บทที่ 499

บทที่ 499

เมื่อได้ยินการยั่วยุของฉางกวง หยวนยู่ ซุยหนานที่ยังคงหวาดกลัวก็ทำได้เพียงต่อสู้และไม่อาจถอยหนี เขารู้ดีว่าแม้ว่าเขาจะหลบหนีได้ แต่เหลียงซิงก็จะไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ อยู่ดีหลังจากกลับไปแล้ว

ซุยหนานหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะก้าวเท้าไปข้างหน้า ยกดาบขึ้นเตรียมต่อสู้

นอกจากนี้ ยังมีทหารคนอื่น ๆ ที่เป็นผู้ใช้พลังปราณ ซึ่งยืนอยู่ข้างซุยหนานดูเหมือนจะต้องการต่อสู้เคียงข้างเขา พวกเขาได้เปรียบในเรื่องจำนวนและคิดข่มอีกฝ่ายให้กลัวด้วยเรื่องนี้ เดิมทีพวกเขาเป็นฝ่ายโจมตี แต่ในท้ายที่สุดหลังจากต่อสู้กับฉางกวง หยวนยู่แล้ว พวกเขาก็ทำได้แค่ตั้งรับการโจมตีอย่างเดียว

ฉางกวง หยวนยู่หัวเราะเยาะอย่างหยิ่งผยอง ลากกระบี่ตามพื้นขณะที่เขาเดินไปหาคู่ต่อสู้

เมื่อซุยหนานเห็นอีกฝ่ายกำลังก้าวเข้ามาใกล้ เขาก็ไม่รู้ว่ามันเกิดจากความกลัวหรือความกังวลใจ แต่มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ในปากกลืนน้ำลายกดความกลัวลงไป แล้วส่งเสียงคำรามดังลั่น สะบัดดาบรับมือกับการโจมตีที่เข้ามา

ในแง่ของความสามารถ ระดับพลังของซุยหนานนับว่าไม่เลวเลย และทักษะการต่อสู้จิตวิญญาณของเขาก็ถือว่าโดดเด่นด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เขาเป็นเพียงนักดาบพเนจรและไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับนักรบที่ต่อสู้อยู่บยสนามรบตลอดทั้งปีได้ นี่ไม่ต้องพูดถึงฉางกวง หยวนยู่เลย เมื่อเห็นซุยหนานเริ่มโจมตี เขาก็เอียงตัวเล็กน้อยหลบดาบคู่นั้นได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะตวัดกระบี่เฉือนเข้าใส่เอวของซุยหนาน

ซุยหนานตกใจอย่างมาก เขารีบถอยดาบของเขาเพื่อปัดป้องทันที เมื่อคมศัสตราปะทะกัน แรงสั่นสะเทือนอันรุนแรงก็ส่งมาถึงตัวเขาจนทำให้แขนชา และพื้นโดยรอบก็แตกร้าวตามแรงปะทะ

ร่างของซุยหนานกระเด็นออกไปชนเข้ากับขั้นบันไดของที่พำนัก ผลกระทบนั้นรุนแรงมากจนแม้แต่หินสองสามก้อนบนบันไดก็ถูกบดขยี้จนเป็นหลุมขนาดใหญ่

โชคดีที่ซุยหนานมีเกราะพลังปราณเพื่อป้องกันตัวเอง มิฉะนั้นการปะทะกันครั้งนี้คงทำให้กระดูกของเขาหัก เขาพยายามที่จะลุกขึ้นยืน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ฉางกวง หยวนยู่ก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้งพร้อมคมกระบี่ที่กำลังพุ่งเข้ามาเสียบหัวของเขา!

การแสดงออกของซุยหนานเปลี่ยนไปทันที แต่มันสายเกินไปแล้วที่จะหลบการโจมตีนี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยกแขนที่ชาและเจ็บปวดขึ้นมาขวางคมกระบี่ของอีกฝ่าย

เสียงอาวุธทั้งสองปะทะกัน ดาบของซุยหนานสามารถสกัดกั้นไว้ได้ทัน แต่ก็ไม่สามารถที่จะต้านเอาไว้ได้นาน พลังและความแข็งแกร่งของแขนของฉางกวง หยวนยู่นั้นเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ ในเวลาเดียวกัน คมกระบี่ที่ยังมีแรงต้านอยู่ก็ฟาดฟันหัวของซุยหนานอย่างโหดร้าย

กระบี่ของฉางกวง หยวนยู่แทงทะลุศีรษะของซุยหนานแล้วผ่าแยกร่างอีกฝ่ายออกเป็นสองซีกทันที โลหิตแดงฉานพลันสาดกระเซ็นออกไปในอากาศ

ฉางกวง หยวนยู่หยุดกระบี่ของเขาก่อนจะหันไปรอบ ๆ มองไปยังคนอื่น ขณะที่มือก็ชี้ปลายกระบี่ไปที่คนพวกนั้น แล้วพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าพูดไปแล้วว่าอย่ามาทีละคน มันเสียเวลา ถ้าไม่เข้ามา ข้าจะเข้าไปเอง! ”

หลังจากพูดจบเขาก็กระชับกระบี่ในมือ และพุ่งเข้าหาฝูงชนราวกับสายฟ้าฟาด

กลุ่มทหารหลายร้อยคนและคนที่ติดตามมาพลันตกอยู่ในความโกลาหลทันที หลังจากนั้นก็มีแต่เสียงเจ็บปวดของผู้คน และเสียงกรีดร้องของม้าตามมา ทั่วบริเวณมีแต่เลือดแดงฉานและชิ้นส่วนร่างกายกระเด็นขึ้นไปในอากาศ

คนเหล่านี้แม้ว่าจะไม่รู้วิธีจัดทัพ แต่ยังสามารถรวมตัวกันได้อย่างเรียบง่ายทำให้พวกเขาดูเหมือนมีอำนาจกดข่ม ทว่าเมื่อต้องเข้าสู่สมรภูมิเช่นนี้พวกเขากลับวุ่นวายมาก และแม้ว่าทหารจำนวนมากจะเป็นผู้มีพลังปราณก็ไม่สามารถแสดงความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาได้ แต่นี่ก็ไม่อาจนำไปเทียบกับทหารธรรมดาได้อยู่ดี

พวกเขาทำได้เพียงมองภาพตรงหน้าอย่างหมดหนทาง ในขณะที่ฉางกวง หยวนยู่ฆ่าพวกเขาได้อย่างง่ายดายเหมือนกับการหั่นผัก ความเย่อหยิ่งที่พวกเขามีในตอนแรกได้หายไปนานแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ในตอนนี้คือ ความคิดที่จะเอาชีวิตรอด

ฝูงชนกระจัดกระจายทันทีหลังจากเข้าไปโจมตีฉางกวง หยวนยู่เพียงครั้งเดียว บางคนตาย บางคนบาดเจ็บ และบางคนกำลังหนี

“เหอะ!” ฉางกวง หยวนยู่มองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีภัยคุกคามใด ๆ อีกต่อไปแล้ว เขาก็สะบัดเลือดที่ยังไหลชโลมอยู่บนคมกระบี่ ก่อนจะยิ้มเยาะออกมา แล้วหันหลังกลับเข้าในไปที่พำนัก

เหลียงซิงคิดว่า พวกเขาจะสามารถยึดที่พำนักของถังหยินได้อย่างง่ายดายและกวาดล้างกองทัพเทียนหยวนที่นำโดยชิวเจิ้นได้ในคราวเดียว แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าผู้คนหลายพันคนเหล่านี้ซึ่งไม่ได้จัดการให้เข้าที่เข้าทางกลับถูกฉางกวง หยวนยู่สังหารจนหมด

เมื่อข่าวไปถึงหูเหลียงซิง เขาก็โกรธแค้นมาก ในเวลาเดียวกัน เขาอดไม่ได้ที่จะพูดในใจว่าฉางกวง หยวนยู่สามารถต่อสู้กับศัตรูนับพันด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร? เขาเป็นมนุษย์หรือสัตว์ประหลาดกันแน่?’

แต่ในตอนนั้นจี้หยาง ฮ่าวชุนก็รีบไปพบกับเหลียงซิง สีหน้าและท่าทางของเขาดีกว่าเหลียงซิงในตอนนี้มาก เขาขมวดคิ้วและถามว่า “ท่านเหลียง ฉางกวง หยวนยู่ทรงพลังเกินไป เราจะจัดการกับมันอย่างไรดี?”

เหลียงซิงกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด ก่อนจะส่ายหัวและพูดว่า “ตอนนี้การยึดวังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”

“กองทัพปิงหยวนยังอยู่ในวัง และกองทัพชานซุยก็ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ แล้วเราจะทำอย่างไรต่อ?” ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ จี้หยาง ฮ่าวชุนใจร้อนยิ่งกว่าเหลียงซิงเสียอีก เขาถูมือไปมาด้วยความวิตกกังวล

เหลียงซิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้ายังต้องรบกวนท่านแม่ทัพให้มีอำนาจสั่งการและระดมกำลังทหารทั้งแคว้น สั่งให้กองทัพปิงหยวนของเจ้าออกจากวังทันที หากอีกฝ่ายไม่ฟังให้ถือเป็นกบฏ”

จี้อหยาง ฮ่าวชุนหัวเราะอย่างขมขื่น แม้ว่าเขาจะเป็นแม่ทัพใหญ่ แต่ตอนนี้เขาไม่มีอำนาจแล้ว มันคงแปลกถ้าอีกฝ่ายจะฟังเขา! เขาถามว่า “กองทัพปิงหยวนไม่ฟังคำสั่งของข้าแล้ว…”

เหลียงซิงหัวเราะอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “งั้นเราเรียกพลเมืองทั้งหมดมา ถ้ากองทัพเทียนหยวนต่อต้านเรา เราก็บอกกับชาวบ้านว่าถังหยินจะยึดครองพระราชวังและคิดก่อกบฏ!” หลังจากหยุดชั่วขณะ เขาก็พูดต่อเบา ๆ ว่า “ทางสุดท้าย มีเพียงการเอาชนะใจของประชาชนเท่านั้นที่จะสามารถขัดขวางแผนการของเขาได้!”

“การที่จะไปต่อกรกับถังหยินและคนของเขา จุดจบคงจะไม่ต่างอะไรกับซ่งเทียน”

หลังจากได้ยินสิ่งที่เหลียงซิงพูดแล้ว จี้หยางก็อารมณ์พุ่งสูงขึ้นอีกครั้งทันที เขาพยักหน้าและตอบว่า “เอาล่ะ ข้าจะฟังท่าน”

ขณะที่พูด เขาก็หายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพาผู้ติดตามไปที่ประตูวัง

ถึงภายนอกจะพูดแบบนั้น แต่จริง ๆ แล้วเหลียงซิงก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เขาอยู่ในจุดที่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ไม่ว่าศัตรูหรือเขาจะถูกกวาดล้าง เหลียงซิงก็ทำได้แค่เฝ้าดูด้านหลังของจี้หยาง ฮ่าวชุน ในขณะที่เขาอธิษฐานในใจอย่างเงียบ ๆ และหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น คือกองทัพปิงหยวนจะยินยอมหลีกทางให้โดยสมัครใจ

ทางจี้หยาง ฮ่าวชุน เขาเดินออกจากค่ายและหลังจากก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว เขาก็ได้ยินเสียงลมพัดจากด้านบนกำแพงเมือง ลูกศรขนนกอินทรีพุ่งมาปักลงบนพื้นตรงหน้าจี้หย่าง ฮ่าวชุน

“ท่านแม่ทัพ เป็นอะไรไหมขอรับ” ผู้ติดตามของจี้หยางฮ่าวชุนกลัวมาก ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีซีดเมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ พวกเขารีบล้อมรอบแม่ทัพใหญ่ที่ตอนนี้ยังดูสงบกว่าผู้คนรอบตัวมาก เขารู้ว่าลูกศรที่ยิงมาเป็นเพียงคำเตือนจากกองทัพปิงหยวน

จากนั้นเขาก็เดินหน้าต่อไปอีกสองก้าวแล้วเงยหน้าขึ้น ตะโกนใส่กำแพงวัง “ข้าคือแม่ทัพใหญ่จี้หยาง ฮ่าวชุน!”

ไฉหยู ผู้บัญชาการกองทัพปิงหยวนยืนอยู่ด้านบนของกำแพงพระราชวัง มองอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง เขาโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ทำความเคารพแม่ทัพใหญ่ที่อยู่ข้างนอก “ทำความเคารพท่านแม่ทัพใหญ่!”

“พาคนของเจ้าออกจากวังทันที!” น้ำเสียงของจี้หยางฮ่าวชุนมีความแน่วแน่ และราวกับไม่ยอมให้ใครปฏิเสธ

ทว่าต้องขออภัยด้วยที่ไฉหยูไม่คิดฟัง ในสายตาของเขา คนที่สามารถสั่งเขาได้คือถังหยินและมูฉิงเท่านั้น

ไหล่ของเขาสั่นสะท้านอย่างขบขันพลางส่งเสียงหัวเราะ ขณะที่เขากำลังจะพูด รองแม่ทัพก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดอย่างเร่งด่วนว่า “นายท่านขอรับ!”

ไฉหยูงุนงง หันกลับไปมองรองแม่ทัพของเขาและถามว่า “อะไร”

รองแม่ทัพส่งกระดาษให้ ซึ่งแม่ทัพก็รับมันมาอย่างสงสัย เมื่อก้มศีรษะลงไปอ่านกลับมีคำสั่งเพียงบรรทัดเดียว ‘นำกองทหารที่หนึ่งออกจากวัง’ มีการลงนามของชิวเจิ้นและข้างใต้นั้นคือ ตราประทับของเครือข่ายใยพิภพ

“นี่คือข้อความที่เราเพิ่งได้รับ” แน่นอนว่าไฉหยูไม่คุ้นเคยกับตราประทับนี้ คำสั่งมีเพียงแค่เขาต้องถอนตัวออกจากวัง แต่นี่ไม่สามารถเข้าใจได้จริง ๆ หมายความว่าเขากำลังจะมอบพระราชวังให้กับเหล่าคนทรยศอย่างนั้นหรือ?

เขาถามอย่างไม่แน่ใจว่า “อืม… ~ นี่เป็นลายมือของท่านชิวหรือ?”

ไฉหยูจำลายมือของชิวเจิ้นไม่ได้ แต่รองแม่ทัพของเขารู้ดี เพราะเขาเป็นคนที่รับหน้าที่ดูแลอุปกรณ์และเสบียงของทหาร ดังนั้น เขาจึงคุ้นเคยกับลายมือของชิวเจิ้นเป็นอย่างมาก

รองแม่ทัพพยักหน้ายืนยันและกล่าวว่า “ขอรับ! ท่านชิวเขียนเอง”

หลังจากได้รับคำยืนยันจากรองผู้บัญชาการ ไฉหยูก็กระทืบเท้าอย่างแรงและกัดฟันพูดว่า “หากปราศจากคำสั่งของนายท่าน ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!”

“แต่ถ้านายท่านไม่อยู่ที่นี่ ท่านชิวจะรับหน้าที่สั่งการกองทัพทั้งหมดเอง อีกอย่างหากท่านไม่ทำตาม มันจะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง!”

ไฉหยูคิ้วขมวดมุ่นพูดอะไรไม่ออก ขณะที่เขาหยิบกระดาษขึ้นมาอ่านมันอีกสองสามครั้ง ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจยาวและพูดว่า “ถอนกำลัง!”

“รับทราบขอรับ!” รองแม่ทัพถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่ใช่อะไรหรอก ถ้าเขาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของชิวเจิ้นก็จะเกิดปัญหาใหญ่ตามมา และหากเขายังคงสอบสวนเพิ่มเติมในฐานะรองแม่ทัพ มันก็อาจเกิดปัญหาตามมาอีกนับไม่ถ้วนได้