยค ม่อซิวเหยาที่เมื่อครู่ยังดูใจลอย กลับพลันมีสติขึ้นมาทันที “พระชายาไม่เป็นอันใดแล้วหรือ”
หลินหานพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ พระชายาดรขึ้นมากแล้ว บอกว่าท่านอ๋องไม่กลับไปเสียที อีกเดี๋ยวเลยจะตามมาดูพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยากวาดตามองลงไปที่ด้านล่าง เอ่ยด้วยความเสียดายว่า “ข้าก็อยากจะรีบกลับไป แต่น่าเสียดายที่ที่นี่ดูจะไม่จบง่ายๆ ไปเชิญพระชายาให้มานั่งเล่นก่อนก็แล้วกัน”
ทุกคนถึงได้เข้าใจกันทันทีว่า ที่ติ้งอ๋องดูซึมเซามาตลอด ก็ด้วยเพราะพระชายาไม่อยู่ เมื่อคิดได้เช่นนี้ ทุกคนที่นั่งอยู่ก็ต่างมีสีหน้าประหลาด มีทั้งโกรธเคือง คิดหนัก และริษยา
ไม่ถึงหนึ่งเค่อ เยี่ยหลีก็ปรากฏตัวขึ้นที่ปากบันได เมื่อเห็นว่าบนชั้นสามมิได้มีแขกเหรื่อผู้อื่นอยู่ มีเพียงทูตจากแต่ละแคว้นที่นั่งรวมกันอยู่ในโต๊ะเดียว ก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
พอม่อซิวเหยาเห็นเยี่ยหลี ก็รีบลุกขึ้นก้าวเข้าไปหา “อาหลี เจ้าค่อยยังชั่วแล้วหรือ”
เยี่ยหลีพยักหน้า “สบายดีแล้ว พี่ใหญ่ก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
สวีชิงเฉินพยักหน้า ชี้นิ้วออกไปด้านนอกหน้าต่าง “หลีเอ๋อร์มาดูด้วยกันสิ”
อันที่จริง ถึงแม้โรงสุรานี้จะสูงเพียงไร แต่ยามนี้ก็เป็นยามค่ำ ให้มองจริงๆ ก็มองอันใดไม่เห็นนัก ที่ทุกคนพากันมารออยู่ที่นี่ ก็เพื่อรอดูผลสุดท้ายของการต่อสู้ และขวางไม่ให้อีกฝ่ายยื่นมือเข้าไปยุ่งเท่านั้น
เยี่ยหลีมองเรื่อยเปื่อยออกด้านนอก แล้วก็หมดความสนใจลงทันที “พี่ใหญ่ นี่มันเรื่องอันใดกันหรือ”
สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “ธิดาเทพแห่งหนานเจียงก่อเหตุจลาจล ส่งคนเข้ามาทำร้ายหัวหน้าชนเผ่าทั้งหลายที่มาร่วมงานอภิเษก องค์หญิงอันซีย่อมต้องการคำอธิบายจากนาง จากนั้นจึงเกิดการปะทะกันขึ้น”
แน่นอนว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นย่อมไม่เรียบง่ายดังเช่นที่สวีชิงเฉินกล่าว หัวหน้าชนเผ่าที่ซูม่านหลินให้คนเข้าไปทำร้าย ล้วนเป็นคนที่สนับสนุนองค์หญิงอันซี หนึ่งในนั้นก็คือชนเผ่าฝ่ายสามีและชนเผ่าทางท่านตาขององค์หญิงอันซี เมื่อองค์หญิงอันซีรู้ข่าว จะเข้าไปช่วยเหลือด้วยตนเอง ระหว่างทางกลับมีคนคิดลอบสังหารคู่สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ แต่ไหนแต่ไรมา องค์หญิงอันซีได้ใจประชาชนอย่างมากมาย ในมือย่อมมีทหารที่จงรักภักดีอยู่กลุ่มใหญ่ ดังนั้นทหารของทั้งสองฝ่ายจึงเข้าปะทะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“ชายาติ้งอ๋อง ท่านคิดว่าองค์หญิงอันซีกับธิดาเทพแห่งหนานเจียง ผู้ใดจะชนะผู้ใดจะแพ้หรือ” ม่อจิ่งหลีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยถามขึ้น
ทุกคนต่างพากันเลื่อนสายตาไปทางเยี่ยหลี
เยี่ยหลีมองม่อจิ่งหลีนิ่งๆ กลับเห็นว่าในแววตาที่จับจ้องนาง มีแววแห่งความท้าทายแฝงอยู่ เยี่ยหลีรู้สึกเพียงน่าขัน ตอบกลับไปเรียบๆ ว่า “ผู้ใดจะแพ้ผู้ใดจะชนะ เป็นเรื่องที่ข้าตัดสินได้หรือ เพียงแต่มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ได้ดียิ่งนัก…ผู้ที่ได้ใจประชาชน เท่ากับได้ปกครองใต้หล้า ผู้ใดถูก ผู้ใดผิด ก็เป็นเรื่องของเชื้อพระวงศ์หนานจ้าวและประชาชนของหนานจ้าว ซึ่งไม่เกี่ยวอันใดกับคนนอกอย่างพวกเราแม้แต่น้อย”
หลายปีมานี้ องค์หญิงอันซีปกครองแคว้นมาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ได้รับความชื่นชมจากชาวบ้านเป็นอย่างมาก เชื่อว่าคงมิใช่จะถูกซูม่านหลินที่ไม่รู้ว่าไปได้ชื่อว่าเป็นผู้ช่วยเหลือหนานเจียงมาได้อย่างไร จะสามารถทำให้นางสั่นคลอดนได้ง่ายๆ ขอเพียงคืนนี้ องค์หญิงอันซีสามารถเอาชนะหมากตานี้ได้ ต่อไปฐานะขององค์หญิงอันซีในหนานจ้าว ก็จะไม่ถูกสั่นคลอนได้ง่ายๆ อีก
เยี่ยหลีเหลือบมองม่อซิวเหยาและสวีชิงเฉิน
สวีชิงเฉินเพียงยิ้มบางๆ บนใบหน้ากลับไม่มีแววกังวลเลยแม้แต่น้อย แต่เยี่ยหลีอดรู้สึกหนักอึ้งในใจขึ้นมาไม่ได้
ผู้ที่ได้ใจประชาชน จะได้ครอบครองใต้หล้า…ทุกคนที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้น ต่างพากันขบคิดถึงความหมายของประโยคนี้อยู่ในใจ
“อาหลีพูดได้เฉียบคมนัก” สวีชิงเฉินอมยิ้มเอ่ยชื่นชม
เยี่ยหลีรู้สึกเขินอายเล็กน้อย สิ่งที่นางพูด เป็นเพียงสุภาษิตที่ทุกคนในชาติที่แล้วรู้จักกันเป็นอย่างดีเท่านั้น
ม่อซิวเหยายิ้มอย่างปลื้มใจ “คำพูดของอาหลีย่อมมีเหตุผลเสมอ”
สวีชิงเฉินนึกไม่เห็นด้วยกับใบหน้าที่ยิ้มกริ่มของผู้ชายที่นิสัยเหมือนเด็กตรงหน้า อีกอย่างที่เขาพูดเมื่อครู่เป็นการกล่าวชมเยี่ยหลีต่างหาก เขาจึงทำได้เพียงทำเป็นไม่เห็นใบหน้าอันยิ้มกริ่มของเขา
ผู้ที่นั่งอยู่ที่นี่ ทุกคนล้วนไม่ใช่เด็กน้อยไม่รู้ประสา ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดในโลกนี้ สิ่งที่ทุกคนคิดได้จากประโยคของเยี่ยหลีก็ล้วนแตกต่างกันออกไป
แต่อย่างไรก็มีคนหนึ่งที่ไม่พอใจกับเรื่องนี้ เอ่ยเสียงเย็นว่า “หากเป็นไปตามความหมายที่คุณหนูเยี่ยกล่าว ผู้ได้ที่ได้ใจประชาชนก็ควรได้ครอบครองใต้หล้า เช่นนั้นก็มิได้หมายความว่า เชื้อพระวงศ์ต้าฉู่ควรยกตำแหน่งให้กับตำหนักติ้งอ๋องไปเสียนานแล้วงั้นหรือ” หากพูดเรื่องได้ใจประชาชนแล้ว ถึงแม้เชื้อพระวงศ์ต้าฉู่จะเป็นผู้รวมการปกครองต้าฉู่ไว้ แต่ต่อให้ควบม้าอย่างไร ก็คงไล่ตามตำหนักติ้งอ๋องไม่ทัน
ทุกคนที่นั่งอยู่ ต่างพากันมองไปทางหลิ่วกุ้ยเฟยด้วยสีหน้าประหลาด นัยน์ตามีทั้งแววเยาะหยันและดูแคลน เห็นๆ อยู่ว่านี่เป็นเพียงประโยคเปรียบเปรยอันเฉียมคมที่มิได้มีความหมายอันใด แต่กลับถูกสตรีนางนี้ตีความเป็นเช่นนี้ไปเสียได้ ควรพูดว่า สมแล้วที่หลิ่วกุ้ยเฟยเป็นภรรยาของม่อจิ่งฉีหรือไม่นะ
อันที่จริง พอหลิ่วกุ้ยเฟยหลุดปากประโยคนี้ออกไป ก็รู้ทันทีว่าตนพูดไม่ถูกต้อง เดิมทีนางมิได้คิดจะพูดอันใด แต่พอเห็นว่าเยี่ยหลีเพียงพูดเรื่อยเปื่อยออกมาหนึ่งประโยค ก็ได้รับความชื่นชมอย่างยิ่งจากคุณชายชิงเฉินเสียแล้ว แล้วยังมีสายตาที่ตกใจระคนชื่นชมของคนที่นั่งอยู่อีก และยิ่งเมื่อเห็นว่าม่อซิวเหยาประคองเยี่ยหลีด้วยใบหน้าปลื้มปริ่มประหนึ่งดีใจเสียยิ่งกว่ามีคนเอ่ยชื่นชมตนเอง ในใจก็อดรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาไม่ได้ จึงพ่นคำพูดตื้นเขินที่ไม่ทันได้ผ่านแม้สมองออกมาเองทันที
เยี่ยหลีมองหลิ่วกุ้ยเฟยอย่างใจเย็น เอ่ยเรียบๆ ว่า “ที่หลิ่วกุ้ยเฟยกล่าวเช่นนี้ เป็นการยอมรับว่ายามนี้เชื้อพระวงศ์ไม่ได้ใจประชาชนอย่างนั้นหรือ ในเมื่อกุ้ยเฟยเองก็รู้ ก็ควรปฏิบัติตามธรรมเนียมของวังหลังอย่างเคร่งครัด ท้วงติงผู้เป็นประมุขให้หมั่นทำคุณงามความดี มิใช่มาคาดเดาสุ่มสี่สุ่มหาอยู่ที่นี่ และพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ เมืองหลีในซีเป่ยของข้า ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับต้าฉู่ของท่าน ต่อให้หลิ่วกุ้ยเฟยรู้สึกเองว่าฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ไม่มีความสามารถเหมาะสมที่จะเป็นประมุข ควรต้องสละราชสมบัติก็ไม่เกี่ยวอันใดกับท่านอ๋องของข้า”
พูดจบ ก็กวาดสายตาราบเรียบไปทางม่อจิ่งหลีที่นั่งอยู่ตรงข้าม ก็เห็นว่าสีหน้าม่อจิ่งหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อย บนใบหน้าที่นิ่งเฉยอยู่เป็นนิจของม่อจิ่งหลี เผยแววขบขันน้อยๆ ออกมาให้เห็น แต่มองดูแล้ว กลับมิได้ทำให้ผู้อื่นเห็นว่าไม่เหมาะสม “ที่แท้ในใจหลิ่วกุ้ยเฟยก็รู้สึกว่าเสด็จพี่ไม่เหมาะที่จะเป็นฮอ่งเต้หรอกหรือ ข้าเพิ่งรู้ก็ตอนนี้เอง กุ้ยเฟยเอ่ยเช่นนี้ ช่างเปิดหูเปิดตาข้ายิ่งนัก”
“เจ้าพูดเหลวไหลอันใดกัน” หลิ่วกุ้ยเฟยมองม่อจิ่งหลีด้วยความโกรธเคือง หลายปีมานี้ ม่อจิ่งหลีจะให้เกียรติม่อจิ่งฉีหรือไม่ ยังแล้วแต่อารมณ์ แล้วเขาจะเกรงกลัวหลิ่วกุ้ยเฟยได้อย่างไร เขายิ้มเยาะเอ่ยว่า “ประโยคเมื่อครู่ หลิ่วกุ้ยเฟยมิใช่คนเอ่ยหรอกหรือ”
“พระสนม!” เสนาบดีหลิ่วก็มองไปทางบุตรสาวด้วยความไม่พอใจ ถึงแม้จะมีความคิดเช่นนั้นอยู่บ้าง แต่ตนเองรู้เพียงคนเดียวก็พอแล้ว ความประพฤติและวาจาของหลิ่วกุ้ยเฟย เกินไปแล้วจริงๆ ยามนี้ย่อมมิใช่เวลาที่พวกเขาจะล่วงเกินติ้งอ๋องได้ และเห็นได้ชัดว่า จะล่วงเกินไปถึงขีดสุดของติ้งอ๋องหรือไม่นั้น อยู่ที่ตัวชายาติ้งอ๋อง หากล่วงเกินชายาติ้งอ๋อง เกรงว่าจะหนักหนาเสียกว่าการล่วงเกินติ้งอ๋องเองเสียอีก แต่บุตรสาวเขาผู้นี้ กลับไม่รู้จักมองสถานการณ์ให้ออก เอ่ยวาจาไร้สาระท้าทายความอดกลั้นของชายาติ้งอ๋องเช่นนั้นอยู่ได้ “พระสนมเพียงพลั้งปากไปชั่วขณะ ขอหลีอ๋องได้โปรดระวังคำพูดด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งหลีส่งเสียงหึเบาๆ ด้วยความดูแคลน พลั้งปากชั่วขณะ? หลิ่วกุ้ยเฟยนั่น เขาก็มิได้เพิ่งรู้จักเป็นครั้งแรก แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยเห็นหัวผู้ใด ทำประหนึ่งทุกคนในใต้หล้าเหมาะสมที่จะเป็นเพียงเศษทุลีดินที่ใต้เท้านางเท่านั้น ที่บอกนางนึกดูถูกพี่ชายฮ่องเต้องค์นั้นของเขาว่าไม่เหมาะจะเป็นฮ่องเต้ ม่อจิ่งหลีกลับไม่มีอันใดให้นึกสงสัยเลยแม้แต่น้อย
ในระหว่างที่ฟากนั้นกำลังเกิดการต่อปากต่อคำระหว่างม่อจิ่งหลีและพ่อลูกหลิ่วกุ้ยเฟยนั้น ทางฝั่งม่อซิวเหยากลับกำลังรินชาให้เยี่ยหลีอย่างขมักเขม้น จับมือเยี่ยหลีมาเอ่ยคำหวานโดยไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น ประหนึ่งมองไม่เห็นสายตาของผู้อื่นที่ไม่มีผู้ใดรักกระนั้น