ตอนที่260 เลขทะเบียนระดับพันล้าน

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล]

ตอนที่260 เลขทะเบียนระดับพันล้าน

หวานเจียงรับโทรศัพท์แต่ไม่พูด เพราะเธอกำลังรอให้จ้าวเฉียนพูดก่อน

ซึ่งทางด้านจ้าวเฉียนเองก็คิดแบบเดียวกันไม่มีผิด เขาไม่อยากพูดขึ้นก่อนและรอให้หวานเจียงเริ่มเอ่ยขึ้นมาเอง

ทั้งคู่เงียบใส่กันอยู่พักใหญ่ แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา จ้าวเฉียนพลันไปได้ยินเสียงประกาศของสนามบินที่หยานจิ้งเข้า ซึ่งนี่ทำให้เขาสะดุ้งขึ้นทันใด

“นี่เธอมาที่หยานจิ้งเหรอ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

หวานเจียงในขณะนี้รู้สึกผิดอย่างมากจริงๆ ทีแรกเธอจะโทรมาหวังคืนดีกลับเขา แต่ตอนนั้นจ้าวเฉียนก็กดตัดสายทิ้งอย่างไม่ไยดี นั้นจึงทำให้เธอปิดปากเงียบไม่เอ่ยตอบกลับไปใดๆ

จ้าวเฉียนเริ่มมีน้ำโห่แล้วเช่นกันตอนนี้ และพอเห็นว่าเธอไม่พูดไม่จาก็ยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่

“ถ้าไม่พูดแล้วจะโทรมาทำไม?”

จ้าวเฉียนประชดถามเจือน้ำเสียงหงุดหงิด

อย่างไรก็ตาม ไม่น่าหวานเจียงเธอจะเป็นหญิงแกร่งขนาดไหน แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้เธอทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ เธอจึงระเบิดน้ำตาร้องไห้โฮออกมาทันที พอได้ยินเช่นนั้น จ้าวเฉียนก็ดูจะใจเย็นลงเล็กน้อย

พ่อกับแม่พูดถูกแล้ว พอฝ่ายหญิงเริ่มแสดงความอ่อนแอและเป็นฝ่ายเข้ามาก่อน ในฐานะผู้ชายก็ไม่ควรเล่นตัวใส่ ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงรีบปลอบทันทีว่า

“ฉันขอโทษ พอถูกดุขึ้นมาฉันเลยใส่อารมณ์กับเธอเกินไปจริงๆ ถ้ามีอะไรจะพูดกับฉันก็พูดมาเถอะไม่ต้องอายแล้ว ก่อนจะกลับเมืองตงไห่ เธออยากไปไหนไหมเดี๋ยวฉันพาเที่ยวนะ”

“ฉัน…ฉันไม่รู้จะไปไหนแล้ว ฮืออ…”

หวานเจียงปล่อยโฮออกมาทันที

หัวใจของจ้าวเฉียนอ่อนยวบลงฉับพลัน เขารีบถามขึ้นทันทีว่า

“ไม่รู้จะไปไหน? ตอนนี้เธอยังอยู่ที่สนามบินรึเปล่า?”

“อือ…ฮือ…”

หวานเจียงตอบทั้งน้ำตา

จ้าวเฉียนได้ยินดังนั้นก็รีบตอบกลับไปทันทีด้วยความเป็นห่วง

“งั้นเธอรอฉันก่อนนะที่สนามบิน ฉันจะออกไปรับเดี๋ยวนี้แหละ!”

หวานเจียงยังคงร้องไห้ พยายามกล่าวไปว่า

“รีบมาเลย…ฮืออ…ฉันเสียใจ…”

จ้าวเฉียนกดวางสายและวิ่งเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เขาตะโกนเสียงดังลั่นว่า

“พ่อ! ผมขอยืมรถหน่ยอนะ ผมจะไปรับเธอที่สนามบิน!”

พอได้ยินแบบนั้น ทุกคนก็ระเบิดหัวเราะออกมาทันทีอย่างมีความสุข

จ้าวฝู่รีบโทรเรียกคนขับรุส่วนตัว และวานให้เขาช่วยพาจ้าวเฉียนไปที่สนามบินโดยด่วนที่สุด

คนขับรถอย่างหวางไฮ่รีบวิ่งฝุ่นตลบขึ้นรถ ซิ่งพาจ้าวเฉียนไปที่สนามบินทันที

จ้าวฝู่ที่เห็นท่าทีอันแสนเร่งรีบของลูกชายก็ระเบิดหัวเราะลั่น หันมาพูดกับอวีกุ้ยเฟิงว่า

“คุณไปเตรียมเข้าครัวเถอะ ได้ข่าวว่าอยากโชว์ฝีมือ? เด็กสาวตัวเล็กๆขึ้นเครื่องมาตัวคนเดียว คงยังไม่ได้กินอะไรมาแน่นอน แม้สถานะทางบ้านของเราจะสูงกว่าเธอ แต่เราจะเสียมารยาทไม่ได้อยู่ดี”

อวีกุ้ยเฟิงพยักหน้างยิ้มแย้มและตรงเข้าไปในห้องครัวเพื่อเตรียมอาหาร

หนึ่งชั่วโมงต่อมา จ้าวเฉียนก็ได้พบกับหวานเจียงในสนามบิน เธอนั่งยองๆลงกับพื้น ดวงตาทั้งสองข้างของเธอบวมเป่งเพราะร้องไห้

เมื่อเขาเห็นเธอเป็นแบบนี้ จ้าวเฉียนแทบใจละลายไปหมดแล้ว ลืมเรื่องทุกอย่างก่อนหน้าและวิ่งไปอุ้มเธอขึ้นมากอดแน่นๆทันที

หวานเจียงรู้สึกผิดอย่างมากในใจ แต่เธอก็ยังกำหมัดทุบอกจ้าวเฉียนไม่หยุดหย่อนและบ่นว่า

“ไอ้บ้า! ถึงยังไงฉันก็เป็นผู้หญิงนะ! นายหัดอ่อนโยนกับฉันหน่อยได้ไหม! ตะคอกใส่ฉันไม่หยุดไม่หย่อน มีอะไรวันหลังก็พูดกันดีๆก็ได้หนิ… ฮึกๆ…”

จ้าวเฉียนลูบหลังพลางปลอบหวานเจียงอย่างแผ่วเบา และสารภาพผิดไปตามตรงว่า

“ฉันไม่ดีเอง ครั้งนี้ฉันผิดเองแหละ ฉันนิสัยแข็งกระด้างมาตั้งแต่เด็กแล้ว ก็เลยง้อผู้หญิงไม่ค่อยเป็นน่ะ อย่าโกรธฉันเลยนะ”

ในเวลาเดียวกัน จู่ๆก็มีชายสวมผ้าปิดปาก แว่นกันแดดและหมวกสีดำเดินผ่านมาพอดี และหยุดอยู่ข้างๆทั้งสอง

เขาจ้องหวานเจียงตาเขม็งอย่างใกล้ชิด และดูเหมือนว่าจะยิ้มให้เธอเล็กน้อย

จ้าวเฉียนสังเกตเห็นอากัปกิริยาของชายแปลกหน้าคนนี้มาได้สักพักแล้ว จึงหันไปเอ่ยถามขึ้นว่า

“พี่ชาย แฟนผมสวยขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ฮ่าฮ่า…ก็ต้องสวยขนาดนั้นสิครับ ไม่งั้นผมไม่หยุดมองหรอก”

พอได้ยินสุ้มเสียงของชายคนนี้ หวานเจียงถึงกับผละออกจากอ้อมกอดของจ้าวเฉียนทันทีด้วยความตื่นเต้น เธอมองซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่ง พอแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครเดินผ่านไปผ่านมาจึงกระซิบเสียงแผ่วขึ้นว่า

“นี่คุณมาคนเดียวเหรอ? ไหงถึงไม่เรียกผู้จัดการส่วนตัวมาด้วยกันละ? ถ้าบรรดาแฟนคลับรู้เข้า มีหวังแหกันมาเป็นโขยง”

ชายคนนั้นระเบิดหัวเราะคิกคักและตอบกลับไปว่า

“ก็ผมกลับมาหาครอบครัวในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์หนิครับ เลยต้องการความเป็นส่วนตัวหน่อย ไม่อยากให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ยังไงก็ช่วยเงียบไว้ด้วยนะครับ ผมอยากใช้ชีวิตปกติกับครอบครัวบ้าง จะว่าไปคุณหวาน แฟนหนุ่มของคุณหล่อมากเลย ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงไม่คบคนในวงการ พูดตามตรงเลยนะครับ แฟนของคุณหล่อกว่าพระเอกหนังบางคนอีก”

หวานเจียงคลี่ยิ้มเล็กน้อยพลางเช็ดน้ำตา

จ้าวเฉียนรีบยื่นมือออกมาทักทายกับชายคนดังกล่าวทันที พร้อมยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อจ้าวเฉียน ส่วนคุณ…”

“ผม หูเกอครับ”

จ้าวเฉียนถึงกับตกตะลึงอย่างมากเมื่อได้ยิน ปรากฏว่าเขาคือหูเกอดาราระดับซุปเปอร์สตาร์เบอร์ใหญ่แห่งจีน!

“ถ้าอย่างนั้น เสียงของคุณหูในละครส่วนใหญ่ถูกปรับมาก่อนแล้วครั้งนึงรึเปล่าครับ? เสียงตัวจริงถึงไม่ค่อยเหมือนกันเลย”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

หูเกอพยักหน้าตอบกลับว่า

“ใช่ครับ อันที่จริงผมก็ว่าเสียงของผมน่าจะดีในระดับนึงนะครับ แต่พวกผู้กำกับรู้สึกว่า ควรปรับโทนอีกนิดหน่อย ก็เลยเป็นแบบที่คุณจ้าวเห็นตามทีวีแหละครับ การจะให้คุณหวานเปิดใจได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ ไม่ทราบว่าคุณจ้าวทำธุรกิจอะไรอยู่เหรอครับ?”

“เป็นบริษัทด้านบันเทิงเหมือนกันครับ อันนี้นามบัตรของผม ถ้ามีโอกาสในอนาคต หวังว่าพวกเราจะได้ร่วมงานกันนะครับ”

หูเกอคือดารานำชายผู้ได้ชฉายาว่า ซุปตาร์ค้างฟ้าแห่งจีน แถมพอมาเจอตัวจริง ปรากฏว่าเขาเป็นคนใจดีและเป็นมิตรอย่างมาก คนแบบนี้จ้าวเฉียนต้องการร่วมงานด้วยในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนทางด้านหูเกอเองก็คิดว่า การที่จ้าวเฉียนสามารถถมัดใจหวานเจียงได้ แสดงว่าภูมิหลังต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน บริษัทบันเทิงที่ว่าคงไม่ใช่ค่ายเล็กๆอย่างแน่นอน

ถ้าได้เป็นเพื่อนกับเจ้าของบริษัทค่ายหนังคงเป็นเรื่องดีไม่ใช่น้อย เขาจะมีโอกาสร่วมงานแสดงอีกมายมายในอนาคต การันตีได้เลยว่า เส้นทางในวงการบันเทิงของเขายังไปได้อีกไกล พอคิดได้แบบนั้นหูเกอก็รีบแลกเปลี่ยนเบอร์โทรติดต่อและรับนามบัตรจ้าวเฉียนมาเก็บไว้อย่างรวดเร็ว และยิ้มตอบไปว่า

“ถ้ามีโปรเจคอะไรดีๆในอนาคต คุณจ้าวอย่าลืมผมนะครับ ฮ่าฮ่า…”

จ้าวเฉียนร่วมหัวเราะด้วยเช่นกันและเอ่ยขึ้นว่า

“ถ้ามีโปรเจคหนังฟอร์มใหญ่เมื่อไหร่ ผมจะติดต่อคุณไปอย่างแน่นอน เอ่อ…จะว่าไป ผมขอถามในฐานะแฟนคลับสักอย่างได้ไหมครับ?”

หูเกอพยักหน้าและกล่าวขึ้นว่า

“ครับผม?”

“ตามที่ข่าวว่า คุณมีแฟนแล้วจริงเหรอครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามเสียงแผ่วด้วยความอยากรู้อยากเห็น

หูเกอระเบิดหัวเราะลั่นทีนทีและตอบกลับไปว่า

“ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะเปิดเผยครับ ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ผมจะออกมาประกาศอย่างเป็นทางการครับ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าเข้าใจความหมายของหูเกอที่จะสื่อดี การจะเปิดตัวกับใครสักคน จำเป็นต้องให้แน่ใจก่อนว่า ทุกอย่างพร้อมแล้วจริงๆ ไม่ใช่แค่ว่าในด้านความรู้สึก และยังเป็นเรื่องของสัญญาอีกด้วย

“โอเคครับ ถ้างั้นผมขอตัวก่อน หวังว่าจะได้ร่วมงานกันเร็วๆนี้นะครับ”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบอย่างสุภาพ

หูเกอเองก็ยิ้มตอบกลับไปด้วยความนอบน้อมเช่นกัน

“ได้เลยครับ ผมจะรอคุณจ้าวโทรมาหาเลย เดินทางปลอดภัยครับ”

จ้าวเฉียนโบกมือลาอีกฝ่ายและพาหวานเจียงออกจากสนามบินทันที

พอเดินทางถึงตัวรถ หวานเจียงถึงกับอุทานลั่นด้วยความตกใจว่า

“นี่รถของนายเหรอ?!”

“อืม ทำไมเหรอ? เห็นเป็นจักรยานรึไง?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามติดตลกกลับไป

ก่อนหน้าเดิมที หวานเจียงพอจะจินตนาการได้ว่า ครอบครัวของจ้าวเฉียนคงไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน น่าจะเป็นคนรวยประจำท้องถิ่นอะไรแบบนั้น

แต่เธอกลับคิดไม่ถึงเลยว่า ครอบครัวของจ้าวเฉียนจะร่ำรวยขนาดนี้!

รถคันนี้เป็นรถประจำตัวของจ้าวฝู่ เป็นรถที่ถูกปรับแต่งขึ้นมาเฉพาะกิจโดยบริษัทRolls-Royce และรถคันนี้ไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องความหรูหราเท่านั้น แต่บอดี้ทั้งคันยังกันกระสุนรวมไปถึงทนต่อระเบิดน้อยหน่าได้

ตราบใดที่จ้าวฝู่ไม่ได้ก้าวขาออกจากหวานจิ้ง ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำอันตรายเขาได้

และสิ่งที่ทำให้หวานเจียงประหลาดใจยิ่งกว่าคือ แผ่นป้ายทะเบียนรถ เธอถึงกับถลึงตามองซ้ำสองสามรอบ ปรากฏว่ามา นี่เป็นป้ายทะเบียนหมายเลข หยานจิ้ง A 88

นี่หมายความว่าอย่างไร?

เลขทะเบียนชุดนี้หยุดผลิตตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อนแล้ว ยกเว้นแต่ระดับข้าราชการระดับชั้นผู้ใหญ่ของประเทศเพียงไม่กี่คน คนโดยส่วนใหญ่จะเป็นมหาเศรษฐีชื่อดังระดับประเทศทั้งนั้นที่ครอบครองกัน

สรุปโดยย่อ ทะเบียนหมายเลขดังกล่าวไม่มีทางหามาครอบครองเลย ต่อให้จะมีเงินมากขนาดไหนก็ตามที

กระทั่งครอบครัวของหวานเจียงยังไม่แม้แต่จะคิดฝัน ด้วยราคาค่าตัวกว่าสามถึงสี่พันล้านหยวน แค่จินตนาการถึงก็ขนหัวลุกแล้ว

แต่ป้ายทะเบียนนี้กลับติดอยู่บนรถของจ้าวเฉียนจริงๆ ภูมิหลังของครอบครัวเขาเป็นมายังไงกันแน่? ยิ่งคิดเท่าไหร่หวานเจียงก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น